จู่ๆ เสียงที่ดังมากถึงเพียงนั้นก็ดังขึ้นข้างหูของหลงเซี่ยวเจ๋ออย่างไม่ทันตั้งตัว ปวดหูจนน่าใ ทั้งยังทำให้เขาตกตะลึงจนทำอะไรไม่ถูก
จากนั้นเมื่อหลงเซี่ยวเจ๋อฟื้นคืนสติกลับมา เขาก็ทรุดตัวลงไปกับพื้นเสียแล้ว
หลงเซี่ยวเจ๋อขยี้ผมที่ยุ่งเหยิงราวกับขนไก่อย่างขมขื่น
ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะเกิดขึ้นในชั่วพริบตา
เขายังคิดไม่ออกว่าเกิดอะไรขึ้น? เหตุใดพี่สามของเขาถึงะเิรถม้าโดยไม่มีเหตุผล?
เขารู้ว่าพี่สามของเขานั้นยากจะคาดเดามาโดยตลอด และมักจะเดินสวนทางกับคนทั่วไป [1] อยู่เสมอ ไม่มีผู้ใดสามารถเดาได้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ แต่เส้นทางที่ไม่ธรรมดาในยามนี้กลับมีความผิดปกติมากจนเกินไป
มันน่ากลัว! ฝ่ามือใหญ่ของหลงเซี่ยวเจ๋อยังคงลูบหน้าอกของตนเพื่อปลอบโยนหัวใจดวงน้อยที่หวาดกลัว
ทางด้านสถานการณ์ในรถม้า เมื่อหลงเซี่ยวอวี่รู้ว่ามู่จื่อหลิงมองออกไปนอกหน้าต่าง รู้ว่าหากผู้หญิงตัวเล็กผู้นี้เห็นภาพด้านนอก นางคงจะอยากดูการแสดงที่ดีอีกครั้ง และจะไม่เต็มใจที่จะกลับจวน
ดังนั้นเขาจึงถอดชุดคลุมที่เปื้อนเหล้าผูเถาออก ก่อนเอนกายลงบนเบาะนุ่มอย่างสบายๆ ด้วยท่วงท่าที่สง่างาม แล้ววางมือไว้ด้านหลังศีรษะ หลับตานอนลง รอคอยอย่างเงียบๆ
ทันทีที่รู้สึกว่ามือใหญ่รอบเอวของตนคลายตัวลง มู่จื่อหลิงจึงหันไปมองโดยไม่รู้ตัว เมื่อเห็นว่าหลงเซี่ยวอวี่นอนอยู่ข้างกายนางอย่างสบายใจ และดูเหมือนว่าเขาจะง่วงนอน
มู่จื่อหลิงทำหน้ามุ่ย ไม่ได้คิดมากกับเื่นี้ ก่อนหันหน้าของตนออกไปอีกครั้ง ขยับก้นไปยังตำแหน่งถัดจากหน้าต่างรถม้า และมองออกไปข้างนอกด้วยความสนใจเป็อย่างมาก
เนื่องจาก...นางเพิ่งเหลือบไปเห็นภาพข้างนอก มันดูน่าตื่นเต้นมาก โดยเฉพาะผู้หญิงพวกนั้น
จู่ๆ ก็มีเสียงคำรามดังสนั่น ผู้ที่ไม่เป็โรคหัวใจก็กลัวจนหัวใจวายได้ ส่วนผู้ที่เป็โรคหัวใจ...ข้างนอกนั้น
“องค์หญิง ฮือ ฮือ...ท่านเป็อย่างไรบ้างเพคะ?”
“องค์หญิง อย่าทำให้บ่าวใเลยนะเพคะ องค์หญิง...”
ในอ้อมแขนของชิวเซียงมีองค์หญิงอันหย่าที่เกือบจะหมดสติอยู่ นางดูตื่นตระหนก ร้องเรียกองค์หญิงอันหย่าอย่างหมดหนทาง
ไม่ไกลนัก สามารถเห็นนางกำนัลชิวเยวี่ยที่กำลังวิ่งเข้าวังไปอย่างรีบร้อน ดูเหมือนว่านางกำลังรีบ!
มู่จื่อหลิงกระตุกมุมปากเป็รอยยิ้มที่ไม่ใช่รอยยิ้ม ยามนี้นางนึกได้แล้วหรือว่านางควรเข้าวังเพื่อหาคนมาช่วย?
ในยามนี้ องค์หญิงอันหย่าหวาดกลัวมากจนทรุดลงกับพื้นด้วยท่าทางน่าอาย
นางดูหวาดกลัวเหลือเกิน ทั้งยังหายใจลำบาก ใบหน้าซีดเซียวของนางมีเหงื่อไหลออกมาเป็หยดๆ หน้าของนางทั้งซีดและม่วง ราวกับว่านางกำลังจะ ‘ตาย’
เมื่อเห็นเช่นนี้ มู่จื่อหลิงก็อดไม่ได้ที่จะปรบมือ
เพราะนางค่อนข้างแน่ใจว่า คราวนี้ต้นกล้าอ่อนแอผู้นี้กำลังล้มป่วยลงไปจริงๆ และดูเหมือนไม่เบาเลย หากไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม และไม่ได้รับการรักษาอย่างทันกาล นางอาจเสียชีวิตได้จริงๆ
ก่อนหน้านี้ไม่ใช่ว่าเสแสร้งอย่างสนุกอยู่หรือ ดังคำกล่าวที่ว่า หากทำความชั่วมากย่อมพิฆาตตนเอง [2] ยามนี้ได้พบกับความโชคร้ายเข้าจริงๆ แล้วไม่ใช่หรือ? นางสมควรได้รับมันแล้ว มู่จื่อหลิงเยาะเย้ยในใจ
ไม่สำคัญหรอกว่ารถม้าจะเล็กเกินไป จึงเป็เหตุให้มันไม่อาจรองรับพลังของหลงเซี่ยวอวี่ได้ ด้วยไม่ว่าจะเป็สิ่งใดก็ตามอย่างไรมันก็ต้องะเิออก
ต้องบอกว่าการะเินั้นน่าตื่นเต้น อึกทึก แม้ว่าจะสูญเสียรถม้าไป แต่ก็ยังถือว่าทำได้ดี
แต่เหตุใดนางถึงยังคิดว่าการะเิไม่ใช่เื่บังเอิญ ราวกับว่าเป็...การทำโดยเจตนา? มู่จื่อหลิงจ้องไปยังเศษซากด้านนอกพร้อมลูบคางของตน ในดวงตาของนางเต็มไปด้วยความคิด
หลังจากคิดถึงเื่นี้ มู่จื่อหลิงก็แอบเหลือบมองหลงเซี่ยวอวี่ที่อยู่ในรถม้าอีกครั้ง
แต่กลับพบว่าหลงเซี่ยวอวี่ที่เดิมทีหลับตาลงและแสร้งทำเป็หลับนั้น ราวกับรับรู้ได้ถึงอะไรบางอย่าง เขาค่อยๆ ลืมตาขึ้น หันหน้ามาเล็กน้อย ดวงตาที่เปล่งประกายด้วยคลื่นอ่อนที่ทำให้มึนเมาหันมองมาทางตนเอง
มุมปากของหลงเซี่ยวอวี่ดูเหมือนจะยกขึ้นเล็กน้อย แสร้งทำเป็งงงวย “มู่มู่เด็กโง่ มีสิ่งใดผิดปกติหรือ?”
ดวงตาคู่งามของเขาสุกใสดุจดวงดาวที่ส่องแสงสว่างสดใสเป็ประกายระยิบระยับ
ในยามนี้ แสงอาทิตย์อบอุ่นจากด้านนอกยังคงส่องกระทบใบหน้าด้านข้างของเขาอย่างแ่เบา ช่วยเพิ่มความมีชีวิตชีวาให้กับใบหน้าที่สมบูรณ์แบบและงดงามของเขา ทำให้ตาพร่าไปด้วยประกายที่สวยสดงดงาม
เดิมทีก็หล่อเหลาดุจเทพบุตรอยู่แล้ว มายามนี้ใบหน้าหล่อเหลาแต่งแต้มด้วยยิ้มจางๆ แสงที่นุ่มนวลราวกับน้ำภายในแววตายิ่งทำให้ดูสดใสและมีเสน่ห์ยิ่งขึ้น จนทำให้คนไม่อาจละสายตาไปได้
มู่จื่อหลิงยังคงดิ้นรนและ้าถามเขาว่าเกิดอะไรขึ้นถึงได้มีการะเิ
แต่เมื่อเห็นภาพนี้ นางััได้ถึงหัวใจที่เกิดการปั่นป่วนของตน จึงรีบหลับตาลง ลอบว่าร้ายอย่างลับๆ ว่า “มารร้าย!”
หลงเซี่ยวอวี่ชอบที่มู่จื่อหลิงเป็เช่นนี้มาก รอยยิ้มตรงมุมปากของเขาจึงยิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ...
อีกด้านหนึ่งฝั่งของมู่อี๋เสวี่ย
เมื่อเห็นเช่นนั้น มู่จื่อหลิงเกือบจะร้องออกมาด้วยความประหลาดใจ
หากจะบอกว่า เมื่อครู่นี้มู่จื่อหลิงคาดเดาว่าการที่รถม้าเกิดะเิขึ้นนั้นมันเกิดจากหลงเซี่ยวอวี่ที่กระทำโดยจงใจ...ในยามนี้ นางค่อนข้างมั่นใจแล้วว่าหลงเซี่ยวอวี่ตั้งใจทำมัน
เพราะ...ในยามนี้ มู่อี๋เสวี่ยกำลังร้องไห้น้ำตาไหลริน ทั้งร่างทรุดลงคุกเข่าอยู่บนพื้น มีเสียงสะอื้นไห้ในลำคอ
ชุดที่ก่อนหน้านี้เป็สีขาวราวกับหิมะ ยามนี้มันแดงฉานไปด้วยเือีกครั้ง เืสีแดงสดไหลออกมาจากาแกว้างขนาดใหญ่ที่หน้าอกของนาง ราวกับดอกปี่อั้น [3] บานสะพรั่ง ช่างดูโดดเด่นสะดุดตา
ในจุดที่ห่างจากปากของนางเพียงไม่กี่ชุน [4] ซึ่งิัขาวราวหิมะแสนบอบบางของนางกำลังสั่นไหว มีสิ่งหนึ่งค่อยๆ หยดลงมา และนางไม่กล้าแม้แต่จะแตะต้องมัน
สิ่งที่น่าใและน่าขนลุกที่สุดคือมีจุดหนึ่งบนใบหน้าของนางที่มีเืไหลลงมาไม่หยุด
ปากของนางที่เดิมทีถ่มน้ำลายออกมาไม่หยุด ในยามนี้มัน...ถูกแทงด้วยเศษไม้เรียวยาวสามท่อน ซึ่งปักอยู่บนริมฝีปากของนางโดยตรง เชื่อมริมฝีปากสีแดงเืของนางเข้าด้วยกันอย่างแ่า
เืสีแดงสดหยดลงมาตามคางที่แหลมของเธอทีละหยดทีละหยด
ผ่านไปครู่หนึ่ง จึงได้ทิ้งคราบเืเปรอะเปื้อนไว้บนเสื้อผ้าบนรอบกายนาง คราบเืกระจายไปทั่วในอากาศ
“ซี้ด”
มู่จื่อหลิงเอื้อมมือปิดปากของนาง สูดลมหายใจเข้าลึกๆ
เศษไม้ทิ่มแทงปาก ดูไปแล้วคงจะเจ็บมาก!
ภาพดังกล่าว มู่จื่อหลิงผู้ซึ่งเคยเห็นภาพนองเืที่ยิ่งใหญ่ยิ่งกว่านี้มาก่อนแล้ว ยังอดไม่ได้ที่จะตะลึงและแอบใ
เศษไม้ทั้งสามเจาะผ่านริมฝีปากบางๆ ทั้งบนล่างอย่างแม่นยำ เย็บปิดปากของมู่อี๋เสวี่ยไว้อย่างแ่า
อยากจะร้องไห้ออกมาดังๆ ด้วยความเ็ป แต่ไม่สามารถอ้าปากได้ ดังนั้นจึงทำได้เพียงส่งเสียงคร่ำครวญจากภายในลำคอเท่านั้น!
เนื้อปากของนางถูกฉีกออก เืพุ่งออกมาราวกับสายน้ำ ใบหน้าของนางไม่อาจมีสีสันได้มากไปกว่านี้อีกแล้ว มู่อี๋เสวี่ยในยามนี้ราวกับปีศาจที่น่าสะพรึงกลัวที่เพิ่งดูดเืเสร็จ มันช่างน่ากลัวจนไม่อาจทนมองต่อไปได้
เื่ขององค์หญิงอันหย่าอาจกล่าวได้ว่ามันเป็เื่บังเอิญ แต่เื่ของมู่อี๋เสวี่ยที่ได้รับาเ็จากการะเิของรถม้าเมื่อสักครู่นี้ไม่อาจกล่าวได้ว่าเป็เื่บังเอิญ
มู่จื่อหลิงได้ตัดสินแน่ชัดในใจแล้วว่า มันเกิดจากความตั้งใจของหลงเซี่ยวอวี่
โดยจงใจทำให้เกิดเสียงดัง ประการแรก มันจะทำให้องค์หญิงอันหย่าใกลัว และประการที่สอง ก็เพื่อเย็บปากที่เน่าเสียของมู่อี๋เสวี่ย
เขาทำไปเพราะนางหรือ?
เมื่อคิดถึงเื่นี้ ความอบอุ่นที่อธิบายไม่ได้ก็แวบเข้ามาในหัวใจของมู่จื่อหลิง
ใช่แล้ว แม้ว่าหลงเซี่ยวอวี่จะไม่อาจเห็นสถานการณ์ภายนอกได้จากในรถม้า แต่เขาย่อมได้ยินมันชัดเจน
แม้ว่ามู่จื่อหลิงจะไม่หวั่นไหวกับความเ้าเล่ห์ขององค์หญิงอันหย่า และไม่สนใจคำพูดสบประมาทที่รุนแรงของมู่อี๋เสวี่ย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่านางไม่อยากจัดการกับพวกนาง
มู่อี๋เสวี่ยเป็เพียงคนโง่ที่น่าสงสาร มู่จื่อหลิงรู้สึกว่า วันนี้นางทำให้มู่อี๋เสวี่ยอับอายมากพอแล้ว ดังนั้นจึงไม่จำเป็ต้องทำสิ่งใดกับนางอีก
ส่วนองค์หญิงอันหย่า ด้วยนางเป็ดวงใจของไทเฮา นางย่อมไม่สามารถเผชิญหน้าได้อย่างตรงไปตรงมา หากไทเฮาทรง้าจับผิด สุดท้ายก็ต้องเป็ตนเองที่ต้องทนทุกข์ในท้ายที่สุด
แต่สำหรับใครบางคนที่ฉลาดอย่างหลงเซี่ยวอวี่ เขาจะไม่เข้าใจได้อย่างไรว่าองค์หญิงอันหย่ากำลังใช้มู่อี๋เสวี่ยเพื่อดูิ่และทำให้นางต้องอับอาย เขาจะไม่เข้าใจได้อย่างไรว่าองค์หญิงอันหย่าเป็ผู้ริเริ่ม
เป็เพราะเขารู้ดี นั่นจึงเป็เหตุผลที่เขาจงใจะเิรถม้า ทำให้องค์หญิงอันหย่าใกลัวจนเกิดอาการหัวใจวาย และทำให้มู่อี๋เสวี่ยที่พูดพล่อยๆ ต้องหุบปากลง
มู่จื่อหลิงเม้มริมฝีปากและหันไปมองหลงเซี่ยวอวี่อีกครั้ง
คราวนี้เขาไม่ลืมตามองนางอีกแล้ว ราวกับว่าเขากำลังหลับสนิท ขนตาสวยดกดำหนานั้นทอดเงาใต้ดวงตาที่ปิดสนิทของเขา ส่งให้คนยิ่งน่าหลงใหล
หัวใจของมู่จื่อหลิงสั่นไหวเล็กน้อย และก่อนที่นางจะทันรู้ตัว หัวใจของนางซึ่งท้ายที่สุดแล้วก็ยากที่จะตั้งมั่นต่อไปได้ จึงเริ่มเกิดความรู้สึกตกหลุมรักคนบางคนอีกครั้ง...
ในยามนั้นเอง ได้เกิดเสียงเล็กแหลมดังขึ้นมาจากด้านนอกอีกครั้งจากหญิงสาวสองสามคนตรงนั้น
เมื่อได้ยินเสียงดังกล่าว มู่จื่อหลิงจึงหันไปมอง เห็นเพียงแค่หลงเซี่ยวเจ๋อยังคงนั่งโง่ๆ อยู่บนพื้น เห็นท่าทางที่ยุ่งเหยิงและน่าตลกของเขา ราวกับคนโง่ผู้ไร้เดียงสาที่มีเพียงความสับสน
มุมปากของมู่จื่อหลิงกระตุกเล็กน้อย นางถามอย่างขบขัน “เอ่อ หลงเซี่ยวเจ๋อ เ้าเป็อะไรไหม? ใมากหรือไม่?”
เมื่อได้ยินเสียงของมู่จื่อหลิง หลงเซี่ยวเจ๋อก็ลุกขึ้นจากพื้นด้วยความตื่นเต้น ตบฝุ่นบนร่างกายของตน และตอบอย่างโง่เขลาว่า “เอ่อ พี่สะใภ้สาม ข้าสบายดี”
เขาชี้นิ้วไปที่หัวของตนอีกครั้ง แล้วหัวเราะออกมาสองสามครั้ง “โชคดี โชคดี ตรงนี้ยังอยู่ดี มันยังฉลาดเหมือนก่อนหน้านี้”
“หึ...” มู่จื่อหลิงกลั้นหัวเราะไม่อยู่จนหลุดหัวเราะออกมา
เด็กโง่ผู้นี้ หลงเซี่ยวเจ๋ออวดว่าก่อนหน้านี้เขาฉลาดหรือ? นางไม่เคยเห็นความฉลาดของมันเลย! คนผู้นี้ควรกล่าวว่ายังโง่เหมือนเดิมไม่ใช่หรือ?
หลงเซี่ยวเจ๋อปัดฝุ่นออกจากร่างกายแล้วรีบเดินเข้ามา
ในยามนี้ ชิวเซียงผู้ซึ่งกำลังปิดหน้าร้องไห้ เมื่อได้ยินเสียงของมู่จื่อหลิง ก็เหมือนจะนึกบางสิ่งขึ้นมาได้
นางพาร่างที่เปราะบางขององค์หญิงอันหย่าเข้ามาก่อนจะคุกเข่าลงกับพื้น จ้องมาที่มู่จื่อหลิงซึ่งอยู่ในรถม้าเพื่อร้องขอ
“หวางเฟย หวางเฟย โปรดลงจากรถม้ามาช่วยดูอาการให้องค์หญิงสักหน่อยเถิด”
“หวางเฟย ได้โปรด...”
เมื่อได้ยินเสียงเช่นนี้ มุมปากของมู่จื่อหลิงก็กระตุกอย่างเยาะเย้ย นางจ้องมองไปที่องค์หญิงอันหย่าอย่างใจเย็น
ดวงตาของมู่จื่อหลิงฉายแววประชดประชันและแสร้งทำเป็แปลกใจ ก่อนจะถามว่า “องค์หญิงอันหย่าเป็อะไรไป? ไม่ใช่เพราะเื่เมื่อครู่...ไอ้หยา เหตุใดถึงได้ตระหนกใมากถึงเพียงนี้?”
ในยามนี้ มู่อี๋เสวี่ยซึ่งกำลังโศกเศร้าได้ฟื้นคืนสติขึ้นมาในทันใด
นางเงยหน้าขึ้นและจ้องไปที่มู่จื่อหลิงอย่างขมขื่น ปากของนางยังคงคร่ำครวญ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าในยามนี้นาง้าจะพูดสิ่งใด ยังอยากจะพูดอยู่อีกหรือ
มู่จื่อหลิงเฝ้ามองอย่างเ็า รอยยิ้มไม่ใส่ใจปรากฏขึ้นตรงมุมปากของนาง ในที่สุดก็ส่งเสียงออกมาเพียงประโยคเดียวเพื่อบอกมู่อี๋เสวี่ยว่า “มู่อี๋เสวี่ย การเจรจากับเสือเพื่อขอหนัง [5] มันจะจบลงได้ไม่ดีนัก”
“หวางเฟย ได้โปรด…ชิวเยวี่ยกำลังไปตามหมอหลวงมาแล้ว แต่บ่าวกลัวว่า...”
ชิวเซียงร้องไห้อย่างหนัก ด้วยท่าทางที่น่าสงสารสุดจะพรรณนา
กลัว? ควรกลัวแล้ว
กล่าวได้ว่าในยามนี้ มู่จื่อหลิงอารมณ์ดี รอยยิ้มบางๆ ที่มุมปากของนางยังคงมีอยู่เช่นเดิม ไม่ว่าชิวเซียงจะขอร้องอ้อนวอนอย่างน่าสงสารเพียงใดนางก็ยังคงนิ่งเฉย
มู่จื่อหลิงไม่สนใจ ส่วนหลงเซี่ยวเจ๋อกลับไม่สามารถระงับความโกรธของตนได้อีกต่อไป
หลงเซี่ยวเจ๋อเด็กที่มักจะปากไวอยู่เสมอ ร้องะโใส่ชิวเซียง “โย่! เ้าเป็ข้ารับใช้ที่ช่างอาจหาญเสียจริง”
“องค์ชายหก…”
ชิวเซียงตกตะลึงกับคำพูดของหลงเซี่ยวเจ๋อ
---------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] เดินสวนทางกับคนทั่วไป (不走寻常路) เป็วลี มีความหมายว่า การไม่เดินตามเส้นทางปกติหรือไม่ทำในสิ่งที่ผู้อื่นเขามักจะทำกัน เป็การทำบางสิ่งในลักษณะพิเศษหรือแหวกแนว
[2] หากทำความชั่วมากย่อมพิฆาตตนเอง (多行不义必自毙) เป็วลีในบทกวี 《左传·隐公元年》มีความหมายว่า ถ้าทำสิ่งที่ไม่ชอบธรรมมากเกินไป สุดท้ายจะต้องพินาศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
[3] ดอกปี่อั้น (彼岸花) คือพลับพลึงแดง เป็สัญลักษณ์แห่งความตายและการพลัดพราก
[4] ชุน (寸) เป็คำบอกระยะทาง โดย 1 ชุน เท่ากับ 1 นิ้ว
[5] เจรจากับเสือเพื่อขอหนัง (与虎谋皮) เป็สำนวน มีความหมายว่า ความ้าอยากได้ในสิ่งที่ขัดกับผลประโยชน์ของผู้อื่นที่มีกำลังเหนือกว่า ย่อมไม่สมหวัง หรือการสนทนากับคนชั่วเพื่อขอให้เขาละทิ้งประโยชน์ส่วนตนเป็เื่ที่ไม่อาจเป็ไปได้
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้