วินาทีที่ทั้งสองสบตากันก็ต่างพากันชะงักไป ซูิเยว่เบิกตากว้างด้วยความตกตะลึงเล็กน้อย นางมองใบหน้าขององค์หญิงสีอย่างไม่อยากจะเชื่อ
ใบหน้าขององค์หญิงสีนั้นเต็มไปด้วยตุ่มสิวเล็กๆ ขึ้นเต็มหน้า ดูแล้วน่ากลัวมาก
เมื่อวานตอนที่ซูิเยว่เจอนางยังดีๆ อยู่เลย เพียงชั่วข้ามคืนมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
องค์หญิงสีพอเห็นซูิเยว่ก็ใมาก ไม่นานก็ตั้งสติได้และเมินเวินเยว่ที่เดินอยู่ด้านหน้าก่อนจะกล่าวเสียงแหลม “ซูิเยว่ คนชั้นต่ำอย่างเ้ามาทำอะไรที่นี่?”
หลังจากนางพูดจบก็นึกอะไรขึ้นได้จึงรีบเอาแขนเสื้อขึ้นมาปิดใบหน้าของตัวเองเอาไว้ เผยให้เพียงสายตาที่เต็มไปด้วยความโกรธแทน
ซูิเยว่เลิกคิ้วขึ้น ใบหน้าขององค์หญิงสีนั้นไม่ได้เกี่ยวอะไรกับนาง แต่พอเห็นองค์หญิงสีอารมณ์ไม่ดี นางก็อารมณ์ดีขึ้นมาเสียอย่างนั้น “ไม่มีอะไรเพคะ ก็แค่เดินผ่านมาเท่านั้น”
ตอนที่องค์หญิงสีอยากจะพูดอะไรบางอย่าง เวินเยว่ที่เดินอยู่ด้านหน้าก็หันกลับมาพูด “องค์หญิงเจ็ด พอแล้ว”
องค์หญิงสีห่อไหล่อย่างใ ตอนนี้นางเพิ่งสังเกตเห็นเวินเยว่ที่เดินมาอยู่ด้านหน้า
“ไปกันเถิด คุณหนูซู”
“เพคะ เหนียงเหนียง” ซูิเยว่ไม่ได้หยุดอีกแล้วเดินตามหลังเวินเยว่ออกจากตำหนักจิ่นเหอ
จนกระทั่งออกมาแล้วก็เดินตามทางเดินวังไปอีกสักพัก ซูิเยว่ก็คิดเื่หนึ่งขึ้นมาได้ นางบอกกับเสี่ยวอวี่ไว้ว่านางจะกลับไปภายในสองชั่วยาม หากยังไม่กลับก็ให้นำป้ายอาญาสิทธิ์ที่จี๋โม่หานให้ตนครั้งที่แล้วไปหาเขาที่จวน
เดิมซูิเยว่คิดว่าเื่นี้จะจัดการง่าย อย่างมากก็แค่โต้เถียงกับหลันหลินไม่กี่ประโยค ใครจะไปรู้ว่าเื่มันจะเลยเถิดไปได้ ตอนนี้ก็ยังมาอยู่ในตำหนักเวินเยว่อีก ดังนั้นนางไม่มีทางกลับไปได้ภายในสองชั่วยาม
ซูิเยว่ถอนหายใจลอบมองแผ่นหลังของเวินเยว่ที่อยู่ด้านหน้าก่อนจะเอ่ยปากพูดอย่างอยากรู้ “หม่อมฉันขอบังอาจถามเหนียงเหนียงได้หรือไม่เพคะ ว่าเหตุใดจู่ๆ เหนียงเหนียงถึงได้มาที่นี่?”
เวินเยว่ตอบ “เมื่อครู่สาวใช้ของเปิ่นกงเห็นเ้าตามคนของหลันหลินเข้าไปในตำหนักจิ่นเหอ เปิ่นกงเป็ห่วงถึงได้ตามมาดู”
ประโยคนี้ทำให้ซูิเยว่ขมวดคิ้วเข้าหากันอีก เป็ห่วงนางหรือ?
“เช่นนั้น เหตุใดเหนียงเหนียงถึงได้มาช่วยหม่อมฉันเพคะ?”
ในที่สุดซูิเยว่ก็ถามสิ่งที่นางอยากรู้ที่สุดออกมา
เวินเยว่ได้ยินเช่นนั้นฝีเท้าก็หยุดลง จากนั้นก็ก้าวเดินไปช้าๆ หลายก้าวก่อนจะเอ่ยปากออกมา น้ำเสียงยังแฝงไปด้วยความเอ็นดูและขบขัน “เ้าอาจจะไม่คุ้นเคยกับเปิ่นกง แต่เปิ่นกงสนิทกับมารดาของเ้ามาก”
ซูิเยว่ได้ยินตรงนี้ก็ชะงักไป นางไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับมารดามากนัก รู้แค่ว่ามารดาของตนเหมือนจะแต่งงานมาจากที่ไกลมากๆ
ตอนที่นางเกิดได้ไม่นาน มารดาก็เสียชีวิตไป ครอบครัวของท่านแม่และญาติของนางเป็ใครบ้างก็ไม่รู้แน่ชัด
หลินโม่ไม่เคยเล่าเื่พวกนี้ให้นางฟังมาก่อน อีกทั้งไม่เคยพานางไปเจอญาติในวันสำคัญ จู่ๆ พอได้ยินเื่ของมารดาจากปากของคนอื่นก็ประหลาดใจเล็กน้อย
ซูิเยว่สาวเท้าไวๆ เดินไปหาเวินเยว่ แต่ยังคงไม่ลืมที่จะรักษาระยะห่างเอาไว้ครึ่งก้าว “ฮองเฮาเหนียงเหนียงรู้จักท่านแม่ของหม่อมฉันได้อย่างไรเพคะ?”
เวินเยว่เริ่มอธิบาย “มารดาของเ้าตอนที่เพิ่งจะแต่งงานมาที่จวนสกุลซู เปิ่นกงเองก็เพิ่งจะเป็ฮองเฮาได้ไม่กี่ปี ตอนนั้นยังเป็เด็กอายุยังน้อย นิสัยยังเอาแน่เอานอนไม่ได้ เปิ่นกงไม่อยากอยู่แต่ในวังที่เงียบเหงาก็เลยหนีออกไปเที่ยวแล้วก็ได้เจอกับมารดาของเ้า”
“มารดาของเ้าเองก็เพิ่งมาใช้ชีวิตที่เมืองหลวงจึงยังไม่คุ้นชินกับชีวิตที่นี่ ดังนั้นพวกเราสองคนจึงรู้จักกัน ต่อมาในวังก็จัดงานเลี้ยงอยู่หลายครั้ง มารดาของเ้าก็ไปๆ มาๆ พวกเราสองคนสนิทกันมากขึ้น นางมักจะเข้ามาพูดคุยกับเปิ่นกงบ่อยครั้ง”
น้ำเสียงของเวินเยว่เต็มไปด้วยความคิดถึงเหมือนย้อนเวลากลับไปในอดีตเมื่อนานมาแล้ว พอนางพูดจบก็หันมามองซูิเยว่ แววตาเต็มไปด้วยความรักและเอ็นดู
“ต่อมามารดาของเ้าก็ได้จากไป เดิมทีเปิ่นกงก็อยากจะไปหาเ้าบ่อยๆ แต่อย่างไรฐานะของเปิ่นกงก็เป็ถึงฮองเฮา ตอนนั้นมารดาของเ้าก็ได้จากไปแล้ว เปิ่นกงจะไปที่จวนสกุลซูอีกก็ไม่ดี ผ่านมาหลายปีจึงได้ห่างเหินกับเ้าถึงเพียงนี้ แต่พอตอนนี้ได้เห็นเ้าเติบโตมาอย่างงดงาม มารดาของเ้าที่อยู่บนสรวง์ก็คงจะปลาบปลื้ม”
ซูิเยว่ชะงักไป นางหลุบตาลง ที่เวินเยว่พูดนั้นสมจริงมาก ไม่เหมือนกำลังโกหกเลยสักนิด ดูเหมือนว่านางจะรู้จักมารดาของตนจริงๆ
ต่อมาตลอดทางก็กลับมาเงียบอีกครั้ง ถึงแม้เวินเยว่จะพูดเื่เกี่ยวกับมารดามากมาย แต่เพราะซูิเยว่ไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับมารดาของตัวเองเลยจึงไม่มีความรู้สึกร่วมด้วย
แม้แต่หน้าตาของมารดาเป็อย่างไรนางก็ไม่รู้ ภายในจวนไม่มีภาพเหมือนของมารดาเลย เื่นี้ตอนเด็กนางเคยถามบิดาแล้ว ตอนนั้นอีกฝ่ายไม่ได้สนใจนาง ซูิเยว่จึงคิดว่าบิดาเก็บภาพเหมือนของมารดาเอาไว้เพราะกลัวว่าจะไปสะกิดแผลในใจ ต่อมานางจึงไม่ถามเื่นี้อีก
ระยะทางจากตำหนักจิ่นเหอมาถึงวังมู่หว่านห่างไกลกันมาก พวกนางเดินกันไปเงียบๆ ครู่หนึ่ง เดิมทีตำหนักจิ่นเหอก็อยู่ในที่ไกลอยู่แล้ว พอเดินไปเรื่อยๆ คนบนถนนก็เริ่มจะเยอะขึ้น
นางกำนัลเดินผ่านไปมาบริเวณกำแพงแดงของวังหลวงซึ่งสามารถมองเห็นได้ทุกที่ ที่พักอยู่ภายในนี้ล้วนเป็เหล่าเฟยจื่อของฮ่องเต้
ซูิเยว่เดินไปก็มองพิจารณาไปเงียบๆ ทันใดนั้น สายตาของนางก็ถูกตำหนักหนึ่งดึงดูดเข้า ตลอดทางที่เดินผ่านตำหนักมามากมาย ไม่มีที่ไหนไม่มีสีทอง ทว่าตำหนักด้านในนี้กลับดูธรรมดามาก
ประตูก็ไม่มีคนเฝ้า ประตูวังเปิดแง้มออกมาเล็กน้อย สีแดงกระดำกระด่างบนประตูไม่สวยงาม ตัวหนังสือสีทองสามตัว้าประตูวังก็มองเห็นไม่ชัดแล้ว ทั้งยังมีใบไม้หลายใบปลิวออกมาจากร่องประตูที่แง้มเปิดออก
วังนี้ปกติแล้วล้วนเป็วังเย็น แน่นอนว่าไม่ควรจะมาตั้งอยู่ตรงนี้ ตำหนักสภาพคร่ำครึมาตั้งอยู่ตรงนี้มันชัดเจนเกินไป
ซูิเยว่อดไม่ได้ที่จะมองมากกว่านี้อีกหน่อย ในตอนที่นางใช้สมาธิทั้งหมดมองพิจารณา จู่ๆ ด้านหลังประตูวังที่แง้มออกมาก็มีลูกตาข้างหนึ่งปรากฏขึ้น
นางถูกดวงตานี้ทำให้ใจนหนาววาบ หัวใจแทบกระดอนออกไป
นางสงบจิตใจแล้วมองไปอีกครั้งก็พบว่าด้านหลังประตูบ้านนั้นมีสตรีนางหนึ่งกำลังมองผ่านรูนั้นออกมาและกำลังมองนางอยู่จริงๆ
ซูิเยว่มองอยู่นานก่อนจะเก็บสายตากลับมา ตอนนี้กลุ่มพวกนางต่างเดินผ่านประตูวังนี้แล้ว
และทันใดนั้นประตูวังด้านหลังก็พลันมีเสียงปังดังขึ้น ต่อมาซูิเยว่ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าวิ่งอย่างรวดเร็วมาทางนั้น สาวใช้ของเวินเยว่ที่ตามอยู่ด้านหลังก็ต่างพากันใ
ซูิเยว่หันกลับไปมองทันที สตรีที่แอบมองนางจากด้านหลังประตูเมื่อครู่ได้พุ่งเข้ามาหา ผมเผ้าของสตรีผู้นั้นกระเซิง ดูไปแล้วคงจะไม่ได้หวีผมมานาน บนตัวสวมเสื้อผ้าธรรมดามาก ดูไปแล้วหน้าตาดีไม่เลว เพียงแต่การกระทำไม่ค่อยปกติ
“ฉินหว่าน ฉินหว่าน” สตรีผู้นั้นะโเรียกมาทางซูิเยว่ ท่าทางเสียสติ แต่ใบหน้าแฝงไปด้วยความดีใจ
เดิมทีซูิเยว่จะถอยไปด้านหลัง แต่ตอนที่ได้ยินชื่อที่เรียกออกมาจากปากสตรีนางนั้นก็ถึงกับชะงักไป