ในใจเขาเอาแต่เป็กังวลเื่นั้นของซ่งฉียวนหลายวันมานี้อวี๋เคอมีอาการใจลอยมาตลอดทางและหลายครั้งก็เป็อาจิ่วที่สังเกตเห็นศิษย์ที่ออกลาดตระเวนก่อนทั้งสองคนถึงได้สามารถล่องหนไปถึงพรมแดนแม่น้ำแห่ง์ได้ ครั้งนี้องครักษ์ชายแดนของโลกเซียนมีมากยิ่งกว่าตอนที่กู้จิ่นเฉิงเคลื่อนทัพมาก่อนหน้านี้มากคาดว่าคงรู้ว่าอวี๋เคอจะต้องข้ามแม่น้ำกลับไปยังโลกปีศาจที่บริเวณนี้จึง้าคว้าโอกาสครั้งสุดท้ายเพื่อที่จะสังหารเขา
ตอนนี้เป็เวลาดึกมากแล้ว ทั้งสองคนซ่อนตัวอยู่เงียบๆท่ามกลางต้นไม้รอบบริเวณริมฝั่งแม่น้ำเมื่ออวี๋เคอเห็นองครักษ์จำนวนมากที่แม่น้ำแห่ง์ก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมาทีเดียวแม้ว่าพละกำลังของเขาจะแข็งแกร่งมาก แต่การที่จะข้ามแม่น้ำไปได้สำเร็จโดยไม่ฆ่าใครและไม่ทำให้กองทัพรู้ตัวนั้นถือเป็เื่ยากเกินไปจริงๆนอกจากนี้เขายังไม่แน่ใจด้วยว่าชายชราเ่าั้จะอยู่ในกลุ่มนั้นหรือไม่ หากบุ่มบ่ามลงมือไปคนที่ต้องเสียเปรียบก็คือตนเองอย่างไม่ต้องสงสัย
ขณะที่กำลังครุ่นคิดอยู่เช่นนี้ จู่ๆก็ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายจากฝั่งแม่น้ำแห่ง์ เมื่ออวี๋เคอและอาจิ่วมองไปพร้อมกันก็พบว่าองครักษ์ทั้งหมดจากโลกเซียนที่แม่น้ำแห่ง์เ่าั้ต่างชักดาบที่อยู่ข้างกายออกมาและมองไปยังกลุ่มคนที่กำลังลอยอยู่กลางอากาศด้วยสายตาเคร่งขรึมอวี๋เคอมองตามสายตาของพวกเขาไป ก็เห็นผู้คนนับสิบที่สวมเสื้อผ้าสีดำที่อยู่ในขั้นเปลี่ยนิญญาเป็อย่างต่ำกำลังยืนอยู่ห่างจากผิวแม่น้ำแห่ง์ไม่เกินสิบเมตรแม้ในยามค่ำคืนอันมืดมิดก็ไม่สามารถพ้นจากสายตาของอวี๋เคอไปได้ เขามองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าชายเสื้อคลุมของคนเ่าั้ล้วนถูกสลักด้วยลวดลายหงส์เพลิงสีดำเอาไว้
เป็คนจากวังปีศาจ
ผู้คนนับสิบต่างแหวกทางออก เพื่อเปิดทางให้กับคนที่อยู่ด้านหลังเมื่อเห็นใบหน้าของคนผู้นั้น อวี๋เคอก็แทบอยากจะหัวเราะออกมาทันที
ผู้ที่มาใหม่ก็คือกู้จิ่นเฉิงเขาประสานมือคารวะศิษย์จากโลกเซียนเ่าั้อย่างลวกๆแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำเช่นเคย “ขอถามเหล่าเซียนทั้งหลายว่าจะหลีกทางให้ข้าและคนอื่นๆ ผ่านไปหรือไม่”
เมื่อคำพูดของเขาหลุดออกมาศิษย์จำนวนไม่น้อยต่างก็หัวเราะเยาะ หลังจากนั้นไม่นาน ก็มีหลายคนก้าวออกมาและกล่าวกับกู้จิ่นเฉิงอย่างไม่เกรงใจว่า
“กู้จิ่นเฉิงเ้าคิดผิดไปหรือเปล่า? เ้าคิดว่าโลกเซียนเป็บ้านของเ้าหรือ? อยากจะเข้าก็เข้าได้เลยอย่างนั้นหรือ? ”
อวี๋เคอได้ยินเสียงนี้แล้วก็รู้สึกคุ้นหูขึ้นมามองตรงไป กลับพบว่าเป็คนคุ้นเคย ที่สวมใส่อาภรณ์สีเขียว และสวมกวาน [1] อยู่บนศีรษะแต่คิ้วคมเข้มและดวงตาสุกสกาวกลับดูชั่วร้าย หากไม่ใช่เฉิงหย่วนแล้วจะเป็ใครอีกเล่า? อีกทั้งคนที่อยู่ข้างกายเขา ก็ยังดูเหมือนจะหล่อเหลาและดึงดูดใจมากเสียจนเกินเหตุอีกด้วย
คนผู้นั้นสวมอาภรณ์สีเงินเรืองแสงท่ามกลางความมืดผมยาวสลวยถูกเกล้าขึ้นด้วยปิ่นหยก แต่ตั้งใจจัดแจงให้ดูหลวมๆ แววตาลอยปรือหางตายาวเฉี่ยว ยกมือปิดปากหาวเป็ครั้งคราว ราวกับสามารถนอนหลับได้ทุกเวลา
ส่วนด้านหลังของเขาคือหญิงสาวกลุ่มหนึ่งที่ยืนเรียงแถวกันอยู่ทุกนางล้วนสวมอาภรณ์สีอ่อนและกำลังกอดพิณโบราณเครื่องยาวเอาไว้ในอ้อมแขนกดคิ้วต่ำพลางพยักหน้าล้วนเผยความสง่าและงามละไม
เมื่ออวี๋เคอเห็นฉากนี้ ก็รู้สึกเหมือนมีเสียงวิ้งๆดังขึ้นมาในสมองชั้นนอก ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เมื่อเห็นหญิงสาวที่กำลังถือพิณเ่าั้เขาก็นึกออกว่าบุรุษเรืองเสน่ห์ผู้นี้เป็ใครเขาก็คือปิงฉางเตียวประมุขแห่งสำนักฉางฉินที่ถูกหลิงกวงขโมยคลังยาไปนั่นเอง
สำนักฉางฉินเป็หนึ่งในสามพรรคที่อยู่อันดับต้นๆคนในสำนักเชี่ยวชาญการใช้เวทพิณในการทำร้ายผู้คนเสียงพิณแบ่งออกเป็สองประเภทคือไร้รูปและมีรูปเมื่อฝึกจนถึงระดับสูงสุดก็จะสามารถทำให้ผู้คนตายได้แบบที่ไม่รู้ว่าตัวเองตายอย่างไรแต่สำนักที่แสนร้ายกาจเช่นนี้ กลับเป็สำนักที่รับศิษย์ผู้หญิงเพียงสำนักเดียวในโลกเซียนนอกจากเ้าสำนักแล้วทั้งสำนักล้วนเป็สตรีทั้งสิ้น
ตอนแรกมีคนร่ำลือกันว่าปิงฉางเตียวนั้นเป็คนที่เ้าชู้เหลือหลายแต่เมื่อเวลาผ่านไปทุกคนพบว่าปิงฉางเตียวนั้นเป็ผู้ที่มีจิตใจแน่วแน่อย่างแท้จริงเขาไม่ได้แตะต้องหญิงนางใดแม้แต่คนเดียวมานานหลายปี ทำให้ผู้คนที่ต่างร่ำลือเกี่ยวกับเขาก็ค่อยๆลดลงจนไม่มีเหลือ
อวี๋เคอจำตอนที่ตนเขียนถึงปิงฉางเตียวในเื่ “มหันตภัยแห่งแดนเซียนปีศาจ” ได้ว่าอยู่ใน่กลางเื่ตอนนั้นซ่งฉียวน้ารวมโลกเซียนเป็หนึ่งเดียวเขาเป็คนแรกที่ตัดสินใจโจมตีตระกูลสวี่ที่กำลังอ่อนแอที่สุดหลังจากที่ได้รับตระกูลสวี่ไปโดยไม่ต้องเปลืองแรงอะไรมากมายปิงฉางเตียวก็นำสำนักฉางฉินมาพึ่งใบบุญจากเขา โดยบอกว่าชื่นชมซ่งฉียวนถึงได้มา
แต่เหตุผลที่แท้จริงมีเพียงอวี๋เคอที่เป็ผู้เขียนเท่านั้นที่รู้ดีแน่นอนว่าเขาไม่อยากเขียนลงรายละเอียดมากขนาดนั้น หากเขียนถึงหนึ่งสำนัก สามพรรคหกตระกูลใหญ่ออกมาทีละคนๆ ไม่ทำให้เขาเหนื่อยตายไปเลยหรือ!ตอนนี้พอนึกถึงเหตุผลที่เขาเขียนให้ปิงฉางเตียวในตอนนั้นแล้วมันไม่ดูไร้น้ำหนักเกินไปหน่อยหรือ? เป้าหมายที่แท้จริงของเขาคืออะไรกัน? ตนนึกสงสัยเล็กน้อยอย่างบอกไม่ถูก
“ท่านผู้นำตระกูลเฉิงข้าได้ยินข่าวมาว่าท่านจอมปีศาจมาที่แดนเซียนของพวกท่านครั้งนี้ข้าก็แค่มาเพื่อรับท่านจอมปีศาจกลับไป ขอพูดอย่างตรงไปตรงมาเลยแล้วกันหากครั้งนี้ไม่ยอมให้ข้าพบท่านจอมปีศาจก็จงอย่าโทษคนของหอสิงลี่ทั้งหลายที่ชักกระบี่ชี้ไปยังท่านทุกคนเลย”
กู้จิ่นเฉิงไม่ใช่คนอ้อมค้อมแต่ไหนแต่ไรแววตาของเขาดำมืดลงหลายเท่า ยิ่งขับเน้นให้ทั้งใบหน้าดูเย็นเยือกมากยิ่งขึ้น
“อีกอย่างข้าได้ยินมาว่าท่านจอมปีศาจได้รับาเ็ในแดนเซียน กู้จิ่นเฉิงผู้นี้ได้จดจำแค้นครั้งนี้ไว้ในใจแล้ว”
“นายท่าน อาจิ่นช่างร้ายกาจมากเลยนะขอรับ!” อาจิ่วที่กำลังซ่อนตัวอยู่ในพุ่มไม้ได้ยินอย่างชัดเจนเมื่อได้เห็นกู้จิ่นเฉิงปฏิบัติตัวเช่นนี้ก็แทบจะตาเป็ประกาย
หากอวี๋เคอได้ยินคำพูดของกู้จิ่นเฉิงแล้วไม่ซาบซึ้งก็คือเื่โกหกยามนี้รู้สึกว่าที่ตนระแวงกู้จิ่นเฉิงก่อนหน้านี้ต้องผิดแล้วเป็แน่ดูเหมือนว่าคนผู้นี้จะเดินเคียงข้างเขาอย่างถวายหัว เขามองไปยังบริเวณนั้นอีกครั้งและพบว่าไร้กลิ่นอายอันแสนทรงอำนาจโดยสิ้นเชิง ด้วยความแข็งแกร่งของเขาและผู้คนที่กู้จิ่นเฉิงนำมาจะต้องรับมือได้อย่างแน่นอนสิ่งที่อวี๋เคอไม่รู้ก็คือเหตุผลที่พวกตาเฒ่าหนังเหนียวเ่าั้ไม่ได้มาด้วยก็เพราะตอนนี้หลิงกวงและชิงเหยากำลังช่วยจัดการให้เขาอยู่หากรู้เข้าเขาคงต้องรู้สึกผิดไปจนตาย
เมื่อรู้ว่าตัวเองสู้ได้อวี๋เคอก็ส่งสายตาให้อาจิ่ว และสลายคาถาล่องหนของตนออกไป แล้วเดินอาดๆออกมาจากพุ่มไม้
เมื่อศิษย์แดนเซียนเห็นคนผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหันทั้งหมดก็กำอาวุธในมือแน่น สีหน้าตื่นตัวมากขึ้น
ส่วนกู้จิ่นเฉิงก็วิ่งนำหน้าทุกคนและเหาะไปยังข้างกายของอวี๋เคอ ก่อนจะคุกเข่าลงข้างหนึ่งพลางกล่าวว่า
“ผู้น้อยมาช้าไปก้าวหนึ่งขอท่านจอมปีศาจโปรดอภัยด้วยขอรับ”
เฉิงหย่วนและปิงฉางเตียวที่อยู่ทางด้านนั้นต่างก็เคยเห็นอวี๋เคอมาก่อนแล้วตอนนี้เมื่อเห็นว่าเขาซ่อนตัวอยู่ใกล้ๆ มาั้แ่ต้น แต่ตัวเองกลับไม่สังเกตเห็น จึงรู้สึกเสียใจเป็ที่สุดแต่กลับไม่สามารถทำอะไรได้
เมื่อศิษย์จากแดนเซียนได้ยินคำพูดของกู้จิ่นเฉิงก็ใเฮือกใหญ่และก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าวโดยไม่รู้ตัว อย่างไรเสียพวกเขาก็ยังคงกลัวอวี๋เคออยู่ดีเพราะคนผู้นี้เป็ถึงปีศาจที่บุกเข้าไปในสำนักฉิงชางด้วยตัวคนเดียวและถอนตัวออกไปได้อย่างปลอดภัยมีข่าวลือว่าจนถึงตอนนี้ศิษย์สำนักฉิงชางยังมีอีกหลายคนที่อาการาเ็ยังไม่หายดีเรียกได้ว่าเสียหายยับเยิน
อวี๋เคอโบกมือไปมา พลางยิ้มแล้วกล่าวว่า “ลุกขึ้นเถิดเ้ามาไม่ช้าหรอก ได้เวลาพอดี”
กู้จิ่นเฉิงขานรับกลับไป มองอาจิ่วที่อยู่ข้างๆอวี๋เคอ แล้วขมวดคิ้วพลางกล่าวว่า “ท่านจอมปีศาจ คนผู้นี้คือ? ”
“อาจิ่น!นี่เ้าจำไม่ได้แม้กระทั่งข้าเลยหรือ? ข้าคืออาจิ่วไงเล่า!”
เมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคย ดวงตาของกู้จิ่นเฉิงก็ฉายแววตกตะลึงทำไมเขาถึงจำไม่ได้ว่าตอนนั้นอาจิ่วที่อยู่ข้างกายอวี๋เคอได้แปลงกายแล้ว? ในความทรงจำของเขาบนผืนทวีปนั้นมีเพียงัเขียวข้างกายซ่งฉียวนตนนั้นเท่านั้นที่แปลงกายแล้ว และได้รับการขนานนามว่าเทพเมิ่งจางดวงตาของเขาไหววูบเล็กน้อย และกลับมาเป็ปกติอีกครั้งดูเหมือนว่าบางจุดของโลกใบนี้จะเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิมแล้วแต่สิ่งเหล่านี้ต่างก็ไม่สำคัญ
เขาเพิ่งได้เห็นความไว้วางใจที่แท้จริงในสายตาของอวี๋เคอการมาช่วยเหลือครั้งนี้ถือว่าไม่สูญเปล่าเลย ในที่สุดเขาก็ทำให้ชายคนนี้เชื่อใจเขาได้แล้วแล้วเื่ในอนาคตก็จะจัดการได้ง่ายมากขึ้น
“อาจิ่วเ้าแปลงร่างแล้วแต่ก็ยังมีรูปลักษณ์เป็เด็กตัวไม่โตเหมือนเดิมเลย” กู้จิ่นเฉิงยื่นมือไปลูบศีรษะของอาจิ่ว สีหน้าอ่อนโยนขึ้นมาเล็กน้อยแม้ว่าเขาจะเกลียดอวี๋เคอ แต่กลับรู้สึกว่าอาจิ่วนั้นน่าเอ็นดูมากหากไม่ใช่เพราะตอนนั้นกลัวว่าจะเผยพิรุธต่อหน้าซ่งฉียวนเขาจะต้องลงมือช่วยอาจิ่วอย่างแน่นอน
“อวี๋เคอสำนักฉิงชางนั้นแกร่งไม่พอจนทำให้เ้าหนีไปได้แต่ตระกูลเฉิงและสำนักฉางฉินของข้าจะไม่ปล่อยให้เ้าหนีข้ามไปยังแดนปีศาจได้อย่างแน่นอน!”
ตอนนี้คนนับสิบที่มาจากหอสิงลี่ได้มายืนอยู่ข้างกายของอวี๋เคอแล้วแม้อวี๋เคอจะรู้ตัวดีว่าอาการาเ็ยังไม่หายดี แต่การรับมือกับทั้งปิงฉางเตียวและเฉิงหย่วนด้วยตัวคนเดียวก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรตอนนี้เมื่อได้ยินคำพูดของเฉิงหย่วนก็ได้แต่รู้สึกขบขันเมื่อนึกถึงตอนนั้นที่คนผู้นี้ก็ชอบพูดจาฉอดๆฝีปากเก่งแบบนี้เช่นกันในศึกแม่น้ำแห่ง์ จึงเยาะเย้ยว่า
“ผู้เยาว์เฉิงหย่วน ข้าผู้นี้จำได้ว่าในศึกแม่น้ำแห่ง์เมื่อสองปีก่อนเ้าถึงกับหนีหางจุกก้นไปต่อหน้าข้าเลยนี่เ้าในตอนนี้แข็งแกร่งกว่าตอนนั้นมากเลยหรือ จึงทำให้เ้ามั่นใจเช่นนี้ว่าตัวเองจะสามารถหยุดข้าได้? ”
เฉิงหย่วนเป็คนที่กลัวการเสียหน้ามาก ยามนี้เมื่อถูกอวี๋เคอพูดถึงเื่น่าอับอายในตอนนั้นก็ได้แต่รู้สึกว่าผิวหน้าร้อนฉ่า แต่พอนึกถึงสาเหตุเพราะว่าตอนนั้นตนมีกำลังคนเพียงหยิบมือในศึกแม่น้ำแห่ง์ทว่าตอนนี้ฝ่ายตนได้เปรียบเพราะมีคนเยอะกว่า จึงรู้สึกมั่นใจขึ้นมาและะโขึ้นมาว่า
“อวี๋เคอ เ้าอย่าได้ภูมิใจไปเลยคำพูดเหิมเกริมเช่นนี้ รอให้เ้าข้ามแม่น้ำแห่ง์ไปก่อนแล้วค่อยบรรจงพูดก็ได้!”
ทันทีที่สิ้นเสียงเขาก็ส่งสายตาให้ปิงฉางเตียวที่อยู่ข้างๆ แล้วชักกระบี่ที่เอวออกมาแทงเข้าใส่อวี๋เคอ ตามการเคลื่อนไหวของเขา ศิษย์ทั้งหมดทางฝั่งโลกเซียนต่างพากันพุ่งเข้าหาคนกลุ่มเล็กๆของอวี๋เคอทางด้านนี้ราวกับถูกกดปุ่ม
ใบหน้าเล็กอันขาวผ่องของอาจิ่วยิ้มอย่างสนุกสนานยื่นมือขึ้นค้างไปบนอากาศ ท่องคาถาในใจจากนั้นเปลวไฟสีแดงทองลูกหนึ่งก็ปรากฏขึ้นบนฝ่ามืออุณหภูมิโดยรอบก็เพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย
“นายท่าน ข้าอัดอั้นมาหลายวันแล้วครั้งนี้ได้ประลองฝีมือดูพอดีเลย! ”
กล่าวคำนี้จบปราณไฟแห่งหงส์เพลิงในมือของอาจิ่วก็พลันลุกโชนขึ้นจากนั้นก็เปลี่ยนเป็ตาข่ายเพลิงอันแผ่ไพศาลปกคลุมศิษย์หลายร้อยคนเ่าั้ในทันที
ทันใดนั้นศิษย์จากแดนเซียนส่วนใหญ่ที่ไม่ทันได้ระวังตัวก็ถูกโจมตีส่งเสียงร้องครวญครางเป็ทอดๆ ดวงตาดำขลับของอาจิ่วแผ่แสงสีแดงขึ้นมา เลียริมฝีปากขณะกำลังจะใช้ปราณไฟแห่งชีวิตตั้งใจจะใช้ไฟเผาคนเหล่านี้ให้กลายเป็เถ้าถ่าน แต่กลับถูกอวี๋เคอห้ามเอาไว้เสียก่อน
“ไว้ชีวิตพวกเขา”
เมื่อได้ยินเสียงของอวี๋เคอ อาจิ่วก็จำต้องหยุดลงมือแล้วเบ้ปากอย่างไม่เต็มใจ ก้าวถอยไปด้านหลัง ตนไม่เข้าใจจริงๆ ว่านายท่านกำลังคิดอะไรอยู่ทั้งๆ ที่คนกลุ่มนี้ล้วนกู่ร้องจะเอาชีวิตนายท่านแต่เขากลับไม่ยอมให้ตนเองฆ่าพวกมัน
อย่างไรเสียอวี๋เคอเองก็ยังเป็คนในยุคปัจจุบัน เมื่อได้ยินเสียงกรีดร้องจากผู้คนและกลิ่นของเนื้อหนังที่ถูกเปลวไฟแผดเผาลอยเข้าในโพรงจมูกเมื่อครู่เขาก็ทนรับไม่ได้ แม้ว่าเขาจะพูดจาเหี้ยมโหด แต่ก็ไม่ได้อยากจะฆ่าคนเพียงแค่้าจะสั่งสอนพวกเขาเท่านั้น ให้พวกเขาหวาดกลัวก็พอแล้ว ไม่จำเป็ต้องคร่าชีวิตคนอื่น
ขณะที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้น จู่ๆ กลับมีแสงกระบี่แสงหนึ่งวาบขึ้นตรงหน้าอวี๋เคอตื่นใ ถุงมือสีดำทองปกคลุมไปบนหมัดอย่างรวดเร็ว พอชกหมัดปะทะออกไปก็เกิดเสียงโลหะกระทบกันดังขึ้น เมื่อเพ่งมองแล้ว กลับเป็เฉิงหย่วนที่ฝ่ากำแพงไฟออกมากู้จิ่นเฉิงเห็นเฉิงหย่วนเข้ามาหาอวี๋เคอ จึงจะเข้ามาช่วยแต่ทันใดนั้นก็ถูกคมดาบปราณหลายเล่มพุ่งเข้ามาขวางทางไว้
เปลวไฟค่อยๆ จางหายไปเผยภาพเหตุการณ์ที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ก็เห็นว่าเบื้องหน้าของปิงฉางเตียวมีพิณโบราณที่ทำจากไม้เพิ่มขึ้นมาหนึ่งตัวสองมือเรียวยาววางบนสายพิณแล้วดีดอย่างคล่องแคล่ว เสียงพิณอันไพเราะที่ดังขึ้นตามมาก็คือคมดาบปราณโปร่งแสงที่ทำร้ายผู้คน
เมื่อคนผู้นั้นเห็นว่าสามารถหยุดกู้จิ่นเฉิงได้สำเร็จมุมปากก็ยกโค้งขึ้นเล็กน้อย แล้วหยุดการเคลื่อนไหวบนมือไปชั่วขณะหนึ่งก่อนจะพูดยิ้มๆ ว่า “กู้จิ่นเฉิง สุนัขจรจัดข้างกายของอวี๋เคอที่ซื่อสัตย์ที่สุดให้ข้าลองทดสอบความตื้นลึกของเ้าดูหน่อยสิ”
......
เชิงอรรถ
[1] กวานคือสิ่งที่สวมครอบบนศีรษะของชาวจีนชนชั้นสูงในสมัยโบราณเพื่อเป็เครื่องบอกลำดับยศ