สถานการณ์ในเมืองหลวงเจี้ยนเย่เป็อย่างที่ต้วนชางไห่คาดการณ์ไว้ ค่ายดาบดำถูกสั่งย้ายมารักษาการณ์ในวังหลวง ค่ายอวี่หลินที่องครักษ์วังหลวงเดิมถูกสั่งย้ายออกไปนอกเมือง ปักหลักประจำการอยู่ห่างจากเมืองหลวงสิบห้าลี้
คืนนั้นในเมืองประกาศใช้กฎอัยการศึก
ต่อให้เป็ชานเมืองหรือชายแดน หากไม่เกิดเหตุการณ์สำคัญขึ้น จะไม่มีทางประกาศกฎอัยการศึกมาใช้ง่ายๆ ต่อให้เป็ประเทศจักรวรรดิก็ตาม หากมีการฎอัยการศึกมันส่งผลใหญ่หลวงมาก
ทหารค่ายดาบดำคุ้มกันวังหลวง ส่วนบรรดาประตูเมืองเจี้ยนเย่ก็เป็ทหารของค่ายหู่เสิน อีกทั้งค่ายหู่เสินยังดึงเอาทหารบางส่วนไปร่วมลาดตระเวนกับทางทหารของเมืองด้วย
สำหรับเมืองเจี้ยนเย่ สถานการณ์แบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นมานานหลายปีแล้ว
วันที่เคลื่อนขบวนศพขององครักษ์เสื้อแพรฉีหุ้ยจิ่ง ในเมืองยังคงประกาศใช้กฎอัยการศึก ขุนนางในเมืองที่มาร่วมส่งศพครั้งสุดท้ายมีไม่มาก แต่ว่าชาวบ้านสองข้างทางนั้นมีมากมายที่มาร่วมส่งศพ
จากตำแหน่งองครักษ์เสื้อแพรที่เป็ขุนนางที่มีผลงานเป็คุณต่อบ้านเมือง ขบวนส่งศพแบบนี้มันดูเงียบเหงาไปหน่อย
สถานที่ฝังศพองครักษ์เสื้อแพรฉีหุ้ยจิ่งนั้นอยู่ใกล้ๆ เขาจงซานทางตะวันออกของเมืองหลวง มันเป็สุสานที่มีพื้นที่กว้างขวาง ถูกเรียกว่า ‘จงหลิง’ ผู้สถาปนาแคว้นฉู่ตั้งใจสั่งให้คนซ่อมแซมที่ดินพื้นนี้ให้ชื่อ ‘จงหลิง’ เพื่อใช้ฝังศพของขุนนางที่จงรักภักดีซื่อสัตย์และมีคุณต่อบ้านเมือง สามารถถูกฝังที่ ‘จงหลิง’ ถือได้ว่ามีเกียรติสูงสุดแล้ว
ฉีหุ้ยจิ่งเป็เสาหลักของแคว้นฉู่ แน่นอนว่าต้องมีที่ของเขาในจงหลิง
ออกเดินทางจากเมืองหลวง ต้องใช้เวลาเดินทางกว่าหนึ่งวันถึงจะไปถึงจงหลิง พิธีการฝังศพรวมๆ แล้วใช้เวลาทั้งสิ้นสามวัน หยางหนิงในฐานะลูกชายคนโตของเมียแต่ง ก็จะต้องเป็ผู้นำขบวนศพ
ท่านใหญ่สามครั้งนี้ตามขบวนมาด้วย แต่ว่าท่านห้ากับท่านหกไม่มา
ตอนขบวนออกจากจวนองครักษ์เสื้อแพร คนไม่ถือว่าเยอะมากเท่าไร แค่สองร้อยกว่าคน แต่ว่าเมื่อเดินไปตามทางประตูทิศตะวันออก คนก็เริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ส่วนมากก็เป็ชาวบ้านที่เคารพนับถือฉีหุ้ยจิ่ง เมื่อถึงประตูทิศตะวันออก ขบวนก็ยาวเกือบหนึ่งพันคน ราวกับัตัวยาวตัวหนึ่ง
ถึงแม้ว่าในเมืองหลวงจะประกาศใช้กฎอัยการศึก ประตูทุกที่ของเมืองปิดสนิท แต่เมื่อขบวนศพมาถึงประตูตะวันออก ประตูก็รีบเปิดออก ริมสองข้างทางจะมีทหารยืนเรียงเว้นระยะอยู่ด้วยท่าทีที่เคร่งขรึม เมื่อขบวนศพเคลื่อนผ่านไป ทหารทั้งสองข้างทางก็จะคุกเข่าลง เหมือนว่าพวกเขากำลังไว้อาลัยให้กับแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ของแคว้น
หยางหนิงเห็นทุกอย่าง ในใจก็คิดว่าฉีหุ้ยจิ่งเป็ทหารที่ได้ใจคนมากกว่าตำแหน่งที่เขามีเสียอีก
ไม่ไกลจากประตูตะวันออก หยางหนิงเห็นคนกลุ่มใหญ่ยืนรวมตัวกันอยู่เป็กลุ่มมืดๆ เมื่อขบวนศพเดินเข้ามาใกล้ คนกลุ่มนั้นก็เดินเข้ามา
คนที่อยู่ด้านหน้าสุดสวมชุดเกราะสีดำ ร่างกายสูงใหญ่ อายุไม่ถึงสี่สิบ ตอนที่เดินมา หนักแน่นดุจเสือ ดั่งั สง่าผ่าเผย เป็ชายชาตรีที่องอาจ
พ่อบ้านชิวยกมือขึ้น เพื่อส่งสัญญาณให้หยุดขบวน เห็นชายชุดเกราะดำรีบเดินเข้ามา แล้วคุกเข่าลง ถอดชุดเกราะออก ทหารเกือบพันนายที่อยู่ด้านหลังต่างคุกเข่าลงทั้งหมด ถอดชุดเกราะออก แล้วคุกเข่าโขกศรีษะให้กับโลงศพของฉีหุ้ยจิ่ง
พ่อบ้านชิวรีบเดินมาข้างๆ หยางหนิง แล้วพูดเบาๆ ว่า “ซื่อจื่อ ท่านนี้คือผู้บัญชาการค่ายหู่เสินท่านผู้บัญชาการเสวียหลิงเฟิง เคยเป็คนในสังกัดของท่านแม่ทัพ”
ก่อนเคลื่อนขบวนออกมา กู้ชิงฮั่นได้บอกรายละเอียดพิธีการให้หยางหนิงฟังแล้ว หยางหนิงจำได้ดี รู้ว่าตอนนี้เขาควรจะเดินเข้าไปขอบคุณที่เขามาไว้อาลัย
เขาเดินไปพร้อมกับพ่อบ้านชิว เห็นเสวียหลิงเฟิงสีหน้าจริงจัง ดวงตาแดงก่ำ โขกศีรษะไม่หยุด โขกจนหัวแตกเืไหลออกมา
“ท่านผู้บัญชาการเสวีย รีบลุกขึ้น รีบลุกขึ้น!” พ่อบ้านชิวรีบไปพยุงเสวียหลิงเฟิงขึ้นมา “น้ำใจของท่าน ท่านแม่ทัพต้องรับรู้ได้แน่”
หยางหนิงเองก็หันไปหาเสวียหลิงเฟิงแล้วโค้งคำนับเขา เสวียหลิงเฟิงลุกขึ้นมา ไม่สนใจพ่อบ้านชิว แต่เดินไปหาหยางหนิงทันที เขารูปร่างสูงใหญ่ สูงกว่าหยางหนิงไม่น้อย เขามาลงมาที่หยางหนิง นิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “ซื่อจื่อ ข้าเคยเป็คนของท่านแม่ทัพมาก่อน ท่านแม่ทัพมีบุญคุณกับข้า ชาตินี้ข้าไม่มีวันลืม ต่อไปหากท่านมีเื่เดือดร้อน มาหาข้าได้ตลอดเวลา ขอแค่ข้าทำได้ ข้าจะไม่ปฏิเสธเลย!”
หยางหนิงยกมือคำนับแล้วพูดว่า “ท่าน... ท่านอาเสวีย ท่าน... ท่านพ่อสิ้นไป ต่อไปเื่ที่ต้องรบกวนท่านอาเสวียคงมีไม่น้อย หลานขอขอบคุณท่านไว้ล่วงหน้า!”
สายตาของเสวียหลิงเฟิงรู้สึกแปลกใจ เหมือนจะใว่าทำไมหยางหนิงถึงได้มีมารยาทรู้จักกาลเทศะแบบนี้ เขาแสดงท่าทีชื่นชม แล้วพยักหน้า ไม่พูดอะไรมาก ขยับไปอยู่ข้างๆ เปิดทางให้แล้วพูดว่า “ส่งท่านแม่ทัพ!” แล้วคุกเข่าลงกับพื้นอีกครั้ง ทหารที่อยู่ข้างๆ ทั้งหมดก็คุกเข่าลง
พ่อบ้านชิวกำลังจะสั่งให้ตั้งขบวนเดินทางต่อ ก็ได้ยินเสียงดังมาจากด้านหลังว่า “ช้าก่อน!” เสียงฝีเท้าของม้ากำลังควบมา ทุกคนต่างหันหลังกลับไปดู เห็นคนๆ หนึ่งกำลังฝ่าฝูงชนมาตามทาง ไม่ช้าก็เห็นตัวม้า หยางหนิงมองไป เห็นคนๆ หนึ่งสวมชุดยาวสีเหลืออ่อน สวมหมวก หนวดเครายาว เมื่อเข้ามาใกล้ เขาก็ลงจากม้า
“ท่านไหวหนานอ๋อง!” พ่อบ้านชิวพูดสเสียงหลงแล้วพูดว่า “ซื่อจื่อ เร็วเข้า...รีบไปต้อนรับไหวหนานอ๋องเถิด”
หยางหนิงใ ถึงเขาจะไม่ค่อยรู้เื่กฎเกณฑ์อะไรของแคว้นฉู่มาก แต่ก็รู้ว่าบรรดาศักดิ์อ๋องนั้นสูงกว่าโหว คิดไม่ถึงเลยว่าจะมีไหวหนานอ๋องโผล่มาด้วย
มีไหวหนานอ๋องน่าจะอายุประมาณสี่สิบกว่าๆ สง่าผ่าเผย หลังจากลงจากม้า เขาก็รีบเดินไปที่โลงศพโดยทันที เมื่อมาถึงข้างๆ โลงศพ เขาก็จับไปที่โลงศพ ร้องไห้แล้วพูดว่า “์ไม่ยุติธรรม องครักษ์เสื้อแพรเป็วีรบุรษกว่าครึ่งชีวิต นำทัพออกศึกรบจนกองทัพทหารศัตรูแตกพ่าย ตอนนี้... ตอนนี้กลับต้องไปอยู่ในปรโลกแบบนี้ เสาหลักของแคว้นฉู่ล้มลงแบบนี้ ในใจข้าเหมือนถูกมีดกรีดเป็ล้านชิ้น...!”
ขบวนส่งศพทั้งหมดต่างเศร้าใจ ไหวหนานอ๋องร้องไห้ ทำให้หลายๆ คนร้องไห้ตาม ทหารทั้งสองข้างทางต่างยกมือขึ้นมาเช็ดน้ำตา
หยางหนิงตะลึงไป คิดในใจว่าไหวหนานอ๋องนี่เป็ใครกัน ดูเขาจริงใจมาก เหมือนจะเ็ปมากที่สุดที่ฉีหุ้ยจิ่งจากไป แรงกระทบรุนแรงมาก แต่ทำไมกู้ชิงฮั่นถึงไม่เคยพูดถึงไหวหนานอ๋องเลย แล้วเขาก็ไม่เคยเห็นเขาที่คำนับศพจวนองครักษ์เสื้อแพรมากก่อนด้วย
สีหน้าของไหวหนานอ๋องเศร้าใจมาก ทันใดนั้นเองเขาก็ถอยหลังไปสองก้าว จากนั้นก็คุกเข่าลง พ่อบ้านชิวอยู่ข้างๆ เขา รีบพยุงตัวเขาขึ้นแล้วพูดว่า “ท่านอ๋อง ท่านอ๋อง ทรงทำแบบนี้ไม่ได้ ทำไม่ได้ มัน... มันไม่เหมาะสม!”
ไหวหนานอ๋องกล่าวว่า “ทำไมทำไม่ได้? หรือเป็เพราะข้ามีศักดิ์เป็อ๋อง ก็เลยคุกเข่าให้องครักษ์เสื้อแพรไม่ได้? องครักษ์เสื้อแพรทำคุณให้กับแคว้นฉู่มากมาย ราษฎรแคว้นฉู่อยู่อย่างสงบได้ เพราะท่านองครักษ์เสื้อแพรกับทหารเสียสละชีวิตแลกมา หากการคุกเข่า จะสามารถแลกชีวิตขององครักษ์เสื้อแพรคืนมาได้ ข้าจะไม่ลังเลเลย” เขาผลักพ่อบ้านชิวออก แล้วคุกเข่าลงไปจริงๆ
ตอนนี้คนรอบๆ ต่างซุบซิบกัน สีหน้าของหลายๆ คนต่างก็ชื่นชมและนับถือเขา
ไหวหนานอ๋องโขกศีรษะคำนับต่อเนื่องสองสามครั้ง แล้วก็ถูกพยุงขึ้นมา หันไปหาหยางหนิงที่ยืนอยู่ข้างๆ เดินเข้ามาหา ยื่นมือไปดึงมือของหยางหนิงมา แล้วพูดอย่างอ่อนโยนว่า “เ้าคือองครักษ์เสื้อแพรซื่อจื่อใช่ไหม?”
พ่อบ้านชิวรีบตอบว่า “ใช่ พะยะค่ะ!” แล้วหันไปส่งสายตาให้กับหยางหนิง หยางหนิงเลยพูดว่า “ฉีหนิงถวายพระพรท่านอ๋อง!” กำลังจะคุกเข่าลง ไหวหนานอ๋องก็ดึงเขาขึ้นมาแล้วพูดว่า “ตามสบาย ข้าแค่มาส่งองครักษ์เสื้อแพรเป็ครั้งสุดท้าย จะให้เขาไปอย่างเงียบเหงาไม่ได้”
เขารู้สึกว่าคำพูดนี้มันก็ไม่มีอะไรแปลก แต่หยางหนิงก็แอบรู้สึกว่ามันเหมือนมีอะไรแอบแฝง เขารู้สึกว่าวันนี้คนที่มาร่วมส่งศพก็มีไม่น้อย ระหว่างทางชาวบ้านก็ร่วมเดินมาส่งก็มาก ถึงแม้จะไม่ได้เยอะมากอะไร แต่ก็ไม่ได้เงียบเหงาแบบนั้น
ไหวหนานอ๋องกลับบอกว่าไม่อยากให้องครักษ์เสื้อแพรจากไปเงียบๆ คำพูดมันเหมือนมีอะไรแฝงอยู่
ตอนนี้เอง ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าม้าดังมาอีก หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงแหลมๆ ดังขึ้นมาว่า “ช้าก่อน ช้าก่อน ฝ่าามีราชโองการ ฝ่าามีราชโองการ!”
เห็นม้าหลายตัวกำลังมาทางนี้ หยางหนิงเห็นสถานการณ์ดังนั้น ในใจก็คิดว่าคนพวกนี้นี่เลือกเวลาได้ดีจริงๆ ตอนที่องครักษ์เสื้อแพรตั้งป้ายเคารพศพ ไม่ว่าจะไหวหนานอ๋องหรือคนในวัง ก็ไม่โผล่มาสักคน ตอนนี้ขบวนส่งศพจะออกนอกเมือง ไหวหนานอ๋องกับราชโองการของฮ่องเต้ก็ตามกันมาติดๆ
“เอ๋ นั่นมันท่านฟ่านกงกงที่อยู่ในวังหลวงนิ!” พ่อบ้านชิวเห็นคนที่กำลังมา ก็รีบพูดกับหยางหนิงว่า “ซื่อจื่อ ฟ่านกงกงเป็หัวหน้าขันทีตรวจการฝ่ายใน”
ฟ่านกงกงอายุราวห้าสิบปี ร่างกายออกอ้วน แต่หน้าตาดูเป็มิตร ดวงตาแทบจะปิดสนิท เมื่อเขาเข้ามาใกล้ หยางหนิงถึงได้พบว่าด้านหลังของฟ่านกงกงมีสายตาคู่หนึ่ง
ด้านหลังของฟ่านกงกง เหมือนจะมีขันทีที่ติดตามมาด้วยสี่ห้าคน เมื่อเห็นไหวหนานอ๋องยืนอยู่ข้างๆ ฟ่านกงกงก็ยิ้ม โค้งคำนับแล้วพูดว่า “ถวายพระพรท่านอ๋อง!”
ไหวหนานอ๋องพูดเรียบๆ ว่า “ฟ่านกงกงมาทันเวลาพอดี หากมาช้ากว่านี้ องครักษ์เสื้อแพรก็ออกนอกเมืองไปแล้ว ราชโองการของฝ่าามาทันเวลาแบบนี้ หากองครักษ์เสื้อแพรรับรู้ ก็คงสบายใจแล้ว”
หยางหนิงฟังจากน้ำเสียงของเขาเหมือนประชดประชัน ในใจก็ใ แอบคิดว่าไหวหนานอ๋องคนนี้ก็กล้าไม่เบา ที่แอบเหน็บแหนมฮ่องเต้ต่อหน้าหัวหน้าขันทีตรวจการฝ่ายใน ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาไม่พอใจฮ่องเต้หรือว่าไม่พอใจองครักษ์เสื้อแพร
ฟ่านกงกงยังคงยิ้มเหมือนเดิม แล้วพูดว่า “ท่านองครักษ์เสื้อแพรเป็ขุนนางมีคุณต่อแคว้นฉู่ ฝ่าาจะลืมองครักษ์เสื้อแพรได้อย่างไร” ก่อนจะกระแอมไอ เพื่อจัดระเบียบเสียงแล้วกล่าวว่า “ฝ่าามีราชโองการ องครักษ์เสื้อแพรซื่อจื่อรับราชโองการ!”
หยางหนิงไม่เคยเจอสถานการณ์แบบนี้ แล้วกู้ชิงฮั่นก็ไม่ได้คิดว่าฮ่องเต้จะมีราชโองการในเวลาแบบนี้ ดังนั้นหยางหนิงไม่รู้ว่าจะต้องรับราชโองการอย่างไร
เห็นหยางหนิงยืนตะลึง ฟ่านกงกงก็ยิ้มแล้วพูดว่า “ซื่อจื่อไม่ต้องคิดอะไรมาก ที่นี่ไม่ใช่ในจวน ไม่ต้องพิธีรีตองเยอะ คุกเข่ารับราชโองการก็พอ”
หยางหนิงรู้สึกหงุดหงิดใจมาก แอบคิดว่าจะอยู่ในยุคนี้ไม่ง่ายเลย ตัวเองสวมรอยเป็ซื่อจื่อฐานะก็สูงส่งพอตัว แต่เป็มาได้พักหนึ่ง คุกเข่าไปมาไม่เว้นวันเลย เข่าจะรับไม่ไหวอยู่แล้ว แต่ตอนนี้ทุกคนกำลังจ้องมองเขาอยู่ เขาไม่มีทางเลือก
แต่ว่าเมื่อคิดว่าราชโองการมาแล้ว น่าจะได้ปูนบำเหน็จไม่น้อย การเงินในจวนองครักษ์เสื้อแพรกำลังย่ำแย่ เงินจากทางเจียงหลิงก็ยังไม่มาสักที กู้ชิงฮั่นเครียดกับเื่นี้มาสองวันแล้ว คราวนี้หากได้บำเหน็จจากในวังหลวงมา ก็น่าจะแก้ไขปัญหาในตอนนี้ได้
ฟ่านกงกงยังไม่ทันได้อ่านราชโองการ ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าม้า หยางหนิงถึงได้รู้ว่า ไหวหนานอ๋องนำคนของเขากลับไปแล้ว
“โองการแห่งฟ้า...!” ฟ่านกงกงเริ่มอ่านราชโองการ หยางหนิงไม่ได้สนใจคำพรรณนามสวยงามพวกนั้นเลย รวบรวมสมาธิ คิดแค่ว่าวังหลวงจะปูนบำเหน็จให้เท่าไร ฟังฟ่านกงกงอ่านราชโองการเหมือนพระสวดมนต์อยู่นาน เริ่มจากการกล่าวชื่นชมคุณความดีของฉีหุ้ยจิ่ง หลังจากนั้นก็แสดงความเสียใจต่อการจากไปของเขา หลังจากนั้นฟ่านกงกงก็ปิดราชโอการ ไม่ได้ยินเื่ปูนบำเหน็จเลย
“ซื่อจื่อ ท่านก็อย่าเสียใจมากเกินไป ท่านองครักษ์เสื้อแพรสิ้นบุญไป คนทั้วแคว้นต่างอาลัย ท่านเองก็ต้องรักษาสุขภาพด้วย” ฟ่านกงกงปิดม้วนราชโองการแล้วส่งมอบให้ หยางหนิงรับมา แล้วลุกขึ้นยืน ในใจแอบด่าว่า ‘เสียใจบ้าบออะไรกัน ราชสำนักก็ออกจะใหญ่โต ขุนนางทำคุณประโยชน์มากมาย มีแค่ราชโองการที่บ่นอะไรก็ไม่รู้ ไม่เห็นมีประโยชน์อะไรเลย นี่สิถึงเป็เื่ที่น่าเสียใจจริงๆ’
ต่อให้เขาโกรธแค่ไหน ก็ไม่สามารถแสดงออกมาได้ ขณะกำลังจะแสดงความขอบคุณ ก็พลันหันไปเห็นดวงตาคู่หนึ่งด้านหลังฟ่านกงกงกำลังจ้องมาที่เขา เขามองตามสายตานั้นไป ก็เห็นบรรดาขันทีสองสามคนกำลังก้มหน้าอยู่ มีเพียงหนึ่งคนเท่านั้นที่กำลังเงยหน้า ดวงตาจ้องมาที่ตัวเขา
หยางหนิงกำลังคิดว่าเ้าขันทีคนนี้ทำไมไม่รู้จักกาลเทศะเลย แต่เมื่อเห็นใบหน้าของคนๆ นั้น คราแรกเขาใ แต่หลังจากนั้นก็ใจเย็นลง