หลังเดินมาระยะหนึ่ง ผู้คุมก็หยุดลง ก่อนโค้งคำนับและพูดว่า “องค์หญิง ถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
หนีเจียเอ๋อร์กับกู่อวี่เสวียนจึงพากันหยุดเดิน พลางมุ่งไปยังห้องขังตรงหน้า เมื่อมองเข้าไปเห็นสิ่งที่อยู่หลังลูกกรง ก็พบว่ามีเพียงฟางแห้งที่ใช้ต่างฟูกนอนเท่านั้น
ถึงโจวชิงหวาจะมาจากครอบครัวซึ่งมีพื้นเพต้อยต่ำ แต่เมื่อเห็นสภาพความเป็อยู่ของเขา หนีเจียเอ๋อร์พลันตาแดงก่ำด้วยความสงสาร
กู่อวี่เสวียนก็เงียบไปเช่นกัน แค่ก้าวเข้ามาในคุก ก็อดปวดใจแทนชายหนุ่มมิได้
โจวชิงหวาสังเกตเห็นพวกนางแล้ว จึงผุดลุกขึ้น พยายามปัดคราบสกปรกและตบฝุ่นผงออกจากร่างกาย ก่อนเดินเข้าไปหา
“เสี่ยวเอ๋อร์ เ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร นางมิได้ทำให้เ้าลำบากใจใช่หรือไม่?”
จบประโยคก็หันไปมองกู่อวี่เสวียน องค์หญิงใหญ่จึงจ้องกลับด้วยสายตาขุ่นเคือง “กำลังจะตายอยู่แล้ว ยังไม่รู้จักห่วงตัวเองอีก!”
หนีเจียเอ๋อร์สั่นศีรษะ และยิ้มเป็เชิงบอกให้ชายหนุ่มวางใจ “อย่าอคตินักเลย องค์หญิงหาได้ทำให้ข้าต้องลำบากอันใด ทั้งยังช่วยนำป้ายหยกของฮ่องเต้ออกมา เพื่อช่วยให้ข้าได้พบหน้าเ้าอีกด้วย ถึงคราวลำบากย่อมมองเห็นสัจธรรม องค์หญิงใหญ่เป็บุคคลที่ควรค่าแก่การคบหาเป็สหายผู้หนึ่ง”
คำพูดนี้ช่างถูกใจกู่อวี่เสวียนเป็อย่างยิ่ง นางจึงมิได้มองอีกฝ่ายเป็ศัตรูอีก หนีเจียเอ๋อร์จึงไม่ได้ดูเกะกะลูกั์ตานัก
โจวชิงหวารู้ทันความคิดของหนีเจียเอ๋อร์ ที่เขาพูดไปเมื่อครู่ นางคงไม่ชอบใจเป็แน่
กู่อวี่เสวียนไม่อยากจะต่อปากต่อคำกับคนผู้นี้อีก จึงถอยห่างออกมาพร้อมผู้คุม
สักพัก ผู้คุมก็จากไป
พอคล้อยหลัง หนีเจียเอ๋อร์ก็ถามชายหนุ่มเบาๆ ว่า “เกิดอะไรขึ้น มีสิ่งใดในชาบรรณาการหรือ?”
โจวชิงหวาส่ายหน้าอย่างมั่นใจ “เป็ไปไม่ได้แน่ ข้าระมัดระวังเป็อย่างดี เมื่อถึงเวลาที่จะส่งมอบใบชา ย่อมต้องผ่านการตรวจสอบจากข้าก่อน และข้าก็ไม่เคยคิดจะวางเล่ห์กลอันใด”
หนีเจียเอ๋อร์ขมวดคิ้วอย่างครุ่นคิด “นั่นก็หมายความว่า ปัญหาน่าจะเกิดขึ้นหลังจากที่เ้าส่งมอบใบชาให้ฝ่ายในไป หรือไม่ก็มีใครบางคนสอดมือเข้ามายุ่งเกี่ยว”
กู่อวี่เสวียนจึงพูดว่า “เช่นนั้นข้าไปอธิบายให้เสด็จพี่ฟัง ว่ามีคนจงใจใส่ร้ายเ้าด้วยข้อหาลอบปลงพระชนม์ ฝ่าาจะได้ทรงประทานอภัยโทษให้”
แต่หนีเจียเอ๋อร์แย้งว่า “ไม่หรอก หากไม่มีหลักฐานที่แน่ชัด ฝ่าาย่อมไม่เชื่อคำพูดของพวกเราเป็แน่ การทำเช่นนั้นมีแต่จะทำให้พระองค์ทรงกริ้วเปล่าๆ หนทางเดียวที่จะพิสูจน์ได้ก็คือ เราต้องหาคนร้ายตัวจริงให้พบ”
กู่อวี่เสวียนโพล่งขึ้นมาทันควัน “หาคนร้ายตัวจริง? พูดน่ะมันง่าย แต่พระราชวังออกจะกว้างใหญ่ ในแต่ละวันก็มีคนเข้าออกมากมาย ไม่มีผู้ใดแปะป้าย ‘ข้าคือคนร้าย’ ไว้บนหน้าผากหรอกนะ เ้าจะหาพบได้อย่างไร?”
หนีเจียเอ๋อร์ถึงกับจนหนทาง
แต่เพื่อปลอบใจโจวชิงหวา นางจึงรีบเอ่ยว่า “ไม่ต้องวิตก ท่านพี่ของข้ากำลังหาทางอยู่ ด้วยความช่วยเหลือขององค์หญิงใหญ่ เราต้องหาคนร้ายตัวจริงมาล้างมลทินให้ท่านได้แน่!”
เมื่อได้ยินคำพูดของนาง ดวงตาสีเข้มของชายหนุ่ม ซึ่งยังคงฉายแววสงบเยือกเย็น พลันเปล่งประกายไหวระริก “ข้าเชื่อเ้า!”
ส่วนกู่อวี่เสวียน ก็แอบยัดเงินใส่มือผู้คุม พลางกำชับเบาๆ ว่าให้คอยดูแลโจวชิงหวาให้ดี
ชายหนุ่มปลดจี้หยกมาส่งให้หนีเจียเอ๋อร์ พร้อมพูดเสียงทุ้ม “รับไป บางทีเ้าอาจต้องใช้มัน”
นางจึงรับจี้หยกมาอย่างระมัดระวัง
หลังจากเอ่ยลาโจวชิงหวาแล้ว หนีเจียเอ่อร์กับองค์หญิงใหญ่ก็เดินทางกลับมาหารือกันถึงแผนการต่อไป โดยไม่รู้เลยว่าแค่พวกตนคล้อยหลัง เื่ที่ทั้งสองไปยังคุกหลวง จะล่วงรู้ไปถึงหูของฮ่องเต้
กู่หังจิ่นนั่งฟังรายงานจากองครักษ์ส่วนพระองค์เงียบๆ... กู่อวี่เสวียนลอบพาคุณหนูรองสกุลหนี หนีเจียเอ๋อร์เข้าไปในคุกหรือ?
เมื่อรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เขาจึงรีบออกจากวังบูรพาไปยังตำหนักเจิ้งเหอ ทันทีที่เปิดลิ้นชักโต๊ะทำงาน ก็พบว่าป้ายหยกหายไปจริงๆ
ฮ่องเต้สั่งให้คนไปพาตัวกู่อวี่เสวียน ที่ยังไม่มีเวลาเอาป้ายหยกไปคืน มายังตำหนักเจิ้งเหอ
พอองค์หญิงใหญ่ก้าวเข้าไปในห้องโถง และเห็นสีหน้ามืดครึ้มของกู่หังจิ่น ก็รีบส่งป้ายหยกให้ พลางกล่าว “เสด็จพี่ ขออภัยด้วย”
เมื่อเห็นพระเชษฐามิได้ยื่นมือมารับอย่างที่ควรจะเป็ กู่อวี่เสวียนจึงจำต้องนำป้ายหยกกลับไปไว้ในลิ้นชักด้วยตัวเอง
จากนั้น ก็ดึงชายเสื้อของโอรส์ด้วยท่าทีออดอ้อน “เสด็จพี่ หม่อมฉันสำนึกผิดแล้ว อย่าถือโทษเอาผิดเสี่ยวเอ๋อร์เลยนะเพคะ”
แต่กู่หังจิ่นมิได้เอ่ยอันใด เพียงคว้ามือขนิษฐาอย่างแรง ก่อนะโเรียกองครักษ์ “ใครก็ได้ เข้ามาหน่อย!”
องครักษ์ทั้งสี่ก้าวเข้ามาคุกเข่าเพื่อรับคำสั่ง
ฮ่องเต้จึงออกคำสั่งเสียงเคร่ง “ส่งองค์หญิงใหญ่กลับตำหนัก เพิ่มเวรยามและกวดขันอย่างเข้มงวด หากนางก้าวออกจากตำหนักแม้แต่ครึ่งก้าวโดยปราศจากคำสั่ง ข้าจะลงโทษพวกเ้า”
“พ่ะย่ะค่ะ!” เหล่าองครักษ์รับคำโดยพร้อมเพรียงกัน
สองในสี่องครักษ์ ก้าวขึ้นไปประกบกู่อวี่เสวียน ซึ่งกำลังมองพระเชษฐาด้วยสายตาน้อยใจ “ข้าไปเองได้!”
พอถึงตำหนัก องค์หญิงใหญ่จึงส่งนางกำนัลไปยังจวนสกุลหนี เพื่อแจ้งให้หนีเจียเอ๋อร์ทราบว่าตนถูกฮ่องเต้ลงโทษกักบริเวณ จากนี้ไป คงไม่อาจออกจากตำหนักได้ตามใจชอบอีก
หากปราศจากความช่วยเหลือของอีกฝ่าย แผนที่วางเอาไว้ก่อนหน้านี้ย่อมไร้ผล นางจำต้องหาหนทางอื่นแล้ว
ขณะกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น จู่ๆ ก็นึกขึ้นมาได้ ว่าตอนที่ไปเยี่ยมโจวชิงหวาในคุก เขาได้มอบจี้หยกให้ชิ้นหนึ่ง
เมื่อหยิบออกมาตรวจสอบอย่างละเอียด ก็พบว่าที่จี้หยกมีตัวอักษร ‘โจว’ สลักเอาไว้ด้านหนึ่ง โดยมีสัญลักษณ์ทางการค้าของโจวชิงหวาอยู่อีกด้าน
จากนั้น ดวงตาหญิงสาวก็ทอประกายวาบ ด้วยรู้แล้ว ว่าเหตุใดอีกฝ่ายถึงได้มอบจี้หยกให้ตน
โจวชิงหวาช่างมองการณ์ไกลจริงๆ ถึงกับคาดเดาได้ ว่าฮ่องเต้คงจะไม่ยอมให้กู่อวี่เสวียนเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเื่นี้ตามใจชอบเป็แน่
หนีเจียเอ๋อร์เก็บจี้หยก และรีบออกเดินทาง
เมื่อเห็นว่านายหญิงของตนกำลังจะออกไปไหนสักแห่ง เสี่ยวเสวียนที่เพิ่งเตรียมอาหารเสร็จ ก็รีบเข้ามาขวางเอาไว้ “คุณหนู เมื่อคืนท่านไม่ได้กินอะไรเลย อาหารเช้าก็ยังไม่ตกถึงท้อง อย่างน้อยควรจะรับมื้อเที่ยงก่อนออกเดินทางนะเ้าคะ”
แต่หนีเจียเอ๋อร์นั่งไม่ติดที่แล้ว จึงบอกปัดไปว่า “ข้าไม่หิว!”
เสี่ยวเสวียนก้าวไปขวางเ้านายอย่างดื้อรั้น “คุณหนู ข้ารู้ว่าท่านร้อนใจอยากรีบไปช่วยคุณชายโจว แต่หากท่านล้มป่วยไปอีกคน แล้วใครจะไปช่วยเขา นอกจากนี้ ไม่ว่าอย่างไรคนเราก็ต้องกินอาหาร เพื่อให้ยืนหยัดต่อไปได้ ปล่อยให้ตัวเองท้องว่างเช่นนี้ คุณหนูจะไปช่วยใครได้หรือเ้าคะ?”
หนีเจียเอ๋อร์จึงไม่อาจทำอันใดได้ จำต้องกลับไปรับประทานอาหาร แล้วค่อยพาเสี่ยวเสวียนติดตามไปด้วย
ทั้งสองไปที่จวนสกุลโจว เพื่อสอบถามพ่อบ้านนามสือหวู่ เกี่ยวกับเื่ของโจวชิงหวา
จากนั้น จึงลอบเข้าไปในจวนของขุนนางต้าหลี ก่อนเริ่มตรวจสอบข้อมูลคดีวางยาพิษองค์รัชทายาท รวมไปถึงบันทึกการสอบปากคำพยาน
แต่โชคร้าย ที่พยานสามสิบสองปากที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ในครั้งนั้น ไม่มีผู้ใดน่าสงสัยแม้แต่น้อย ทั้งยังไม่มีหลักฐานบ่งชี้ ว่าพวกเขาเป็คนลงมือหรือไม่
แม้โอกาสจะมาถึงมือแล้ว แต่ทุกอย่างกลับวนไปอยู่ที่เดิม...
ตอนออกมาจากจวนขุนนาง หนีเจียเอ๋อร์ก็มองไปยังท้องฟ้า ซึ่งปกคลุมไปด้วยเมฆครึ้มอย่างกังวล
เสี่ยวเสวียนมองเ้านายที่ซูบผอมลง ด้วยความทุกข์ใจ “คุณหนู แม้ท่านจะช่วยในเื่ใหญ่เช่นนี้มิได้ แต่ก็พยายามอย่างเต็มที่แล้วนะเ้าคะ ยังมีคุณชายใหญ่อีกคน เขาฉลาดหลักแหลม ทั้งยังเป็ถึงผู้ติดตามขององค์ชาย ต้องช่วยคุณชายโจวได้แน่!”
หนีเจียเอ๋อร์ขมวดคิ้ว “พี่ชายข้าเป็คนสนิทขององค์ชาย ซึ่งมีโอกาสใกล้ชิดกับพระองค์มากกว่าผู้อื่น ฝ่าาย่อมสงสัยเขาเช่นกัน ตอนนี้ท่านพี่จึงถูกกักบริเวณอยู่ในห้อง ทำอะไรไม่ได้แล้ว”
เมื่อเสี่ยวเสวียนได้ยินว่านายน้อยก็ตกเป็ผู้ต้องสงสัยเช่นกัน ใบหน้าก็ยับย่นด้วยความจนใจ ได้แต่พูดเสียงขื่น “นี่มิเท่ากับว่า เราหมดหนทางจะช่วยคุณชายโจวได้แล้วหรือเ้าคะ?”
หนีเจียเอ๋อร์มองช่องว่างระหว่างเมฆดำสองก้อนบนท้องฟ้า ด้วยสายตาแน่วแน่ “ข้าจะค้นหาผู้ร้ายตัวจริง และช่วยเขาออกมาให้ได้!”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้