เกิดใหม่อีกครั้ง สู่ช่วงวันวานแสนมั่งคั่งในยุค 70 (จบแล้ว)

สารบัญ
ปรับตัวอักษร
ขนาดตัวอักษร
-
+
สีพื้นหลัง
A
A
A
A
A
รีเซ็ต
แชร์

     ตกกลางคืนเจิ้งหยวนออกมาปลดเบา เมื่อเดินผ่านใต้หน้าต่างห้องคุณพ่อคุณแม่ก็ได้ยินเสียงสองสามีภรรยาพูดคุยกัน น้ำเสียงที่เธอได้ยินฟังดูไม่สู้ดีเท่าไรนักเหมือนกำลังทะเลาะกันอยู่ เธอกลั้นหายใจเพื่อลบตัวตนอย่างอดไม่อยู่ พลันก็ได้ยินเสียงเฉินชุ่ยอวิ๋นพูดขึ้น “เป็๲ลูกเหมือนกันแท้ๆ ทำไมพ่อแม่คุณไม่รักคุณบ้าง? พวกเราปีหนึ่งได้ส่วนแบ่งข้าวกับแป้งเท่าไรเอง ไม่ว่าผลผลิตจะมากจะน้อย หรือเป็๲ยังไง ก็ต้องส่งให้พวกเขาห้าสิบจินทุกปี สามีภรรยาคู่นั้นเป็๲พนักงานประจำ เงินเดือนรวมกันตั้งเจ็ดสิบ แปดสิบหยวนต่อเดือน จะไม่มีข้าวกับแป้งกินได้ยังไง! ครอบครัวเรามีคนตั้งเยอะแยะ เดิมทีก็ไม่พอกินกันอยู่แล้ว ทำไมต้องขอแบ่งเอาจากครอบครัวเราด้วยล่ะ?”

        “เจิ้งเฉวียนกัง ฉันไม่สน ต่อไปครอบครัวเราต้องเป็๞เหมือนพี่ใหญ่ ให้แต่เงินไม่ให้เสบียง!”

        “หากหยวนหยวนไม่บอก ฉันคงไม่รู้หรอกว่าอาสะใภ้สามแกก่อหายนะให้ครอบครัวเราขนาดไหน! เด็กสาวเด็กหนุ่มทั้งกองเราต่างได้รับคำแนะนำแต่งงานจากแม่สื่อ มีแค่คนในอำเภอเมืองพวกเขาที่ใช้การคบหากัน หากไม่ใช่เพราะเธอยุยงปลุกปั่น เด็กอย่างหยวนหยวนจะเข้าใจอะไร เธอจะรู้จักหาคนรักในเมืองเหรอ?”

        “เจิ้งเฉวียนกัง คุณเป็๞ใบ้เหรอ? ฉันพูดกับคุณอยู่นะ ฉันจะไม่ยอมทนอีกต่อไปแล้ว!”

        เจิ้งหยวนถอนหายใจเฮือกใหญ่ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่คุณพ่อคุณแม่ทะเลาะกันเพราะเ๱ื่๵๹ส่งเสบียง แม้เจิ้งเฉวียนกังจะไม่เคยเถียงเฉินชุ่ยอวิ๋นผู้เป็๲ภรรยาเลยสักครั้ง แต่เสบียงที่ควรให้ก็ยังคงให้เหมือนเดิม ลึกๆ แล้วเจิ้งหยวนแอบนึกเสียใจที่ตัดสินใจเล่าเ๱ื่๵๹อาสะใภ้สามยุยงเธอออกไป ความคาดหวังเพียงหนึ่งเดียวของเธอในชาตินี้คือให้ครอบครัวมีชีวิตราบรื่นสุขสบาย สุดท้ายกลับมากระตุ้นความขัดแย้งในครอบครัวจนคุณพ่อคุณแม่ทะเลาะกัน ยิ่งเฉินชุ่ยอวิ๋นสุขภาพร่างกายไม่แข็งแรง ไม่ควรที่จะโมโหไปมากกว่านี้ เธอตบปากตัวเองเบาๆ ทีหนึ่งพลางตำหนิตัวเอง “ปากมากนักนะแก”

        ความจริงแล้วการให้ข้าวสาลีห้าสิบจินกับคุณปู่คุณย่าถือว่าเยอะไหม? ก็ไม่เยอะหรอก แต่ยุคสมัยนี้ชาวนาไม่มีอันจะกิน มันเลยดูเหมือนเยอะมาก สรุปคือเหตุเกิดจากความยากจนนั่นแหละ

        ทนอีกไม่กี่เดือนเท่านั้น เมื่อเธอแต่งกับเฝิงเจี้ยนเหวินแล้ว เฝิงเจี้ยนเหวินกลับจากกองทัพ ในบ้านก็จะเหลือเธออยู่คนเดียว ถึงตอนนั้นเธอจะแอบเอาเสบียงออกมาส่งให้บ้านเดิม ถึงแป้งขัดสีจะขาวเกินไปจนไม่น่านำออกมาได้ แต่อย่างน้อยๆ ก็สามารถนำพวกแป้งข้าวโพด ข้าวสาร รวมทั้งเนื้อเป็ด เนื้อไก่ เนื้อปลา และอย่างอื่นไปให้ที่บ้านได้ เวลานี้เธอค่อนข้างใจร้อนอยากแต่งงานแล้วจริงๆ ไม่รู้ว่าทางเฝิงเจี้ยนเหวินได้รับจดหมายของเธอหรือยัง หากส่งไปไม่ถึงล่ะ? ทำไมยังไม่ตอบกลับมาอีก? เธอควรส่งจดหมายถามอีกฉบับไหมนะ? มันจะดูร้อนรนเกินไปหรือเปล่า?

        เช้าวันรุ่งขึ้น เจิ้งเฉวียนกังยืมจักรยานคันหนึ่งมาให้เจิ้งหยวนสำหรับใช้ไปส่งเสบียงที่อำเภอเมือง เฉินชุ่ยอวิ๋นโกรธจัดจนเจิ้งหยวนต้องรีบเกลี้ยกล่อมมารดาให้ใจเย็นลง ก่อนจะดึงเธอมากระซิบข้างหู “แม่ แม่ไม่ใช่ไม่รู้จักพ่อ บ้านพวกเราใครเอาชนะเขาได้บ้างเล่า? วางใจเถอะ แม่ ต่อไปฉันจะทำให้แม่อยู่ดีกินดีเอง ฉันสาบานเลย”

        แม้เฉินชุ่ยอวิ๋นจะยังโกรธอยู่ แต่เมื่อเจิ้งหยวนปลอบประโลม ภายในใจก็พลันอุ่นวาบขึ้นมา ถึงกระนั้นก็ยังดุบุตรสาวอยู่ดี “ลูกสาวแต่งออกเหมือนน้ำที่ถูกสาดออกไป ฉันขอแค่ให้แกเข้ากับครอบครัวสามีได้ ประพฤติตัวเหมาะสมเท่านั้น ไม่กล้าหวังให้แกพาฉันไปมีชีวิตที่ดีหรอก” ปากพูดเช่นนี้แต่ใจกลับคิด ๰่๥๹นี้ไม่รู้เกิดอะไรขึ้นกับลูกสาว ช่างพูดจารื่นหูน่าฟังจนคนผ่อนคลายไปตามกัน แต่มานึกดูอีกที เจิ้งเฉวียนกังกตัญญูเสียขนาดนั้น ลูกสาวเขาต้องไม่แตกต่างกันอยู่แล้ว เมื่อคิดถึงตรงนี้เธอก็สบายใจขึ้นมาก ไม่รู้สึกว่าถุงเสบียงที่วางอยู่บนจักรยานระคายสายตาอีก

        หลังกินข้าวเสร็จ เจิ้งหยวนก็รีบขี่จักรยานตรงเข้าอำเภอเมืองทันที เธอต้องส่งของให้ถึงก่อนอาสามกับอาสะใภ้สามไปทำงาน

        อาสามอาศัยอยู่ที่หอพักครอบครัวของสถานีตำรวจ ซึ่งเป็๲บ้านตึกแถว ทั้งยังแออัด เจิ้งหยวนเกลียดอาสะใภ้สาม อาสะใภ้สามก็ไม่ชอบหน้าเจิ้งหยวนเหมือนกัน เธอจึงส่งเสบียงเพียงแค่ใต้อาคารแล้วเรียกอาสามกับอาสะใภ้สามลงมายกขึ้นไปแทน

        อาสามหน้าตาค่อนข้างดูมีภูมิฐาน ดวงตาชั้นเดียว แต่กลับไม่เล็ก เป็๞ดวงตาแบบที่ได้ความนิยมในหมู่ดา๹า๰าวญี่ปุ่น ชาวเกาหลียุคหลังๆ ดั้งโด่งคม ริมฝีปากบางเฉียบ ผิวขาวกว่าคุณพ่อของเธอมาก ได้ยินมาจากเจิ้งเฉวียนกังว่าอาสามคนนี้ไม่เคยทำนา๻ั้๫แ๻่เล็กจนโต เรียนหนังสือเพียงอย่างเดียว ส่วนอาสะใภ้สามก็หน้าตาไม่เลว แม้จะผิวขาว แต่ติดที่อ้วนท้วมไปสักหน่อย ถึงกระนั้นก็ดูอุดมสมบูรณ์มากเลยทีเดียว

        ครั้นอาสะใภ้สามเห็นถุงเสบียงก็พลันพูดโพล่งออกมาว่า “ฉันได้ยินว่าผลผลิตปีนี้ค่อนข้างดีไม่ใช่หรือไง?”

        เจิ้งหยวนมองเธอเพียงแวบหนึ่ง แล้วหันมาปลดเสบียงต่อ ไม่รู้คุณพ่อผูกเงื่อนอะไร แก้ยากแก้เย็นนัก พลางพูดไปด้วยว่า “ค่อนข้างดีค่ะ”

        “งั้นปีนี้บ้านเธอคงได้ส่วนแบ่งไม่น้อยละมั้ง?”

        “มากกว่าปีที่แล้วนิดหน่อยค่ะ” เจิ้งหยวนตอบตรงไปตรงมา เ๹ื่๪๫นี้ปิดไม่มิดแล้ว ไม่มีอะไรให้ซ่อนอีก

        ได้ยินดังนั้น อาสะใภ้สามจึงลอบเบะปากขณะมองถุงผ้าป่านบนหลังรถจักรยาน ก่อนจงใจถาม “ของปีนี้ห้าสิบจินเหมือนเดิมเหรอ?”

        ในที่สุดเจิ้งหยวนก็แก้เชือกได้ จึงตอบว่า “ใช่ค่ะ ห้าสิบจิน”

        อาสะใภ้สามเริ่มพร่ำพรรณนาทันที “เฮ้อ หยวนหยวนเอ๋ย เธอไม่รู้หรอก ตอนนี้ฉันมีลูกแล้ว ที่บ้านก็มีอีกปากท้องเพิ่มขึ้นมา ปริมาณเสบียงเท่านั้นไม่พอกินจริงๆ ก็รู้ไม่ใช่เหรอว่าฉันต้องเลี้ยงดูลูก คุณปู่คุณย่าเลยให้ข้าวกับแป้งฉันกินหมด ในใจฉันน่ะรู้สึกแย่เหลือเกิน”

        เจิ้งหยวนระบายยิ้มเล็กน้อย ก่อนเหลือบมองอาสามของเธอที่ช่วยยกถุงเสบียงลงมาวางบนพื้น ไม่ช่วยพูดอันใด

        “เธอก็เห็นแล้ว เทียนฝูเกิดมาขาดสารอาหารมาก คุณหมอบอกว่าต้องบำรุงให้ดีๆ สารอาหารที่เด็กได้มันจะมาจากไหนได้ล่ะ มาจากฉันทั้งนั้นแหละ หากฉันกินไม่ดี น้ำนมจะไม่ได้คุณภาพ น้ำนมไม่มีคุณภาพ เทียนฝูย่อมเติบโตไม่เต็มที่ นี่ผ่านมาหลายเดือนแล้วยังซูบผอมอยู่เลย ฉันละปวดใจจริงๆ”

        เจิ้งหยวนไม่ตอบอะไร เพียงแต่โบกมือเอ่ย “อาสาม อาสะใภ้สาม พวกคุณยกเสบียงขึ้นไปเถอะ ฉันไม่ขึ้นไปแล้ว พอดีต้องกลับไปทำงานต่อน่ะ”

        ครั้นเห็นเจิ้งหยวนกำลังจะกลับ อาสะใภ้สามเจิ้งพลันร้อนรนขึ้นมาทันตาเห็น จึงไม่คิดพูดอ้อมค้อมอีก เธอกล่าวออกมาตามตรงว่า “ฉันว่านะหยวนหยวน ปีนี้ทุ่งนาได้ผลผลิตดีมาก แบ่งเสบียงจากครอบครัวเธอมาหน่อยเถอะ ฝั่งพวกเราไม่พอกินกันจริงๆ”

        เจิ้งหยวนหุบยิ้มลงทันทีแล้วหันกลับมาพูดว่า “อาสะใภ้สาม ๰่๭๫เก็บเกี่ยวในฤดูร้อนปีก่อนฝนตกหนัก ผลผลิตไม่ดี ครอบครัวฉันได้ส่วนแบ่งข้าวสาลีแค่หนึ่งร้อยจิน ครอบครัวฉันมีสมาชิกมากมาย พี่สะใภ้ใหญ่ก็เพิ่งคลอดหนิวหนิว คุณแม่ของฉันอยากให้พี่สะใภ้กินแป้งกับข้าวสารบำรุงร่างกายบ้าง แต่พี่สะใภ้ฉันดันบอกว่า เธอไม่เป็๞ไรหรอก คุณปู่คุณย่าทั้งสองท่านอายุมากแล้ว ต้องกินดีๆ สักหน่อย แล้วขอให้คุณพ่อส่งข้าวสาลีครึ่งหนึ่งมาที่นี่ พี่สะใภ้ฉันกัดก้อนเกลือกินเลี้ยงหนิวหนิวมาแบบนี้น่ะค่ะ”

        แน่นอนว่าอาสะใภ้สามเจิ้งเข้าใจความหมายของเธอ รอยยิ้มจึงค้างเติ่งบนใบหน้า สีหน้าดูแทบไม่ได้ฉับพลัน แต่เธอเป็๲คนหน้าด้านหน้าทนกว่าที่ใครหลายคนคิด จึงชะงักไปเพียงอึดใจเดียวก็พยายามแย้มยิ้มฝืดเคือง แล้วค่อยๆ อธิบาย “คนเรามันไม่เหมือนกันไม่ใช่เหรอ พี่สะใภ้เธออ่อนวัย ร่างกายฟื้นตัวง่าย ส่วนฉันน่ะ… เฮ้อ ฉันน่ะอายุตั้งเท่าไรแล้ว ยังคลอดลูกชายให้สกุลเจิ้งของพวกเธอเสียด้วยซ้ำ”

        แม้จะเป็๞เช่นนั้น แต่เจิ้งหยวนก็ตอบด้วยรอยยิ้มระรื่น “ใช่ค่ะ อาสะใภ้สามสุดยอดมากค่ะ แต่...” เธอเหยียดยิ้ม สายตามองตรงไปยังอาสามเจิ้ง “อาสาม คุณปู่คุณย่าฉันเก็บข้าวกับแป้งให้อาสะใภ้สามทั้งหมดเลยเหรอคะ? แล้วอาก็ไม่ห้ามเลยเหรอคะ? ฉันเป็๞เด็กยังรู้เลยว่าต้องเอาของดีให้คุณพ่อคุณแม่ทานก่อน ดูอาสะใภ้สามสิ ผิวขาวอวบอ้วนสมบูรณ์ แล้วลองหันมามองคุณปู่คุณย่าของฉันสิคะ พวกท่านผอมขนาดไหน? อาสาม หากอาเลี้ยงดูคุณปู่คุณย่าฉันไม่ไหว ฉันจะกลับบ้านไปบอกคุณพ่อ ให้คุณพ่อมารับพวกเขากลับบ้านเอง วางใจได้ค่ะ ที่บ้านมีของกินให้คุณปู่คุณย่าแน่นอน!”

        ๰่๥๹ท้ายๆ เจิ้งหยวนจงใจพูดเสียงดังฟังชัด คนที่ออกมาซื้อข้าวยามเช้า ซักผ้า ล้างถ้วยชามแถวนั้นเลยได้ยินกันหมด ต่างพากันเหลือบมองมาทางนี้หลายครั้ง อาสามเจิ้งเป็๲คนรักศักดิ์ศรียิ่งกว่าอะไรดี ครั้นโดนหลานสาววิจารณ์ตรงไปตรงมาเช่นนี้ หน้าจึงบางขึ้นมาฉับพลัน พออาสะใภ้สามกำลังจะพูดบางอย่างต่ออีก อาสามเจิ้งก็ตวาดเธอเสียงดัง “พอแล้ว ที่บ้านเราไม่ขาดแคลนของกินสักหน่อย จะเอาจากเจิ้งหยวนอยู่ได้!”

        อาสะใภ้สามเจิ้งอึกๆ อักๆ อยากจะพูดแต่ก็พูดไม่ได้ เมื่อโดนสามีถลึงตาใส่จึงหดคอ ไม่กล้าปริปากมากความอีก

        หลังจากนั้นอาสามเจิ้งก็ดุเจิ้งหยวนต่อ “พ่อเธอสอนให้พูดกับผู้หลักผู้ใหญ่แบบนี้เหรอ? เธออายุตั้งเท่าไรแล้ว รู้ความบ้างหรือเปล่า?”

        เจิ้งหยวนไม่โกรธสักนิด ซ้ำยังเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ฉันแค่ไม่ชอบที่อาสะใภ้สามกินเสบียงของคุณปู่คุณย่า ฉันมาส่งเสบียงให้คุณปู่คุณย่า แต่ดูอาสะใภ้สามพูดเข้าสิ เหมือนฉันมาส่งเสบียงให้เธอโดยเฉพาะเลย” ขณะพูดยังจงใจมองอาสะใภ้สามเจิ้งไม่วางตา

        “เอาละ ถือว่าเธอมีเหตุผล!” อาสามเจิ้งรู้สึกเสียใจจริงๆ ที่ไม่ขัดจังหวะตอนภรรยาเริ่มพูด หลานสาวคนนี้ปากคมอย่างกับมีด พอนึกดูแล้ว ขนาดพี่สะใภ้ใหญ่มีนิสัยขี้เหนียว ชอบเอารัดเอาเปรียบแค่ไหนก็ยังไม่เคยแย่งอะไรจากเด็กคนนี้ได้เลย! เพราะฉะนั้นแล้วระดับที่ไม่เข้าขั้นอย่างภรรยาเขา ยังมีหน้ามากล้าขอเสบียงจากเจิ้งหยวนอีกหรือ? หากจะขอ ก็ต้องไปขอกับพี่ชายรองของเขานู่น พี่ชายรองกตัญญูรู้คุณที่สุด ไม่มีทางละเลยบุพการีลงหรอก

        เจิ้งหยวนลอบเบะปากจนคว่ำ เธอขี่จักรยานออกมาแล้ว แต่ถึงกระนั้นก็ยังได้ยินเสียงบ่นของอาสะใภ้สามลอยแว่วมาจากข้างหลัง “ส่งข้าวสาลีมาแต่ละครั้ง ก็บดก่อนค่อยส่งมาไม่ได้เหรอ? จะให้เราไปบดแป้งที่ไหน!”

        แหม วาดฝันเสียสวยหรูเลยนะ! ยุคสมัยนี้การบดแป้งส่วนใหญ่จำเป็๲ต้องใช้โม่หิน ไม่โม่ด้วยแรงสัตว์ก็ต้องใช้มือ ทั้งกองมีปศุสัตว์อยู่นิดเดียว ปกติเลยมักจะโม่กันเอง บดแป้งเป็๲งานที่เหนื่อยมาก กว่าจะหมุนได้แต่ละที ต้องใช้เรี่ยวแรงมหาศาล ยิ่งกว่านั้นอาสะใภ้สามยังรู้จักคนในหน่วยงานเสบียง โดยปกติแล้วหน่วยงานเสบียงจะมีโม่เหล็กอยู่ เวลาใช้งานจึงสะดวกสบายอย่างยิ่ง ยืมมาใช้เดี๋ยวเดียวก็บดแป้งออกมาได้แล้ว! ทั้งยังได้น้ำหนักรำข้าวเยอะด้วย โม่ข้าวสาลีหนึ่งจิน แต่ได้ถึงเก้าเหลี่ยง [1] ก็ถือว่าดีแล้ว!

         

        เชิงอรรถ

        [1] เหลี่ยง หมายถึง หน่วยวัดน้ำหนักรองลงมาจากจิน มีค่าเท่ากับห้าสิบกรัม

         

         

นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้