มู่หรงฉือโกรธจัด เวลานี้แล้วเขายังมีกะจิตกะใจมาคิดเื่พวกนี้อีก
แต่ไม่ว่านางจะดีดดิ้นต่อต้านอย่างไรก็ไร้ผล มู่หรงอวี้ไม่ให้โอกาสนางเป็อิสระ
นางถูกบังคับให้แหงนศีรษะไปด้านหลังเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะจับหลังคอของนางแล้วก้มลงจุมพิตกลีบปากนุ่มของนางอย่างหลงใหลมัวเมา ทั้งดุดันและร้อนแรง
ตอนแรกนางยังต่อต้านเล็กน้อย แต่ด้วยความร้อนแรงและลึกซึ้งของจุมพิตนั้น ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เรี่ยวแรงทั้งหมดของนางกลับหายไปอย่างประหลาด ราวกับถูกอะไรโจมตี ทั่วทั้งร่างกายอ่อนยวบ ด้านหน้าด้านหลังชาหนึบไปหมด มีเพียงต้องพิงเขาเท่านั้นนางถึงจะยืนต่อไปได้
กลิ่นหอมอบอุ่นปกคลุมไปทั่วร่างของนาง ริมฝีปากโรมรันพันตูด้วยกันจนนางรู้สึกเวียนหัว
“หากพวกเราสามารถออกไปได้ เ้ายังจะมองข้าเป็ศัตรูหรือไม่? แต่ก่อนข้าเคยดูถูกเ้า ไม่เคยมองเ้าเป็คู่ต่อสู้ที่แท้จริง ในตอนที่พบว่าเ้ามีค่าพอที่จะเป็คู่ต่อสู้ของข้า กลับพบว่าข้ากลับชอบให้เ้าเป็คนที่จะร่วมหมอนกับข้ามากกว่าเสียแล้ว”
น้ำเสียงทุ้มต่ำทว่าว่างเปล่ายากจับต้อง ราวกับกำลังพยายามควบคุมเืลมที่กำลังพลุ่งพล่าน
มู่หรงฉือที่อยู่ในสภาพมึนงงได้ยินไม่ค่อยชัดเจนนัก รู้สึกเพียงว่าตรงริมฝีปากมีอะไรนุ่มๆ ขยับไปมา
พริบตาต่อมา ความอ่อนโยนมากมายพลันถาโถม ช่างอ่อนโยนเหมือนสายฝน จูบร้อนแรงราวกับเปลวเพลิงทำให้นางเป็ลมไปอีกครั้ง
ท่ามกลางความมืด กลิ่นหอมเหมือนดอกไม้สีแดงที่บานอยู่บนูเาหิมะพันปีก็แผ่กำจายออกมา
บุปผาสีแดงเพียงหนึ่งเดียวนั้นได้สลักอยู่ในความทรงจำตลอดชาตินี้ของเขา
นิ้วเรียวยาวของเขาจิ้มลงไปที่เอวของนางเบาๆ นางยิ่งเวียนหัวหนักขึ้น ก่อนจะล้มพับเข้ามาในอ้อมกอดของเขา
มู่หรงอวี้อุ้มนางมานั่งที่มุมหนึ่ง เพียงครู่เดียวเขาก็สลบไปด้วย
เพียงไม่นาน กำแพงหินก็เปิดออก คนชุดดำยกร่างของพวกเขาขึ้นก่อนจะนำตัวพวกเขาออกไป
คุณชายชุดทองมีคำสั่งมาว่า หากพวกเขาตายแล้วก็ให้โยนพวกเขาออกไปเสีย
ตอนที่คนชุดดำสำรวจลมหายใจของชายหนึ่งหญิงหนึ่งก็พบว่าทั้งสองต่างไร้ลมหายใจแล้ว
ตามเส้นทางคดเคี้ยวอันมืดสนิท ทันใดนั้น คนชุดดำสองคนที่กำลังลากมู่หรงอวี้ก็ถูกฝ่ามือซัดเข้าไปคนละทีหนึ่งพร้อมๆ กันอย่างไม่ทันตั้งตัว ก่อนจะกระเด็นไปกระแทกกับกำแพงหิน
พลันเห็นมู่หรงอวี้ะโลุกขึ้นมา สองมือยกขึ้นปล่อยพลังปราณสีขาวออกมาราวกับลูกธนู อานุภาพรุนแรงจนไม่อาจต้านทาน พริบตาเดียวก็สังหารพวกเขาเสียแล้ว
คนชุดดำอีกสองคนที่เดินนำอยู่ด้านหน้ารู้สึกถึงการเคลื่อนไหวด้านหลัง เมื่อหันกลับไปก็เห็นสหายตายไปเสียแล้ว ส่วนคนที่คิดว่าตายไปแล้วกลับฟื้นคืนชีพ จึงอดที่จะตกตะลึงไปไม่ได้
แต่เพียงชั่วอึดใจ พวกเขาก็พุ่งเข้าไปโจมตี
มู่หรงอวี้ลงมือดุดันรุนแรง ก่อนจะทะยานตัวขึ้นไป ขาทั้งสองข้างยันกำแพงสองฝั่งของทางเดิน ฝ่ามือตบลงไปหนึ่งครั้งก็เกิดเป็พลังขนาดใหญ่ปกคลุมลงไป พลังปราณโจมตีครอบอีกฝ่ายเอาไว้
มู่หรงฉือที่นั่งอยู่บนพื้นได้ยินเสียงจอแจก็ลืมตาทั้งสองข้างขึ้น เอ๋ นางยังไม่ตายหรือ?
คนชุดดำสองคนล้มลงเืไหลนอง ส่วนบุรุษผู้นั้นรีบเดินมาทางตน นางมึนงงอยู่เล็กน้อย พวกนางออกจากห้องลับมาแล้วหรือ?
มู่หรงอวี้รีบเข้ามาดึงนางให้วิ่งไปข้างหน้า “รีบไปเร็วเข้า!”
เส้นทางหนีตายอยู่ใต้ฝ่าเท้า นางรู้ว่าที่นี่อยู่นานไม่ได้จึงออกวิ่งไปอย่างรวดเร็ว
ด้านหลังมีคนชุดดำวิ่งตามมา พวกนางสองคนพุ่งไปทางประตูหินแล้วรีบบิดกลไก นางออกไปก่อนมีเขาตามออกมาติดๆ
ในบ้านชาวบ้านไม่มีบ่าวรับใช้ชุดเขียวแล้ว แต่คนชุดดำด้านหลังกำลังไล่ตามมาติดๆ ในตอนที่พวกเขากำลังจะพุ่งตัวออกจากบ้านนั้น กลับมีคนชุดดำหลายคนะโลงมาแล้วมาล้อมโจมตีพวกเขา
การต่อสู้อันดุเดือดได้เปิดฉากขึ้นอีกครั้ง มู่หรงฉือยืนอยู่ด้านข้างลังเลว่าจะช่วยลงมือดีหรือไม่
คนชุดดำจากบ้านชาวบ้านรวมกับคนชุดดำที่อยู่ด้านหลังนับได้ทั้งสิ้นสิบแปดคน มู่หรงอวี้คนเดียวรับมือกับสิบแปดคนไม่รู้อัตราชนะเป็เท่าไหร่
นางกำหมัดแน่น ความกังวลค่อยๆ พุ่งขึ้นสูง
ถึงแม้พวกเขาจะจัดการกับคนชุดดำไปสองคนแล้ว แต่เหมือนจะยังไม่ได้เปรียบนัก
พลังปราณสีเงินแล่นผ่านไป จิตสังหาระเิออก ในค่ำคืนเดือนหงายใบหน้าขาวสะอาดและสง่างามของมู่หรงอวี้ราวัเหิน ดูล่องลอยราวขนนกทว่ามีความเยือกเย็นแฝงอยู่
พริบตาเดียวเขาก็คว้ากระบี่ยาวมาเล่มหนึ่งก่อนจะออกกระบวนท่าล้มคนเ่าั้ทันที
เหินตัวขึ้นมาตวัดกระบี่ไป ปราณกระบี่สีขาวราวแสงจันทร์พลุ่งพล่าน
แสงจันทร์สาดส่องให้เห็นสีโลหิตแดงฉาน
คนชุดดำอีกสองคนล้มลง ทันใดนั้น คนชุดดำอีกสองคนก็พุ่งมาทางนาง พร้อมกับแทงปลายดาบเข้ามา
ในตอนที่ชีวิตตกอยู่ในอันตราย นางก็หมุนตัวหนี หยิบกระบี่ยาวขึ้น ดวงตาเ็า
นางยังไม่ทันได้ลงมือ มู่หรงอวี้ก็ทะยานเข้ามาช่วย ปราณกระบี่ฟาดฟันมา ศีรษะของอีกฝ่ายก็กระเด็นขึ้นฟ้าก่อนจะร่วงหล่นลงกับพื้น
ใบหน้าของเขาโเี้จนน่าหวาดหวั่น ดวงตาเต็มไปด้วยจิตสังหาร
เขาหมุนตัวไป จากนั้นความรุนแรงน่ากลัวในการรบของเขาก็ยิ่งเข้มข้นขึ้นอีก
นางไม่รู้ว่าฝีมือการต่อสู้ของเขามีขีดจำกัดตรงที่ใด ทุกครั้งที่เขาเพลี่ยงพล้ำกลับสามารถสังหารบรรดาคนที่ล้อมเขาเอาไว้ได้ ทุกครั้งที่ถูกบีบให้จนมุม แต่พริบตาต่อมากลับพลิกสถานการณ์กลับมาได้เปรียบ
ทันใดนั้น หัวใจของนางก็กระตุก “ระวัง!”
คนชุดดำสองคนแทงเข้ามาจากด้านข้างอย่างฉับพลัน ชั่วร้ายดั่งงูพิษ
มู่หรงอวี้กำลังต่อสู้อย่างดุเดือด ไม่สามารถหลบหลีกได้ มีทางเดียวก็คือต้องเหินตัวขึ้นไปเท่านั้น แต่ช้าไปเพียงหนึ่งก้าว ปลายกระบี่คมกรีดลงที่แขนของเขา
ผิวขาวถูกบาดเป็เส้นก่อนโลหิตจะไหลทะลักออกมา
เขาโกรธจัด จิตสังหารรุนแรงขึ้น กระบี่ยาวตวัดออกไป
ปราณกระบี่ห่อหุ้มไว้ด้วยกำลังภายในอันแข็งแกร่ง เมื่อถูกปราณนี้ฟาดเข้าใส่แล้วไม่มีผู้ใดต้านทานได้
เขาอาศัยโอกาสอันดีนี้ตวัดกระบี่ออกอีกหนึ่งกระบวนท่า ปราณกระบี่แหลมคมปาดคอพวกเขา
คนชุดดำทั้งหมดกลายเป็ศพ ไม่อาจลืมตาขึ้นมาได้อีกแล้ว
มู่หรงอวี้คว้าแขนนางให้วิ่งไปบนหลังคาภายใต้แสงจันทร์ ทว่าตามบ้านเรือนเ่าั้พลันมีคนชุดดำอีกหลายคนปรากฎตัวขึ้น หลังจากพบว่าพวกเขาวิ่งไปทางทิศใดก็ไล่ตามมาราวกับหมาป่า
มู่หรงฉือโอบเอวของเขาเอาไว้แน่นไม่กล้าปล่อย เมื่อหันกลับไปมองก็พูดออกมาด้วยความใ “มีคนชุดดำตามมา!”
“รู้สึกได้ตั้งนานแล้ว”
เขาพูดเสียงเบา นี่คือเหตุผลที่เขาไม่รุดไปที่จวนหวาง
นางพูดด้วยความร้อนใจ “ที่จวนของท่านมียอดฝีมือตั้งมากมาย กลับไปที่จวนหวางของท่านเถิด!
เขาไม่ฟังนาง จู่ๆ ก็กระโจนขึ้นไปแล้วร่อนตัวลงที่บ้านชาวบ้านหลังหนึ่ง
ค่ำคืนดึกดื่น ชาวบ้านในเมืองต่างดับไฟนอนกันไปแล้ว บ้านเรือนมืดมิด ไม่มีแสงแม้แต่น้อย
“ในบ้านมีคนอยู่ หากทำให้คนใตื่นจนเกิดเสียง คนชุดดำพวกนั้นย่อมตามมาถึงที่นี่” มู่หรงฉือพูดด้วยความกังวล ไม่เข้าใจว่าเหตุใดเขาถึงไม่ยอมกลับจวน
“บ้านนี้ไม่มีคน” มู่หรงอวี้ดึงนางเข้าไปในโถงใหญ่ แล้วเข้าไปในห้องอีกครั้ง ไม่มีใครจริงๆ
นางย้อนคิดกลับไป ฝีมือการต่อสู้ของเขาลึกล้ำไม่อาจคาดเดา การรับรู้สภาพแวดล้อมรอบๆ ของเขาเองก็เฉียบแหลมกว่าคนอื่นมาก รู้สึกได้ก่อนว่าในบ้านไม่มีผู้ใด
นางกังวลว่าคนชุดดำจะตามมาถึงที่นี่ แต่ตอนนี้ทำได้แค่ทำตามเขา
“ท่านเืออกเยอะมาก ให้ข้าพันแผลให้ก่อนเถิด”
“อืม” เขานั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ มองไปรอบๆ ห้องนอน
บ้านหลังนี้เป็บ้านทรงสี่เหลี่ยม นอกจากเตียงไม้ง่ายๆ หีบไม้สองลัง เก้าอี้ไม้สองตัวกับไหหนึ่งใบแล้วก็ไม่มีอย่างอื่นอีก
ไม่รู้ว่าเ้าของบ้านไปไหนแล้ว ทางที่ดีที่สุดอย่ากลับมากะทันหันเป็พอ
มู่หรงฉือโน้มตัวมาแกะผ้ารัดเอวของเขา ศีรษะจึงเข้าไปใกล้เขาพอดี ลมหายใจของทั้งสองคนเกี่ยวกระหวัดเข้าด้วยกัน มีความไม่ชัดเจนบางอย่างแผ่ซ่าน
เดิมทีนางก็มือไม้งุ่มง่าม จู่ๆ ก็รู้สึกว่าใกล้ชิดกันเกินไป นางจึงรีบร้อนรีบกระตุกผ้ารัดเอวอีกครั้ง ชุดสีขาวก็คลายออก
หลังจากนั้นนางอ้อมมาด้านหลังของเขา ถอดเสื้อคลุมของเขาออกแล้วปลดเสื้อตัวในด้านซ้ายของเขาลง
แสงจันทร์สาดส่องเข้ามาทางหน้าต่าง เกิดเป็แสงสีขาวนวลอยู่ในห้อง ลำคอของเขาราวหยก บ่าไหล่ผึ่งผายแข็งแรง เส้นที่บ่าตรงสวย ไหปลาร้าเป็ระเบียบ ผิวขาวบาง กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ แผ่กำจายออกมาััที่จมูก
ความขาวราวกับสายหมอกนั้นช่างเย้ายวนใจ นางดึงสติของตัวเองกลับมา พร้อมก่นด่าตัวเองที่ในเวลานี้ยังปล่อยให้สติล่องลอยไปได้
“าแเริ่มดำแล้ว กระบี่ยาวน่าจะเคลือบพิษไว้”
หัวใจของนางเต้นแรง เขาได้รับาเ็จากนั้นยังเดินลมปราณนานขนาดนี้พิษควรจะกระจายไปแล้ว
ดีที่ตลอดทางเขาไม่ได้ส่งเรียกร้องเลยสักนิด
“พันแผลเถิด” มู่หรงอวี้พูดเสียงเบา
“หากพิษเข้าโจมตีหัวใจจะทำอย่างไร?”
“ตอนนี้ยังตายไม่ได้หรอก”
“เวลานี้แล้วยังจะพูดเช่นนี้อีก” นางพูดอย่างโมโห “มิสู้กลับไปที่จวนจะดีกว่า...”
“ไม่ได้ หากกลับไปที่จวน คนชุดดำพวกนั้นก็จะตามไปถึงจวนหวาง สถานะของพวกเราก็จะถูกเปิดเผย กลายเป็แหวกหญ้าให้งูตื่น ต่อไปหากจะตรวจสอบอีกก็ยากแล้ว สิ่งที่พวกเราทำไว้ก่อนหน้านี้ทั้งหมดก็จะสูญเปล่า” น้ำเสียงของเขาหนักแน่นไม่ยอมให้นางต่อต้าน
“แต่ว่าพิษนี้เกรงว่าจะเป็พิษร้ายแรง อีกไม่นานท่านอาจจะ...” มู่หรงฉือไม่กล้าพูดต่อ เขาต้องมาตายเพราะตามสืบเื่ฝิ่นเช่นนี้คุ้มค่าแล้วหรือ?
“พันแผล” มู่หรงอวี้ออกคำสั่งเหมือนสั่งลูกน้อง
นางจำต้องฉีกมุมเสื้อออกมาแล้วพันแผลที่แขนด้านซ้ายของเขา
หลังจากพันเสร็จแล้วก็สวมชุดกลับไปให้เขาพลางถาม “ที่ห้องลับก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้น? เหตุใดคุณชายชุดทองถึงได้ปล่อยพวกเราออกมา?”
แววตาของเขาสงบนิ่ง “ข้ามีทักษะเฉพาะตัว ขอเพียงปิดผนึกเส้นหัวใจเอาไว้ ลมหายใจก็จะอ่อนลงราวกับคนตาย ความจริงก็คือแกล้งตาย แต่ว่าใช้ได้เพียงหนึ่งเค่อ[1]”
มู่หรงฉือเข้าใจแล้ว เขาทำให้นางกับตนเองอยู่ในสภาวะแกล้งตาย คุณชายชุดทองคิดว่าพวกเขาถูกพิษตายไปแล้วจึงนำร่างของพวกเขาออกมาโยนทิ้งด้านนอก ดังนั้นพวกเขาจึงหนีออกมาจากห้องลับนั้นได้
ถึงว่าเขาถึงได้นิ่งสงบขนาดนั้น ที่แท้ก็มีแผนเช่นนี้อยู่แล้ว
บัดซบ ตอนนั้นเขาไม่พูด ทำเอานางกังวลใจแทบตาย
เมื่อคิดได้เช่นนี้นางก็พูดออกมาอย่างโมโห “เช่นนั้นเหตุใดท่านถึงไม่พูดให้ไวๆ เล่า?”
“พวกเขามาแล้ว”
มู่หรงอวี้จู่ๆ ก็ดึงนางเข้ามา แล้วคลายสายคาดเอวของนางออก จนนางร้องเสียงเบาอย่างใ ดวงตาเบิกกว้าง “ท่านจะทำอะไร?”
เขาออกแรงถอดอาภรณ์ของนาง ทั้งหยาบคายทั้งรุนแรงไม่ทะนุถนอมสักนิด
เสื้อตัวนอก ตัวกลาง กางเกง และตู้โตว[2]ของนางร่วงหล่นราวกับใบไม้หล่นลงพื้น
ต่อมาเขาก็อุ้มนางไปที่เตียง “ถอดเสื้อของข้าออก”
มู่หรงฉือไม่กล้าขัดขืนอย่างรุนแรงนัก นางกังวลว่าจะไปโดนแผลที่แขนข้างซ้ายของเขา ครั้นได้ยินเสียงเคร่งขรึมเ็าของเขาที่ปราศจากความเสน่หาก็เข้าใจเจตนาของเขาทันที รีบถอดเสื้อผ้าของเขาออก
ถอดชิ้นหนึ่งก็โยนออกชิ้นหนึ่ง เสื้อผ้าแต่ละชิ้นกองรวมเข้าด้วยกัน ท่ามกลางความมืดแยกไม่ออกว่าเป็ของใคร
นางพลันคิดอะไรขึ้นมาได้ ยกมือขึ้นถอดหน้ากากหนังมนุษย์ของเขาออก แล้วก็ถอดของตนออกด้วย จากนั้นก็เอาไปซ่อนไว้
ตามเนื้อตัวไม่มีเสื้อผ้าเลยสักชิ้น คนทั้งสองเปลือยเปล่าหันเข้าหากัน บนร่างของพวกเขาคลุมไว้ด้วยผ้าห่มบางๆ บดบังเอาไว้
นางมองเขา เขากดทับร่างของนาง ใบหน้าห่างกันเพียงคืบ เนื่องจากถูกพิษ ริมฝีปากของเขาที่ปกติเป็สีแดงตอนนี้กลับเป็สีม่วงเข้ม คิ้วยังคงเชิดขึ้น ดวงตายังคงเปล่งประกาย
ในตอนนี้เอง นางได้ยินเสียงฝีเท้าคนย่ำอยู่ด้านนอกมากมาย เป็คนชุดดำพวกนั้นที่ตามมาถึงที่นี่
“พวกเขาจะต้องอยู่ที่นี่แน่ ลองเข้าไปดู”
“ตรวจบ้านตรวจคน จะปล่อยให้เล็ดลอดไปไม่ได้เป็อันขาด”
ต่อมาประตูก็ถูกผลักออก
มู่หรงอวี้ก้มหน้า ริมฝีปากจรดที่ลำคอของนาง...
เชิงอรรถ
[1] หนึ่งเค่อ = สิบห้านาที
[2] ตู้โตว หรือชุดชั้นในสมัยก่อน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้