หานโม่ "..."
นางเดินไปที่ตะเกียงน้ำมันพลางลูบหัวโตวโตวเบาๆ และเอ่ยถามโดยไร้คำพูดว่า "เ้ากำลังพูดถึงเื่อะไรหรือ?"
โตวโตวสะบัดปีกน้อยๆ ของมันไปมา ดวงตาเท่าเม็ดถั่วเหลืองของโตวโตวเต็มไปด้วยความเศร้าโศก "เป็เพราะท่านแข็งแกร่งมากเกินไป ข้าจึงไม่เคได้อวดฝีมืออย่างสง่าผ่าเผยเลย ใช่หรือไม่? หากไม่สามารถแสดงฝีมือให้ท่านได้เห็นว่าข้าแข็งแกร่งเพียงใดข้าก็คงเสียใจยิ่งนัก"
หานโม่ "..."
เ้านกตัวนี้นอกจากจะอ้างว่าตนเป็สัตว์เทพแล้วยังตะกละและตลกอีกด้วย
หลังจากคำนวณระยะเวลาแล้ว เวลานี้นักฆ่าผู้นั้นต้องหลบหนีไปยังสถานที่ที่ปลอดภัยแล้วอย่างแน่นอน หานโม่จุดตะเกียงแล้วฉีกทึ้งเสื้อผ้าของตนเองให้ดูยุ่งเหยิงราวกับเพิ่งผ่านการต่อสู้มาอย่างหนักหน่วง และใช้มือยีเส้นผมให้ดูกระเซอะกระเซิงเล็กน้อย เมื่อทำทุกอย่างเสร็จแล้ว นางก็ส่งสัญญาณให้โตวโตวกรีดร้องออกมาสุดเสียง
“อ้าก......มีนักฆ่ามา......กำลังจะโดนฆ่าแล้ว......”
ในขณะที่โตวโตวกำลังะโเสียงดังอยู่นั้น ในมือของหานโม่ก็โปรยผงฝุ่นสีขาวให้ตกลงมาบนร่างที่นอนอยู่บนพื้น มีกลิ่นฉุนลอยคละคลุ้งไปในอากาศ เมื่อศพทั้งสามบนพื้นัักับผงสีขาวเพียงพริบตาเดียวก็เริ่มเน่าเปื่อยอย่างรวดเร็วจนกลายเป็แอ่งเืแล้วหายไปในที่สุด
เหตุการณ์ั้แ่ต้นจนจบใช้ระยะเวลาไม่ถึงครึ่งก้านธูป
โตวโตวยังคงกรีดร้องตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายและเฝ้าดูสิ่งที่หานโม่ทำตาไม่กระพริบ
“นายท่าน นี่คือผงของหญ้าแปลงศพที่ท่านเก็บมาจากป่าไร้ิญญาก่อนหน้านี้หรือขอรับ? เหตุใดมันทรงพลังเช่นนี้?” โตวโตวเคยเห็นหญ้าแปลงศพมาก่อน แต่มันไม่รู้ว่าประโยชน์ของมันคืออะไร
หานโม่พยักหน้า "ใช่ แต่ตอนนั้นข้าเก็บมาแค่ต้นเดียวเลยทำออกมาได้เท่านี้"
สิ่งล้ำค่าที่สุดที่เ้าของร่างเดิมทิ้งไว้ให้นางคือความรู้ที่อยู่ในหัวของหานโม่
ตลอดเวลาที่หานโม่ต้องอาศัยอยู่ในเรือนหลังเล็ก เมื่อมีเวลาว่างนางก็จะหยิบหนังสือสองสามเล่มที่อยู่บนชั้นหนังสือขึ้นมาอ่านวนไปวนมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนสามารถจดจำเนื้อหาทั้งหมดได้ขึ้นใจ แม้ว่าจะไม่ใช่สิ่งที่สำคัญอะไรแต่หญ้าแปลงศพนี้ก็เป็สิ่งที่หานโม่ได้เห็นมาจากในหนังสือ
ในระหว่างที่หนึ่งคนหนึ่งนกกำลังพูดคุยกัน เสี่ยวเยว่ที่อยู่ใกล้ห้องของหานโม่ที่สุดก็ได้ยินเสียงร้องแล้วรีบร้อนลนลานเข้ามาหา "คุณหนู คุณหนูไม่เป็อะไรนะเ้าคะ? คุณหนู!"
หานโม่ก้าวเดินออกมาจากห้อง เมื่อเสี่ยวเยว่ได้เห็น นางก็รีบวิ่งเข้ามาหาพร้อมน้ำตาที่ไหลอาบหน้า "คุณหนูไม่เป็อะไรนะเ้าคะ? มือสังหารอยู่ที่ไหนแล้วเ้าคะ"
หานโม่โบกมือไปมา "ข้าสบายดี"
เสี่ยวเยว่ยังอยากที่จะเอ่ยสิ่งใดออกมาอีก แต่ก็ได้ยินเสียงของผู้คนที่ดังโหวกเหวกมาจากด้านนอกเรือนเหอเซียง
พอฟังดูแล้วท่าทางคงจะมีคนจำนวนไม่น้อยกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้
เสี่ยวเยว่รีบเช็ดน้ำตา แล้วรีบเข้าไปในห้องของหานโม่เพื่อหาเสื้อคลุมมาให้สวมทับ อีกทั้งยังช่วยจัดแต่งทรงผมของนางอีกด้วยเล็กน้อย
ผู้คนจากด้านนอกเรือนเข้ามาถึงด้านหน้าอย่างรวดเร็ว
เมื่อเห็นว่าผู้ที่มาคือหานเฉินต้ง อู๋ซื่อและเหล่าพี่น้องตระกูลหาน สายตาของหานโม่จึงฉายแววเหยียดหยาม
เรือนที่พักอาศัยของหานเฉินต้งและอู๋ซื่ออยู่ห่างจากเรือนของนางไปไกลโข ตระกูลหานนั้นถูกแยกออกเป็ส่วนหน้าและส่วนหลัง ตอนนี้นักฆ่าก็ได้หนีไปได้ไกลแล้ว แต่นางเพิ่งให้โตวโตวะโออกไปยังไม่ถึงหนึ่งถ้วยชาเสียด้วยซ้ำ ไม่นึกเลยว่าทั้งหมดจะมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่กันอย่างพร้อมหน้าแล้ว
หานโม่กวาดตามองไปทางด้านหลังของทั้งสองคน แล้วความเย้ยหยันในดวงตาก็ยิ่งเด่นชัดขึ้น
ดูเหมือนว่าทุกคนในตระกูลหานทั้งหมดกำลังรอคอยข่าวร้ายของนางอยู่ เพียงการเคลื่อนไหวเล็กๆ น้อยๆ นี้ ไม่คิดว่าจะทำให้ทุกคนในงานเลี้ยงต่างเคลื่อนพลมาที่นี่กันหมด
ทันทีที่หานเฉินต้งและพรรคพวกของเขาเข้ามาด้านในเรือนเหอเซียงก็พบกับท่าทางตื่นตระหนกของหานโม่ แม้ว่าเวลานี้นางกำลังตื่นตระหนกก็ยังไม่สามารถปกปิดความงามของนางได้เลย การได้เห็นคนที่กำเริบเสิบสานตกอยู่ในสภาพเช่นนี้แล้วก็ทำให้ผู้ที่มองมาต่างก็รู้สึกดีขึ้นมาก
ดวงตาของทุกคนเต็มไปด้วยความสดใสเมื่อได้เห็นการแสดงที่น่าดูเช่นนี้ แต่ใบหน้าของพวกเขากลับแสดงถึงความกังวลและความเป็ห่วงอย่างยิ่ง
“เสี่ยวชี เ้าเป็อะไรไปงั้นหรือ?” หานเฉินต้งถามหานโม่ด้วยความประหลาดใจ
หานโม่มองดูหานเฉินต้งและครอบครัวที่กำลังเล่นละครด้วยสายตาเ็า นางหลุบตาลงต่ำพลางพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งว่า "เมื่อครู่นี้มีนักฆ่าเข้ามาเพื่อลอบฆ่าข้าแต่บังเอิญที่ข้านั้นไม่อยู่ในห้อง พอกลับเข้ามาข้าก็วิ่งเข้าไปหาและะโไล่พวกมันไปเพราะใกลัว เมื่อพวกมันเห็นว่าข้ากำลังร้องขอความช่วยเหลือ เลยกลัวว่าจะถูกจับได้จึงวิ่งหนีไปแล้ว"
ถ้อยคำของหานโม่เรียบนิ่ง ไม่มีอารมณ์ใดๆ เจือปนเลย คิ้วของหานเฉินต้งและคนอื่นๆ ต่างกระตุก เห็นได้ชัดว่าพวกเขาต่างก็ไม่รู้จะพูดสิ่งใด
แต่การเล่นละครก็ยังต้องดำเนินต่อไป หานเฉินต้งกวาดตามองหานโม่ขึ้นลงแล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลผิดปกติ "แล้วเ้าได้รับาเ็หรือไม่? มีสิ่งของอะไรหายไปหรือ?”
หานโม่พยักหน้าและพูดด้วยน้ำเสียงจริงใจยิ่ง "ของของข้าหายไป"
“อะไร? สิ่งใดหายไปงั้นหรือ?” เมื่อหานโม่พูดจบ อู๋ซื่อที่อยู่ด้านหลังหานเฉินต้งก็ร้องออกมาด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ
หานโม่ชำเลืองมองอู๋ซื่อนิดๆ พลางพยักหน้าและพูดว่า "ของของข้าหายไป"
หานเฉินต้งหันไปจ้องมองอู๋ซื่อ ทันใดนั้นอู๋ซื่อจึงเงียบปากในทันที
"เสี่ยวชี ของสิ่งใดของเ้าหายไปหรือ?"
หานโม่เงยหน้าขึ้นมาสบตาหานเฉินต้ง
ในปีนี้หานเฉินต้งมีอายุมากกว่าสี่สิบปีแล้ว บุตรสาวคนโตอายุเพียงสิบแปดปีเท่านั้น แต่อายุของบุตรชายคนสุดท้องนั้นหานโม่ยังไม่เคยเอ่ยถามกับเสี่ยวเยว่เลย
ว่ากันว่าเป็บุรุษสี่สิบดอกไม้ดอกหนึ่ง [1] อีกทั้งผู้คนในตระกูลหานก็ไม่มีใครเลยที่รูปลักษณ์น่าเกลียด นอกจากลักษณะที่แข็งแกร่งของฝั่งมารดาแล้วก็ยังมีอีกเหตุผลหนึ่งนั่นก็คือหานเฉินต้ง ก็ถือว่าเป็บุรุษรูปงามผู้หนึ่งอีกด้วย
แต่น่าเสียดายที่หานโม่มองไม่เห็นความสง่างามและน่าหลงใหลอย่างที่บุรุษรูปงามพึงมีในตัวหานเฉินต้งเลย สิ่งที่มองเห็นมีเพียงการคิดร้ายและการวางแผนใช้ประโยชน์จากผู้อื่นที่น่าขยะแขยงเท่านั้น
เมื่อบุตรสาวของตนเองถูกลอบสังหารโดยนักฆ่า ตอนแรกที่วิ่งเข้าก็ไม่ได้สอบถามเลยว่านักฆ่าพวกนั้นมีหน้าตาเป็อย่างไร แต่กลับถามเพียงคำถามเดียวว่าของสำคัญที่หายไปคืออะไร
อา
ช่างเป็บิดาที่เืเย็นและโเี้อะไรเช่นนี้!
ความเ็าในดวงตาของหานโม่เข้มขึ้นอีก แต่มุมปากกลับโค้งลงเล็กน้อยแล้วแสดงสีหน้าเสียใจ "ผลึกิญญาของข้าหายไป"
"อะไรนะ?"
ทันใดนั้นก็มีเสียงตกอกใดังขึ้นมา เสียงนั้นมาจากเหล่าอนุภรรยาและบุตรสาวที่อยู่ด้านหลังของหานเฉินต้ง
จากท่าทีเ่าั้เห็นได้ชัดว่าพวกนางไม่ได้คาดคิดว่าของของหานโม่จะหายไปจริงๆ ตอนที่พวกนางเห็นหานโม่ที่มีท่าทางหยิ่งพยองในงานเลี้ยงวันนี้ ก็คิดว่าหานโม่คงมีฝีมือเก่งกาจนัก ไม่คิดเลยว่านางจะถูกนักฆ่าเข้ามาลอบทำร้ายได้
หลังจากมีคนอุทานออกมา เหล่าฮูหยินก็แอบลอบมองกันเอง
ทุกคนต่างคาดเดาได้ว่าในคืนนี้จะต้องเกิดเื่อะไรขึ้นแน่ แต่คนที่ลงมือเื่นี้คงต้องคิดใคร่ครวญกันอีกที
ผลึกิญญาถือเป็ของที่มีค่านัก เพียงหนึ่งชิ้นก็คุ้มค่ามากพอที่จะแย่งชิงเพื่อเอามันมา
หานโม่มองทุกคนอย่างเ็า
หลังจากที่หานเฉินต้งรู้ว่าสิ่งที่หายไปคือผลึกิญญา เขาก็ออกคำสั่งเร่งค้นหาที่อยู่ของมือสังหารที่หนีรอดไปทันที เหล่าฮูหยินต่างก็สงสัยกันเองจนเกิดการทะเลาะเบาะแว้ง ส่วนพวกบุตรชายก็ยืนอยู่ด้านหลังของบุตรสาวอีกที
หานโม่มองไปยังดวงตาที่เต็มไปด้วยความสุขและเย้ยหยันของหานซิน
หานซินอาจจะคิดว่านี่เป็ความคิดของอู๋ซื่อ เช่นนั้นแล้วตอนนี้นางจึงคิดว่าผลึกิญญาอยู่ใกล้ตนเองแค่เอื้อมหรืออย่างไรกัน?
หากอู๋ซื่อไม่สามารถเอาผลึกิญญามาได้ หานซินจะรู้สึกหรือไม่ว่าอู๋ซื่อช่างลำเอียงต่อบุตรชายของตนเองและไม่คิดถึงบุตรสาวของตนเองเลย?
ผลึกิญญาหนึ่งชิ้น จะสามารถก่อให้เกิดละครเช่นไรกัน?
หานโม่เฝ้าคอยด้วยความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก
........................................................................
เชิงอรรถ
[1] ผู้ชายสี่สิบดอกไม้ดอกหนึ่ง หมายถึง ผู้ชายที่จะมีวุฒิภาวะมากกว่าเมื่ออายุ 40 ปีและประสบความสำเร็จในอาชีพการงานด้วย มักใจกว้าง อ่อนโยนสง่างามอยู่เสมอ แถมยังมีเหตุผลและรอบคอบ
