เฉินปั๋วยกยิ้มมุมปาก จ้าวผูโบกมือสั่งให้คนรับใช้ยกถาดที่คลุมด้วยผ้าไหมสีแดงออกมา ทันทีที่จ้าวผูเปิดมันออก ม้วนกระดาษที่มีลายลักษณ์อักษรข้างในก็ปรากฏแก่สายตาหลายคู่ “อย่างที่ทุกท่านทราบกันดี ยามนี้ทางราชสำนักให้ความสำคัญกับวรรณกรรม ได้ก่อตั้งสำนักศึกษาหลวง [1] และเปิดรับบัณฑิตทั้งหมดสามพันคน บ้านเมืองทุกวันนี้เต็มไปด้วยผู้คนยากไร้ ฝ่าาทรงมีพระประสงค์แบ่งแยกราชวงศ์เว่ยจิ้นให้ชัดเจน จึงก่อตั้งสำนักศึกษากลาง [2] ั้แ่่แรกของการขึ้นครองบัลลังก์ เปิดรับบัณฑิตที่สำเร็จการศึกษาจากสำนักศึกษาหลวงชั้นห้าขึ้นไปเข้าศึกษา วันนี้ท่านราชครูจึงเมตตา มอบหมายให้ข้าคัดเลือกบัณฑิตหนึ่งคนจากเขตของตนให้เข้าศึกษาในสำนักศึกษากลาง วันนี้บัณฑิตทั้งหลายมากันพร้อมหน้า นี่ถือเป็โอกาสที่เหมาะสมแล้วมิใช่หรือ?”
ทุกคนต่างตื่นใ ยกเว้นหลิวเปียวที่ยังคงนั่งหน้าเชิดหยิ่งผยอง ไม่มีท่าทีแปลกใจเลยสักนิด
นับั้แ่สิ้นสุดราชวงศ์ฮั่น การคัดเลือกขุนนางก็ถูกแบ่งออกเป็สองแนวทาง หนึ่งคือระบบฉาจวี่ ซึ่งเป็วิธีการคัดเลือกขุนนางที่สืบทอดมาจากยุคราชวงศ์ฮั่นตะวันตกและฮั่นตะวันออก โดยขุนนางแต่ละท้องถิ่นจะแนะนำหรือเสนอชื่อผู้มีคุณสมบัติตามเกณฑ์ให้ทางราชสำนักเพื่อทำการคัดเลือกต่อไป และขุนนางท้องถิ่นสามารถเลื่อนขั้นได้ด้วยวิธีการนี้
สองคือระบบขุนนางเก้าขั้น [3] ซึ่งเป็วิธีการคัดเลือกแบบใหม่ โดยมีใต้เท้าผู้ตรวจการของแต่ละเขตปกครองทำหน้าที่คัดเลือก ซึ่งมักจะคัดเลือกจากชื่อเสียงและฐานะของตระกูล ส่วนใหญ่จึงเป็ลูกหลานตระกูลใหญ่ มีชื่อเสียงและฐานะมั่งคั่ง
นอกจากนี้การอาศัยอำนาจของบิดาหรือพี่ชาย อาศัยบุญคุณ อาศัยความเป็ศิษย์ร่วมสถาบัน และการเข้าศึกษาในสำนักศึกษาหลวงล้วนอยู่ในระบบขุนนางเก้าขั้น เมื่อตำแหน่งราชการถูกสงวนไว้สำหรับตระกูลชนชั้นสูง ขุนนางส่วนใหญ่จึงกลายเป็เพียงผู้มีหน้าที่ แต่ไม่มีความรับผิดชอบ เป็เหตุให้ระบบขุนนางเก้าขั้นถูกเรียกว่าระบบอุปถัมภ์
แต่ถึงอย่างไรตระกูลใหญ่จากชนบทก็ไม่อาจเทียบชั้นกับตระกูลหร่วน จี๋ หวน เจิ้ง และตระกูลใหญ่อื่นๆ ในเมืองหลวงได้ มีตระกูลขุนนางขั้นสูงในเมืองหลวงไม่กี่ตระกูลที่สามารถส่งต่อตำแหน่งขุนนางให้ลูกหลานได้ ส่วนใหญ่จะเข้ารับตำแหน่งผ่านระบบฉาจวี่ ซึ่งจะคัดเลือกขุนนางจากความกตัญญูและซื่อสัตย์
ในบรรดาระบบอุปถัมภ์ การเป็บัณฑิตในสำนักศึกษาหลวงเป็สิ่งที่มี เกียรติที่สุด อีกทั้งยามนี้สำนักศึกษาหลวงเปิดสำนักแยกเป็สำนักศึกษากลาง ยิ่งเป็หนทางเข้ารับตำแหน่งขุนนางที่โปร่งใสที่สุด แม้แต่ลูกหลานของหร่วนไท่ฟู่ก็ศึกษาอยู่ที่นั่น
ฉะนั้นผู้ใดที่ได้รับเลือกในวันนี้ ก็จะได้เป็สหายร่วมสำนักศึกษากับหวังผิงและหร่วนหุย ไม่แน่ว่าจะได้มีหน้ามีตาในสังคมและยกระดับฐานะทางบ้านให้สูงขึ้น
พอได้ยินจ้าวผูพูดเช่นนี้ ทุกคนจึงตกตะลึงรีบวางจอกวางตะเกียบ แล้วโน้มตัวไปข้างหน้าเพื่อมองกระดาษที่อยู่ในถาดตาเป็ประกาย
ิหยวนกับิเยี่ยก็เช่นกัน ทว่าด้านิเยี่ยนั้นส่งสายตาให้สาวใช้ ไม่ใช่ม้วนกระดาษ จึงถูกคนข้างๆ ยกศอกกระแทก
“มองอะไร?”
“ไม่ลองสักหน่อยหรือ?”
“ข้า? ดูสายตาเหมือนเสือหิวจ้องตะครุบเหยื่อพวกนั้นสิ ข้าเป็หนุ่มเ้าสำราญที่ไม่เก่งทั้งบุ๋นทั้งบู๊ ดีหน่อยก็แค่ท่องพุทธปรัชญาได้ไม่กี่ประโยค ข้าจะเอาอะไรไปสู้? ปล่อยให้ข้าเป็แค่คุณชายเ้าสำราญต่อไปไม่ดีกว่าหรือ?” ิเยี่ยยืนยันหนักแน่น เพราะเขาค่อนข้างรู้ตัวเองดี
ิหยวนกลอกตาพลางคิดในใจ “เ้าแค่ี้เี”
“อะแฮ่ม” ิหลานปลายตามองพวกเขาจากระยะไกล แสร้งทำเป็ปิดปากไอ
ทั้งสองคนจึงสงบปากสงบคำ
ทว่าใครบางคนกลับไม่มีท่าทีตื่นเต้นใ เป็ญาติผู้น้องหลิวเปียวของิเยี่ยนั่นเอง ซึ่งบังเอิญนั่งตรงข้ามกันอยู่ก่อนหน้าแล้ว แถมยังเอ่ยถามเสียงดัง “ท่านพี่ิล้อเล่นแล้ว แต่ท่าทางท่านดูเหมือนมั่นใจว่าตนจะต้องคว้าชัยชนะได้เป็แน่มิใช่หรือ?”
จบประโยคนั้น ทุกคนในที่นั้นต่างหันมองพวกเขาเป็ตาเดียว ิเยี่ยใบหน้าแข็งทื่อ หยัดกายขึ้นคารวะคนนั่งหัวโต๊ะ “ผู้น้อยยังเด็ก ไม่กล้าหวังสูงขอรับ”
จ้าวผูเอ่ยยิ้มๆ “ไม่เห็นเป็ไร ความมุ่งมั่นไม่ได้ขึ้นอยู่กับอายุ วันนี้ลูกหลานหลายตระกูลมารวมตัวกันที่นี่ ขอเพียงเป็ผู้ที่ยังไม่มีตำแหน่งราชการ ล้วนเข้าร่วมได้”
“ท่านผู้มีเกียรติทุกท่าน คุณชายิมาจากตระกูลบัณฑิต ความสามารถในสำนักศึกษาก็โดดเด่น ข้าเชื่อว่าวันนี้เขาจะต้องทำให้ทุกท่านประหลาดใจได้แน่นอน”
“เช่นนั้นยิ่งดี” จ้าวผูลูบเคราพลางพยักหน้า “เช่นนั้นข้าเริ่มถามเลยก็แล้วกัน ผู้ใด้าตอบให้ลุกขึ้นยืนแล้วตอบได้เลย ไม่มีการเจาะจงว่าให้ผู้ใดตอบก่อนหลัง ‘บัณฑิตผู้หนึ่งตื่นขึ้นกลางสวน เริ่มกวาดมองสรรพสิ่งรอบกาย คนหนุ่มทั้งหลายลองสำรวจสิ่งที่อยู่รอบกายพวกท่านดูเถิด เห็นสิ่งใดบ้าง?’”
งานเลี้ยงในสวนยามฤดูใบไม้ผลิอันแสนสดใส มวลบุปผาบานสะพรั่ง กลีบใบร่วงโรยสวยสดเกินบรรยาย เด็กหนุ่มสวมชุดหรูหราลุกขึ้นทันใด “รอบกายรายล้อมด้วยดอกท้อ ต้นหลิว ทัศนียภาพอันงดงาม แสงแดดอันสดใสยามวสันตฤดู”
ชายหนุ่มอีกคนโต้ตอบ “หาได้เป็เช่นนั้นไม่ บุปผาวสันต์สารทก็คือธรรมเนียมประเพณี ยามนี้รอบตัวรายล้อมด้วยบัณฑิตผู้สง่างามมากความสามารถ โดดเด่นเหมือนมีแสงเปล่งประกายรอบตัว”
ิหยวนรู้จักคนผู้นี้ เขาคือบุตรชายคนเล็กของตระกูลสวี่สายรอง
ส่วนอีกคนไม่ลุกขึ้นตอบ ปล่อยผมยาวสลวย “จอกหนึ่งใบ สุราหนึ่งกา กวีหนึ่งบท ภาพวาดหนึ่งภาพ”
ิเยี่ยหันไปกระซิบกับิหยวน “คนผู้นี้ คือคนสกุลกู่ เป็ญาติกับตระกูลหลิว ขึ้นชื่อเื่รักอิสระเสรี ไม่ยึดถือกฎระเบียบประเพณี วันๆ เอาแต่เปลื้องผ้าร่ำสุราอยู่ในจวน”
ิหยวนพยักหน้าพลางบันทึกลงสมอง เขาไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใดลูกหลานตระกูลผู้ดีถึงชอบประพฤติตัวเช่นนี้ ไม่สนใจโลก ทำตัวลึกลับน่าค้นหา รักอิสระ ชอบทำอะไรตามใจตน กล้าเป็ตัวของตัวเองโดยไม่กลัวว่าผู้อื่นจะมองอย่างไร เช่น คนสกุลเซี่ยผู้หนึ่งติดสุราอย่างหนัก วันๆ ดื่มจนเมาหัวราน้ำ แล้วเดินโซเซไปตามถนน
อีกคนสกุลหวัง ชอบเลี้ยงไก่ในป่าไผ่ เก็บตัวอยู่ในป่าไผ่ไม่ออกมาพบปะผู้ใด ภาวนาให้ชาติหน้าได้เกิดเป็ขลุ่ย
“ท่านผู้มีเกียรติทุกท่าน” หลิวเปียวนั่งตัวตรง ปกติเขาจะแสดงท่าทางหยาบคาย หยิ่งยโส แต่วันนี้กลับแต่งกายสุภาพ ประพฤติตัวเรียบร้อย คนที่รู้จักกันดีย่อมรู้สึกแปลก พวกิเยี่ยจึงจับตาดูเขาไม่วางตา อยากรู้ว่าอีกฝ่ายคิดจะทำสิ่งใด
“ความเห็นของศิษย์คือไม่มีสิ่งใดอยู่รอบกาย” หลิวเปียวเอ่ยอย่างมั่นใจราวกับเตรียมการมาเป็อย่างดี “ทุกสิ่งในใต้หล้าล้วนเป็เท็จ”
คำพูดพวกนี้ไม่ควรออกมาจากปากคนพาลผู้นั้น ิเยี่ยและิหยวนหันมองหน้ากันโดยมิได้นัดหมาย “ไม่ใช่ว่าเขาจำคำตอบมาล่วงหน้าหรอกหรือ?”
ิเยี่ยพยักหน้าเห็นด้วย ใต้เท้าจ้าวมาจากตระกูลเก่าแก่ที่มีมาั้แ่สมัยสามแคว้น ย่อมต้องชื่นชอบคนตระกูลหลิวเป็ธรรมดา บางทีเขาอาจเลือกผู้ชนะไว้แล้วั้แ่แรก การประลองปัญญาในวันนี้เป็เพียงแค่การแสดง
ยิ่งเห็นจ้าวผูลูบเคราพลางยกยิ้ม ิเยี่ยก็ยิ่งนึกถึงสิ่งที่หลิวเปียวทำกับปี้อวี้ ไม่อาจปล่อยให้คนผู้นั้นสมปรารถนา จึงเอ่ยถามทันที “เช่นนั้นขอถามญาติผู้น้องว่าสิ่งใดคือเท็จ สิ่งใดคือจริง สิ่งใดคือความว่าง สิ่งใดคือความมี? หากกล่าวว่าสรรพสิ่งในใต้หล้าล้วนเป็เท็จ เช่นนั้นญาติผู้น้องก็หมายความว่า ความซื่อสัตย์ไม่มีอยู่จริง กตัญญูไม่มีอยู่จริง บ้านเมืองสงบสุขไม่มีอยู่จริง พืชพรรณอุดมสมบูรณ์ก็ไม่มีอยู่จริงเช่นกัน หากสมัยก่อนมีต้นไม้ไร้ประโยชน์อยู่ต้นหนึ่ง โค่นทิ้งไปเสียไม่ดีกว่าหรือ?”
หลิวเปียวอ้ำอึ้ง ใบหน้าเริ่มแดงก่ำ พยายามคิดหาคำตอบอยู่นาน “แล้วจะเก็บต้นไม้นั่นไว้ทำไมเล่า โค่นทิ้งไปเสียก็สิ้นเื่ ข้ามีเรี่ยวแรงเหลือเฟือ”
ิหยวนเกือบะเิเสียงหัวเราะ ไม่ลืมแอบยกนิ้วให้ิเยี่ยที่รู้จักเรียนรู้แล้วนำไปใช้
ท่าทีของผู้ใหญ่ในงานเลี้ยงนั้นแตกต่างกัน ประมุขตระกูลหลิวอย่างหลิวเว่ยเริ่มหน้าเสีย ส่วนเฉินปั๋วและจ้าวผูกำลังขมวดคิ้ว ิหลานยังคงทำหน้านิ่ง แต่ก็แอบหันมามองเด็กทั้งสองด้วยสายตาพอใจ
“หืม เด็กหนุ่มผู้นี้เป็ลูกหลานตระกูลใด?”
เฉินปั๋วถามขึ้น ิหลานจึงก้มหัวแล้วตอบทันที “เรียนฝู่จวิน เ้าเด็กไร้สาระคนนี้เป็บุตรชายไม่รักดีของข้าเอง เป็บุตรชายคนที่สาม มีนามสั้นๆ ว่าเยี่ย”
ิเยี่ยลุกขึ้นคำนับแล้วนั่งลงที่เดิม
“สมกับเป็ลูกหลานตระกูลดัง พูดจาฉะฉานมั่นใจ” เฉินปั๋วพยักหน้า “เช่นนั้นข้าถามเ้า เ้าคิดว่าสิ่งใดคือเท็จ สิ่งใดคือจริง สิ่งใดคือความว่าง สิ่งใดคือความมี หากเ้าได้ต้นไม้ไร้ประโยชน์ เ้าจะทำอย่างไรกับมัน?”
เขาเคยตอบคำถามนี้เป็ร้อยครั้งเพื่อแลกกับปลาย่าง!
“เรียนฝู่จวิน ศิษย์ความรู้ตื้นเขิน แต่จะพยายามตอบให้ดีที่สุด ตามความคิดของผู้น้อย จริงเท็จนั้นคือสิ่งเดียวกัน ว่างเปล่าหรือมีอยู่ก็ไม่ต่างกัน หากได้ต้นไม้ใหญ่ไร้ประโยชน์ ก็จะปลูกมันไว้ในที่ดินว่างเปล่า ใช้ร่มเงาของมันเป็ที่พักผ่อนหย่อนใจ ปล่อยให้มันมีอายุยืนยาวตลอดไป”
ิเยี่ยตอบเสียงดังฟังชัดพร้อมขยิบตาให้ิหยวน
และแล้วิหยวนก็ได้เข้าใจความสุขของการเป็อาจารย์
จ้าวผูขมวดคิ้วพลางเอ่ยถาม “อายุยืนยาวตลอดไป? เช่นนั้นเ้ารู้หรือไม่ว่าสิ่งใดคือสัจธรรมของชีวิต สิ่งใดคือสัจธรรมของความตาย?”
งานเข้าแล้ว ิเยี่ยไม่รู้จะรับมืออย่างไร รีบส่งสายตาขอความช่วยเหลือจากคนข้างๆ ทันที
-----------------------------------------------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] สำนักศึกษาหลวง (太学) คือ สำนักศึกษาที่เปิดโอกาสคัดเลือกบัณฑิตทั้งในเมืองหลวงและเมืองอื่นๆ จากพื้นที่ห่างไกลเข้าศึกษา เน้นอบรมสั่งสอนปลูกฝังการเป็ขุนนาง ดูแลกิจการบ้านเมืองเพื่อประชาชน
[2] สำนักศึกษากลาง (国学) คือ สถาบันศึกษาที่ก่อตั้งขึ้นหลังสำนักศึกษาหลวง แบ่งเป็วิชาแขนงต่างๆ ไม่ว่าจะเป็ปรัชญา ประวัติศาสตร์ ศาสนา บทกวี มารยาท ขนบธรรมเนียม จริยธรรม การวิจารณ์วรรณกรรม และศาสตร์อื่นๆ อีกมากมาย ปรับการเรียนการสอนให้เข้ากับลูกหลานชนชั้นสูง สถานะของสำนักศึกษากลางจึงสูงกว่าสำนักศึกษาหลวง แต่อยู่ภายใต้การควบคุมของราชสำนักเหมือนกัน
[3] ขุนนางเก้าขั้น (九品官人法) หมายถึง ตำแหน่งขุนนางมีทั้งหมดเก้าขั้น โดยขุนนางขั้นหนึ่งถือเป็ขั้นสูงสุด และขั้นเก้าคือขั้นที่ต่ำสุด ซึ่งในขั้นหนึ่งถึงสี่จะแบ่งเป็สองระดับย่อย ได้แก่ ระดับพิเศษและระดับปกติ ส่วนขั้นห้าถึงเก้าจะแบ่งเป็สี่ระดับย่อย ได้แก่ ระดับพิเศษบน ระดับพิเศษล่าง ระดับบน และระดับล่าง นอกจากตำแหน่งขุนนางเก้าขั้นแล้วก็ยังมีตำแหน่งขุนนางไม่มีขั้นอีกด้วย
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้