เป่ยเหลียนโม่ดวงตาวาวโรจน์ เขาอุ้มคนในอ้อมกอดลุกขึ้นยืน แม้ไม่เห็นเค้าความวิตกกังวล ทว่าท่าทางเ็านั้นก็เป็ที่ชวนหวาดผวาของผู้อื่น
“ใต้เท้าเหยา อยู่ที่จวนอ๋องหวังเฟยสบายดีทุกอย่าง เหตุใดพอกลับมาที่นี่เพียงครึ่งวันถึงได้กระอักเืเช่นนี้?”
เหยาซื่อเฟิงกัดฟันและคุกเข่าลง กล่าวว่าลูกสาวของเขาผู้นี้เริ่มมีอาการของโรคประหลาดไม่กี่ปีมานี้ เมื่อถึงเวลาหนึ่งจะต้องกินยา มิเช่นนั้นอาการก็จะกำเริบ
“กระหม่อมเสาะหาแพทย์ที่มีชื่อเสียงหลายคนมารักษาก็ยังไม่หาย ทำได้เพียงใช้ยาลูกกลอนนี้ฝืนต่อชีวิตเชียนเชียนออกไป ยาลูกกลอนอยู่นี่พ่ะย่ะค่ะ” เหยาซื่อเฟิงหยิบขวดลายครามขนาดเล็กจากอกเสื้อส่งให้อีกฝ่าย
“ท่านอ๋องโปรดทอดพระเนตร กระหม่อมมิได้มีเจตนาปิดบัง เหล่าบ่าวไพร่ที่ปรนนิบัติในจวนแห่งนี้ล้วนทราบดี แม้ไม่สามารถรักษาที่ต้นเหตุได้ ทว่าก็ไม่ได้ร้ายแรงมากนัก ดังนั้นกระหม่อมจึงมิได้ทูลรายงานพระองค์ ท่านอ๋องโปรดละเว้นโทษด้วย”
เป่ยเหลียนโม่รับขวดยามาไว้ในมือ เขาไม่รู้เช่นกันว่ายาลูกกลอนสีดำทะมึนนี้คือสิ่งใด แต่เมื่อเห็นใบหน้าแดงก่ำของเหยาเชียนเชียนแล้ว เขาจึงตัดสินใจป้อนยาเม็ดหนึ่งและบังคับให้นางกลืนลงไปอย่างคล่องแคล่ว
ถึงอย่างไรก็เป็บุตรสาวของตระกูลเหยา เหยาซื่อเฟิงคงไม่ทำร้ายนางกระมัง
“ท่านอ๋อง ยามนี้น้องหญิงไม่สะดวกเดินทาง มิสู้พักผ่อนที่เรือนเก่าก่อนสักครู่ รอนางฟื้นแล้วค่อยกลับจวนอ๋องดีกว่าเพคะ”
เหยาอวี้เอ๋อร์รีบร้อนลุกขึ้นนำทางให้เขา เป่ยเหลียนโม่รู้สึกเพียงว่าคนในอ้อมกอดตัวร้อนขึ้นทุกที หากนางตายไปในเวลานี้ ต่อไปอำนาจต่อรองกับเป่ยเซวียนเฉิงจะต้องลดน้อยลง
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เขาจึงก้าวยาวๆ ตามเหยาอวี้เอ๋อร์ไป รอให้เหยาเชียนเชียนฟื้นขึ้นมาก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกที
ในอ้อมแขนราวกับอุ้มมันเทศที่ถูกเผาจนสุกเอาไว้ก็ไม่ปาน เป่ยเหลียนโม่กำชับให้ทุกคนรออยู่ข้างนอก ส่วนเขาอุ้มนางเข้าไปในห้องและวางลงบนเตียง ยามนี้สองตาของเหยาเชียนเชียนปิดสนิท มองไม่เห็นท่าทางเ้าเล่ห์เฉกเช่นก่อนหน้านี้แม้แต่น้อย
“นี่มันโรคอะไรกัน” เป่ยเหลียนโม่เอ่ยถามเสียงแ่
องครักษ์เงาในชุดสีดำปรากฏตัวขึ้นมาเมื่อใดไม่อาจทราบ เขารุดหน้าเข้ามาจับชีพจรของหญิงสาวและคุกเข่ารายงานว่า “นายท่าน เป็พิษกู่ [1] ชนิดหนึ่งของซีหนาน มีชื่อว่าพิษจื่อหมู่กู่ [2] พบได้ยากมาก ที่อยู่ในร่างกายของหวังเฟยเป็จื่อกู่ หาก้าถอนพิษมีเพียงต้องกำจัดหมู่กู่ขอรับ”
ตราบใดที่หมู่กู่ยังไม่ตาย เหยาเชียนเชียนก็ต้องถูกจื่อกู่เล่นงานต่อไป อาศัยยาลูกกลอนที่ทำขึ้นมาโดยเฉพาะต่อชีวิตไปเรื่อยๆ
“ผู้ใดวางยานาง” เป่ยเหลียนโม่ขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่ใช่เพราะสงสารนาง แต่เขาเพียงแค่รู้สึกว่ามันแปลก
ถึงอย่างไรเหยาเชียนเชียนก็เป็บุตรสาวของเหยาซื่อเฟิง และเป็สตรีที่เป่ยเซวียนเฉิงให้ความสำคัญ เช่นนั้นผู้ใดกล้าวางยานางกัน?
“กระหม่อมไม่ทราบพ่ะย่ะค่ะ แต่หาก้าถอนพิษกู่นี้จะต้องหาหมู่กู่ให้พบ ทว่าเื่นี้ค่อนข้างยาก”
เป่ยเหลียนโม่หัวเราะเบาๆ “เปิ่นหวังจะกังวลอะไร คนที่ไม่อยากให้นางตายมีอยู่มาก หวังเฟยของเปิ่นหวังผู้นี้มีเสน่ห์เหลือล้นทีเดียว”
เหยาอวี้เอ๋อร์ตั้งใจจะเอนกายไปแอบฟัง แต่ก็ถูกองครักษ์หน้าประตูจับตามองไม่ละสายตา นางจึงทำได้เพียงยืนอยู่ข้างนอกอย่างไม่พอใจ ทว่าเมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของเหยาซื่อเฟิงก็อดสงสัยไม่ได้ หรือว่าท่านพ่อเป็ห่วงสตรีชั้นต่ำผู้นั้น?
“นางป่วยเป็โรคนี้มานานเท่าใดแล้วเ้าคะ ดูจากท่าทางร้อนรนเมื่อครู่ ท่านอ๋องทรงเป็ห่วงนางจริงๆ ไม่รู้ว่าจะทรงคิดว่านางกำลังจะตายแล้วหรือไม่”
เหยาซื่อเฟิงเบิกตาจ้องนางเขม็ง พร้อมทั้งเอ่ยตำหนินางเบาๆ ว่าอย่าพูดจาซี้ซั้ว
ในใจเขาอดเป็กังวลไม่ได้ ไม่รู้ว่าเมื่อครู่เป่ยเหลียนโม่สังเกตเห็นเบาะแสอะไรหรือไม่ ทว่าเขาป่าวประกาศต่อคนภายนอกว่าลูกสาวคนเล็กป่วยเป็โรคประหลาดมาราวห้าถึงหกปีแล้ว เช่นนั้นก็ไม่น่าทำให้เกิดความสงสัย
“หากชิงผิงอ๋องทรงถามขึ้นมา เ้าทูลแค่ว่าไม่รู้ก็พอ เข้าใจหรือไม่?” เหยาซื่อเฟิงพูดกำชับ
“เดิมทีข้าก็ไม่รู้อยู่แล้ว โรคแปลกอะไรนั่น นางสมควรแล้ว”
เหยาอวี้เอ๋อร์เดินนวยนาดจากไป ลูกตากลอกไปมาเล็กน้อย นางเดินไปที่ห้องครัวพร้อมกับยกน้ำแกงโสมกลับมา อ้างกับองครักษ์ที่เฝ้าอยู่หน้าประตูว่าเป็น้ำแกงโสมที่จะต้องให้เหยาเชียนเชียนกินทุกครั้ง พวกเขาจึงยอมปล่อยให้นางเข้าไป
“ท่านอ๋อง” เมื่อเข้ามาก็เห็นเป่ยเหลียนโม่นั่งอยู่ข้างเตียงพลางกุมมือเหยาเชียนเชียนไว้อย่างทะนุถนอม นางเก็บซ่อนความริษยาไว้และยกน้ำแกงโสมเข้าไป
“อวี้เอ๋อร์จะป้อนน้ำแกงโสมให้น้องหญิงกินสักหน่อย นางจะได้รู้สึกดีขึ้นเพคะ”
ในขณะที่เป่ยเหลียนโม่ทำท่าทางจะลุกขึ้น เหยาอวี้เอ๋อร์ก็รีบตรงเข้าไป ทำให้น้ำแกงโสมสาดไปบนตัวเขาพอดี
“อวี้เอ๋อร์สมควรตาย” นางรีบหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ด พร่ำขอโทษไปพร้อมกับมองเป่ยเหลียนโม่ไปด้วยดวงตาที่มีน้ำคลอหน่วย
เหยาเชียนเชียนลืมตาขึ้นมาอย่างสะลึมสะลือ เห็นสองมือของเหยาอวี้เอ๋อร์ลูบไล้ไปมาบนแผ่นอกของเป่ยเหลียนโม่ และร้องไห้เบาๆ อย่างน่าสังเวช
“อวี้เอ๋อร์รู้สึกยินดีที่ได้พบท่านอ๋อง แต่น้องหญิงได้เป็หวังเฟยของพระองค์ไปเสียแล้ว ต่อหน้าพระพักตร์ของท่านอ๋องอวี้เอ๋อร์ไม่รู้ว่าควรวางตนอย่างไรเลยเพคะ”
ยั่วยวนสามีของนางต่อหน้ากันเลยหรือ? ทว่าไม่รู้เหตุใดนางถึงรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย
เหยาเชียนเชียนหรี่ตาเล็กน้อยเพื่อลอบมองเป่ยเหลียนโม่ เหยาอวี้เอ๋อร์ใจกล้ากระโจนเข้าใส่โดยที่ไม่รอดูปฏิกิริยาของอีกฝ่ายให้แน่ใจเสียก่อน
“ท่านอ๋อง” นางโอบกอดเอวผอมบางของเป่ยเหลียนโม่ไว้และวิงวอน
“ในพระทัยของท่านอ๋อง อวี้เอ๋อร์ไม่มีคุณค่าสักนิดเลยหรือเพคะ อวี้เอ๋อร์รักท่านอ๋องจากใจจริง อวี้เอ๋อร์ไม่ขอตีตนเสมอน้องหญิง ขอแค่ได้พบท่านอ๋องทุกวันก็พอใจแล้วเพคะ”
ประจบประแจงเหลือเกิน ประจบเสียจนสุดท้ายก็ไม่เหลืออะไร
เหยาเชียนเชียนลอบถอนใจ ไม่รู้ว่าพี่สาวที่แสนดีของนางจริงใจต่อเป่ยเหลียนโม่สักกี่ส่วน และไม่รู้ว่านางถูกตาต้องใจเป่ยเหลียนโม่ที่ตรงใด เหยาอวี้เอ๋อร์ไม่รู้หรืออย่างไรว่าตระกูลเหยาสวามิภักดิ์ต่อองค์ชายสาม?
นางตั้งมั่นจะแต่งงานกับเป่ยเหลียนโม่เท่านั้น โดยไม่เกรงกลัวว่าเหยาซื่อเฟิงจะทุบตีนาง
พอคิดถึงไม้หวายก้านหนาอันนั้นแล้วนางพลันรู้สึกโกรธขึ้นมา แล้วก็เื่ที่ถูกตบไปสองฉาดอีก คนพวกนั้น้าให้นางเสียโฉมชัดๆ
หลังจากอดทนฟังบทสนทนาของทั้งคู่มาสักพัก เหยาเชียนเชียนก็เตรียมจะหาจังหวะเหมาะๆ ที่จะฟื้นขึ้นมา ละครฉากนี้จะให้พวกเขาแสดงไปโดยเสียเปล่าไม่ได้
“เมื่อครู่เปิ่นหวังกล่าวชัดเจนแล้ว คุณหนูเหยาเป็พี่สาวของหวังเฟย ไม่ว่าจะอยู่ข้างกายเปิ่นหวังในฐานะใด สำหรับเปิ่นหวังล้วนไม่เหมาะสมทั้งสิ้น”
เป่ยเหลียนโม่ผลักนางออกอย่างไว้หน้า ส่วนเขาก็คว้าชุดคลุมตัวนอกของเหยาเชียนเชียนขึ้นมาเช็ดผ่านๆ แล้วก็โยนทิ้งไป
เหยาเชียนเชียนถึงกับอับจนคำพูด...
“ท่านอ๋องสนใจเพียงน้องหญิง พระองค์มองไม่เห็นความจริงใจของอวี้เอ๋อร์เลยหรือเพคะ?”
นางทรุดตัวลงบนพื้นและถอดชุดคลุมตัวนอกของตนออกช้าๆ เผยให้เห็นผิวขาวสะอาด ก่อนจะก้มหน้าลงน้อยๆ ด้วยความขลาดเขิน
“น้องหญิงไร้ศีลธรรม อวี้เอ๋อร์ยินดีปรนนิบัติท่านอ๋องแทนนางเพคะ และอวี้เอ๋อร์ไม่ขอฐานะใดๆ”
เป่ยเหลียนโม่นึกขันในใจ สตรีตระกูลเหยาช่างแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แม้ว่าเหยาเชียนเชียนจะไม่ยินยอมกลับมาเยี่ยมครอบครัวพร้อมกับเขา แต่ก็มีใจจงรักภักดีต่อเป่ยเซวียนเฉิงด้วยใจจริง แววตาดื้อรั้นในคืนอภิเษกสมรสมีเพียงความเกลียดชังที่เขาไม่อาจพินาศไปพร้อมนางได้
จะพูดว่าหยิ่งในศักดิ์ศรีและจงรักภักดีอย่างแน่วแน่ก็คงไม่เกินจริง
แม้ว่าอุปนิสัยของนางจะเปลี่ยนไปมากหลังจากเขากลับจวน แต่แววตาสดใสไม่มีพิษภัยย่อมดีกว่าเหยาอวี้เอ๋อร์ที่ไร้ศีลธรรมผู้นี้เป็พันเท่า
“แต่ไหนแต่ไรเปิ่นหวังจะกล่าวแค่ครั้งเดียว เห็นแก่ที่เ้าเป็พี่สาวของหวังเฟยจึงได้อธิบายแก่เ้าไปถึงสองครั้ง แต่ไม่คิดเลยว่าเ้าจะโง่เขลาถึงเพียงนี้”
เป่ยเหลียนโม่ตรัสเสียงเย็น “พวกเ้า ส่งคุณหนูเหยาออกไป”
บอกว่าส่งก็จริง แต่องครักษ์ก็ไม่มีความเกรงใจแม้แต่น้อย แววตาเ็าของชิงผิงอ๋องแทบจะเอ่อล้นออกมา ทั้งคู่ประกบซ้ายขวาและโยนนางออกไปทันที ไม่แม้แต่จะให้เวลาเหยาอวี้เอ๋อร์สวมเสื้อผ้า
เฮ้อ หยาบคายจริงๆ เหยาเชียนเชียนแอบสะใจไปพร้อมๆ กับส่ายศีรษะ แต่แล้วเงาดำสายหนึ่งก็ประชิดเข้ามาโดยไม่คาดคิด นางค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้น และสบเข้ากับดวงตาที่เหมือนยิ้มแต่ไม่ยิ้มของเป่ยเหลียนโม่เข้าพอดี
“หวังเฟยได้ฟังละครดีฉากหนึ่งแล้ว ยามนี้ก็ยังไม่ยอมตื่นอีกหรือ?”
เชิงอรรถ
[1] พิษกู่ หมายถึง พิษซึ่งได้มาจากสัตว์พิษตามความเชื่อทางภาคใต้ของประเทศจีนโดยเฉพาะแถบหนานเยว่ ทำขึ้นโดยนำสัตว์พิษชนิดต่างๆ (เช่น ตะขาบ งู แมงป่อง) ใส่ลงในภาชนะแล้วปิดผนึก ปล่อยให้สัตว์เ่าั้กินกันเอง ตัวสุดท้ายที่เหลือรอดเพียงหนึ่งเดียวเชื่อว่ามีพิษร้ายแรงที่สุด มักนำมาใช้ในกิจกรรมทางไสยศาสตร์ เช่น ฆ่าคน ทำร้ายคน หรือก่อโรคภัยไข้เจ็บ คติชนจีนยังเชื่อว่า ิญญาของกู่สามารถกลายร่างเป็สัตว์หลายชนิด เช่น หนอน บุ้ง ตะขาบ งู กบ สุนัข หรือสุกร
[2] พิษจื่อหมู่กู่(子母蛊)หมายถึง พิษโบราณชนิดหนึ่ง โดยพิษจะแยกออกเป็สองส่วน คือ หมู่กู่(母蛊)และ จื่อกู่(子蛊)วิธีการถอนพิษสามารถทำได้โดยการกำจัดหมู่กู่