ดวงเดือนโค้งแขวนบนยอดไม้ลำแสงลอดผ่านหน้าต่างเข้ามาอย่างซุกซน พาแสงสว่างรำไรสู่หอห้องขับความมืดมิดในค่ำคืนมลายสิ้น
หลิ่วจิ้งเดินเตร็ดเตร่มาทั้งวัน หลังจากร้องไห้อย่างหนักก็อ่อนล้านัก พอเข้าห้องมาได้หัวถึงหมอนก็หลับไปทันทีตอนที่อวี้จิ่นเอาน้ำร้อนเข้ามาจะช่วยล้างเนื้อล้างตัวให้ก็เห็นว่านางหลับสนิทไปแล้วจึงทำได้เพียงส่ายหน้าแล้วออกไปอย่างแ่เบา
อวี้จิ่นไม่เคยเดินชมตลาดเป็เวลานานเช่นในวันนี้มาก่อนที่จริงก็เหน็ดเหนื่อยมาตั้งนานแล้วเมื่อเห็นหลิ่วจิ้งหลับไปแล้วจึงกลับไปนอนคิดเื่ในใจที่ห้องของตนนึกไม่ถึงว่านางยังไม่ทันทบทวนเื่ในวันนี้ให้กระจ่างก็กลับฝืนความง่วงเหงาหาวนอนที่กวักมือเรียกมิได้ ไม่นานจึงหลับไปเช่นกัน
ดึกดื่นสงบเงียบ สรรพสิ่งวิเวกว้างเด็กรับใช้เฝ้าประตูเองก็ง่วงนอนจนต้องนั่งสัปหงกอยู่บนรากต้นไม้ที่พื้น
หั่วอี้อยู่บนที่สูงมองเห็นได้ไกลหัวเราะเยาะตนเองเื่ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในวันนี้คล้ายว่าเขาเป็เด็กที่ทำความผิดจึงมาแอบหลบในที่ลับตาเพื่อมิให้บิดามารดาตำหนิ
แม้แต่ฝันเขาก็ยังไม่เคยฝันว่าจะมีวันหนึ่งที่ตนต้องมานั่งยองๆอยู่บนต้นไม้ใหญ่หน้าจวนของตนเอง เหมือนพวกโจรขโมยที่ออกมายามค่ำคืนจนโคมไฟในแต่ละห้องของเรือนหลักดับไปทีละดวง เขาจึงะโลงมาจากต้นไม้ปัดมือทั้งสองข้างและเดินกลับไปที่ห้องของตน
หั่วอี้ไม่ส่งเสียงดังให้ใครตื่นแม้แต่ที่เคยต้องอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อทันทีเมื่อกลับมาเรือนก็ยังงดเว้นเสียเขาไม่อยากทำเสียงดังให้หลิ่วจิ้งตื่น
ห้องนอนของเขากับห้องนอนของหลิ่วจิ้งห่างกันเพียงประตูกั้นเท่านั้นเขายืนอยู่นอกประตู เพียงเอามือผลักก็จะเข้าไปในห้องของหลิ่วจิ้งได้แล้ว ชายหนุ่มลังเลเมื่อเดินมาถึงหน้าประตูก็ถอยออกไป สักพักเดินเข้ามาใหม่และถอยออกไปอีกกลับไปกลับมาอยู่เช่นนี้
จิตใจเขาเหมือนกำลังถูกแมวเกาข่วนไม่อาจสงบลงได้เสียทีเขาอยากเห็นหลิ่วจิ้งสักน้อย แต่ก็เป็ห่วงว่านางจะตื่นมาพบเข้าความรู้สึกขัดแย้งกันเช่นนี้ทำให้เขาต้องเดินไปมาอยู่ภายในห้องนอนไม่รู้กี่รอบแต่จนแล้วจนรอดยังไม่อาจตัดสินใจผลักบานประตูที่กั้นกำแพงบานนั้น
ไม่ว่าจะเป็หน้าตาหรือหลักการที่เขายึดถือ ก็ไม่อาจทนรับกับความปรารถนาจากหัวใจหั่วอี้้าพบหน้าหลิ่วจิ้งเหลือเกิน ที่สุดแล้วเขาก็ผลักบานประตูออกอย่างเบามือ
หั่วอี้ผนึกกำลังภายในให้ฝีเท้าของเขาเบาที่สุด ร่างเขาค่อยๆขยับเข้าใกล้เตียงของหลิ่วจิ้งพร้อมกับเท้าที่ก้าวไปข้างหน้าภายใต้แสงจันทร์ช่วยส่องสว่างทำให้เขามองเห็นโฉมงามที่กำลังหลับใหลอยู่บนเตียงได้ชัดเจน
แววตาของหั่วอี้ลึกล้ำมืดมน เขายืนเงียบๆอยู่ข้างเตียงของหลิ่วจิ้ง แวบแรกที่เห็นนาง ชั่วอึดใจนั้นจิตใจเขาก็รู้สึกว่าเพียงพอแล้ว
เขาพรรณนารูปโฉมของหลิ่วจิ้งอยู่ในใจหนแล้วหนเล่ามุมปากโค้งยิ้มขึ้นน้อยๆ ไม่รู้เพราะเหตุใดทุกสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับเขาล้วนเกิดเมื่อพบกับหลิ่วจิ้งเดิมทีเขาเป็คนที่สามารถตัวนางได้อย่างถูกต้องเปิดเผย ได้กอดนางนอนทุกคืนแต่เวลานี้กลับเป็ดั่งขโมยที่ต้องรอจนดึกดื่นค่ำมืดเสียก่อนจึงสามารถย่องเข้ามาเยี่ยมนางที่หน้าเตียงได้
ยามมองหลิ่วจิ้งที่กำลังหลับสนิท ความอ่อนโยนมหาศาลก็ทะลักออกมาจากใจเขาเขา้านาง ้าได้นางที่ยินยอมพร้อมใจให้เขาทว่าจากนั้นเขาก็ต้องยิ้มเจื่อนเมื่อนึกถึงบางสิ่งขึ้นมาคล้ายเป็ตัวเขาเองที่ทำให้ทุกสิ่งพังทลายเป็เขาเองที่ผลักหลิ่วจิ้งให้ห่างออกไปทุกที
แต่ดีที่ยังพอนับได้ว่าเขาดึงบังเหียนม้ากลับ [1] มาทัน มิได้เพิ่งมาสำนึกตัวเอาเมื่อเื่ลุกลามรุนแรงยิ่งกว่านี้
หั่วอี้ตัดสินใจว่านับั้แ่วันพรุ่งเป็ต้นไป เขาจะออกหน้าช่วยด้วยการไปเลือกจัดซื้อข้าวของต่างๆ กับหลิ่วจิ้ง ที่จริงแล้วเื่เ่าั้ไม่ได้เป็สาระอันใดประเด็นสำคัญที่สุดก็คือให้พวกเขาได้มีเหตุผลและโอกาสที่จะได้อยู่ด้วยกัน
เมื่อคิดถึงตรงนี้เขาก็หัวเราะเบิกบานอย่างไร้สุ้มเสียง
หั่วอี้ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนยืนอยู่ตรงนั้นนานเท่าใด แม้เท้าเริ่มชาก็ยังไม่สนใจจนเมื่อมีเสียงดังมาจากห้องข้างๆ คงเป็อวี้จิ่นตื่นขึ้นมา เขาจึงรีบลนลานจากไป
หั่วอี้เพิ่งจะกลับมาในห้องนอนของตน หลังยังพิงอยู่กับประตูอวี้จิ่นก็เดินเข้ามาแล้ว
อวี้จิ่นเห็นว่าหลิ่วจิ้งกำลังนอนหลับสบาย ไม่มีสิ่งผิดปกติใดจึงช่วยนางดึงผ้าห่มมาห่มตัวแล้วกลับไปนอนต่อ
เมื่อลำแสงแรกแห่งอรุณรุ่งสาดส่องธรณีนำพาทั้งความหวังและความปรารถนาอันใหม่มาสู่ผู้คน “จิ๊บๆๆ จิ๊บๆๆ”นกกระจอกสองสามตัวมาเล่นอยู่ที่ริมหน้าต่างตรงเวลา ประหนึ่งเป็นกบอกเวลาเช่นนั้น
นับั้แ่หลิ่วจิ้งเข้ามาอยู่ นกเหล่านี้ก็มาเยี่ยมเยือนทุกวันอวี้จิ่นพาคนมาจับพวกมันเพื่อไม่ให้มันส่งเสียงรบกวนให้ตื่นจากฝันแต่รุ่งเช้าเกินไปทำเสียงดังจนหลิ่วจิ้งนอนไม่หลับ
หลิ่วจิ้งรู้สึกว่านกเหล่านี้นำพลังชีวิตและกำลังวังชามาให้นางอย่างมากมายให้นางยังพอมีบางสิ่งที่สดใสบริสุทธิ์เก็บเอาไว้ในจวนแม่ทัพที่ต้องคอยระแวงระวังไปเสียทุกสิ่งแห่งนี้จึงไม่ยอมให้อวี้จิ่นจับนกไป พวกมันถึงยังมีชีวิตอยู่หาไม่พวกมันก็จะกลายเป็โจ๊กนกไปเสียตั้งนานแล้ว
หลิ่วจิ้งงัวเงียเบิกสองตาขึ้นหากเป็ยามปกตินางจะต้องนอนบนเตียงต่อมองดูนกที่ริมหน้าต่างหยอกล้อกันอย่างมีความสุขกระทั่งอวี้จิ่นและอิ๋งเหอได้ยินเสียงและเข้ามา นางจึงจะลุกจากเตียง
แต่วันสองวันนี้นางกลับไม่กล้าแอบี้เีแล้วงานวันเกิดฮูหยินผู้เฒ่ายังมีงานกองพะเนินที่รอให้นางทำอยู่
“ผู้ใดอยู่ข้างนอก เข้ามาซิ” นางร้องเรียก ใช้วิธีเกียจคร้านเช่นนี้บอกกล่าวกับสาวใช้ที่รออยู่ข้างนอกว่านางตื่นแล้ว
อวี้จิ่นและอิ๋งเหอที่รออยู่หน้าประตูมาั้แ่เช้ายิ้มสบตากัน ก่อนผลักประตูเข้ามาทั้งสองคน“ฮูหยินตื่นแล้วหรือเ้าคะ วันนี้ตื่นเช้าจริงๆ นะเ้าคะ”พวกนางเอ่ยถามเป็เสียงเดียวกัน
“ตื่นแล้วๆ หากยังนอนต่อก็จะทำงานไม่เสร็จถ้าไม่ถูกฮูหยินผู้เฒ่าหักเอ็น ก็ต้องถูกท่านแม่ทัพถลกหนังเอาน่ะสิ”หลิ่วจิ้งเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์
“เหอๆๆ” อวี้จิ่นและอิ๋งเหอได้ยินพลันหัวเราะร่าแม้หลิ่วจิ้งจะเอ่ยเสียน่ากลัวแต่กลับมิได้ทำให้พวกนางใแต่อย่างใด
หั่วอี้อยู่อีกฝั่งประตูกั้นก็ตื่นแต่เช้าเช่นกัน เขาคอยเงี่ยหูฟังความเคลื่อนไหวภายในห้องนอนของหลิ่วจิ้งอยู่ตลอดได้ยินเสียงหลิ่วจิ้งร้องเรียกสาวใช้ ยามน้ำเสียงนั้นได้ยินอยู่ในหูเขาช่างไพเราะน่าฟังดั่งเครื่องดนตรีบรรเลงเสียงเป็บทเพลงแห่งเทพเซียน
ได้ยินแล้วจิตใจเขาผ่อนคลายนัก ชายหนุ่มััได้ว่าวันนี้จะต้องเป็จุดเริ่มต้นที่ดีงามทำให้ความสัมพันธ์ของเขาและหลิ่วจิ้งอบอุ่นผ่อนคลายลงได้เป็แน่
หั่วอี้อารมณ์ดีอยู่ทีเดียว แต่ทันใดนั้นกลับได้ยินคำที่เหมือนเป็การหันปลายดาบมาแทงบอกว่าเขาจะถลกหนังนาง
เขาลูบจมูก นี่ตัวเขาน่ากลัวโหดร้ายกระหายเืเพียงนั้นเชียวหรือ? พูดอย่างกับว่าเขาเป็มือปะา แต่ไม่ว่าอย่างไรแค่ได้ยินเสียงของหลิ่วจิ้งเขาก็รู้สึกยินดีท่วมท้นใจแล้ว
อวี้จิ่นและอิ๋งเหอสองคนเตรียมสิ่งของที่ใช้ในการล้างเนื้อล้างตัวไว้เสร็จสรรพอิ๋งเหอช่วยปรนนิบัติหลิ่วจิ้งอาบน้ำส่วนอวี้จิ่นก็ช่วยนางเตรียมเสื้อผ้าเครื่องประดับที่จะสวมในวันนี้
หลิ่วจิ้งมองสาวใช้ทั้งสองด้วยความพอใจยิ่ง พวกนางสองคนทั้งแบ่งงานและร่วมมือกันอย่างเข้าขายิ่งขึ้นทุกวันหากใจของอิ๋งเหอสามารถภักดีต่อนางได้จริงๆวันหน้านางทั้งสามคนก็จะได้เป็พวกพ้องกันอย่างแท้จริงแล้ว
เพราะเมื่อคืนกลับมาดึก หลิ่วจิ้งจึงไม่ได้ให้อวี้จิ่นไปปลุกอิ๋งเหอสร้อยข้อมือที่เตรียมจะให้นางจึงยังคงอยู่กับหลิ่วจิ้ง
“อิ๋งเหอ เ้าดูสิ ชอบหรือไม่?” หลิ่วจิ้งหยิบสร้อยข้อมือที่ซื้อให้อิ๋งเหอออกมา
หลิ่วจิ้งเปิดกล่องที่ใส่สร้อยข้อมือออกภาพของสร้อยข้อมือเปล่งแสงเรืองรองเส้นหนึ่งเข้ามาในม่านตาของอิ๋งเหอ นี่เป็สร้อยข้อมือประดับเงินแท้เพียงมองก็รู้ว่าราคาไม่ธรรมดา
“ฮูหยิน ขอบคุณท่านเ้าค่ะ”อิ๋งเหอหยุดมือที่กำลังม้วนผมให้หลิ่วจิ้งแล้วรับสร้อยข้อมือมาอย่างเบามือ นางมองด้วยความตื่นเต้นยินดีแม้นางจะเป็บ่าวผู้หนึ่ง แต่ก็มองออกว่าสร้อยข้อมือเส้นนี้มีมูลค่าเท่าใดั้แ่แรกเห็น
“ฮูหยินเ้าคะ เหตุใดจึงสิ้นเปลืองเช่นนี้ยามนี้แม้แต่เบี้ยเดือนฮูหยินก็ยังไม่มีล้วนอาศัยตั๋วเงินเล็กน้อยที่นำติดตัวมายามออกเรือนฮูหยินควรเก็บไว้ใช้ในยามจำเป็ หาไม่แล้วหากใช้ตั๋วเงินไม่กี่ร้อยตำลึงนั้นจนหมดยามฮูหยินต้องซื้อหาของใช้จำเป็สำหรับสตรีก็จะไม่มีผู้ใดช่วยได้นะเ้าคะ”
อิ๋งเหอรู้ว่าในตัวหลิ่วจิ้งมิได้มีเงินทองมากมายหากมีแต่รายจ่ายไม่มีรายรับเช่นนี้ ช้าเร็วก็ต้องใช้หมดเข้าสักวันแล้วจะดีได้อย่างไร
_____________________________
เชิงอรรถ
[1] ดึงบังเหียนม้ากลับ อุปมาว่า กลับตัว กลับใจ
