บริษัทของหลิงจื้อเฉิงเกิดเื่ใหญ่เสียยิ่งกว่าท้องฟ้า
โรงแรมหลิงกวงเปิดทำการได้หนึ่งปีแล้ว ในตอนนี้กำลังยื่นเื่เพื่อที่จะมีคุณสมบัติเป็โรงแรมห้าดาว สำหรับเขานี่คือโอกาสครั้งสำคัญที่จะได้ทะยานขึ้นสู่ความเจริญรุ่งเรือง
ทุกอย่างเป็ไปอย่างราบรื่น เมื่อวันศุกร์ที่แล้วก่อนจะเลิกงาน เขาได้ติดต่อไปที่องค์กรในมณฑลด้วยตนเอง ซึ่งทางนั้นแจ้งว่าเื่คำร้องจะผ่านการพิจารณาในสัปดาห์หน้า เมื่อได้รับข่าวนี้ ไม่ต้องอธิบายเลยว่าตัวเขาจะดีใจมากขนาดไหน วันหยุดสุดสัปดาห์จึงพาภรรยาและบุตรสาวไปเที่ยวช็อปปิ้งซื้อข้าวของมากมาย ทั้งครอบครัวใช้ชีวิตร่วมกันอย่างมีความสุข
วันจันทร์เขาเข้าบริษัทด้วยท่าทีลำพอง รอแล้วรอเล่า ในที่สุดตอนบ่ายก็ได้รับจดหมายที่ส่งมาจากมณฑล
เขาเปิดมันออกด้วยความคาดหวัง สิ่งที่ได้รับไม่ใช่ข่าวดี แต่เป็ข่าวร้ายที่จำเป็จะต้องแก้ไข
หลายจุดที่เขาต้องแก้ไข ซึ่งล้วนแต่เป็การหากระดูกในไข่ไก่[1] แต่ใครใช้ให้อีกฝ่ายมีอำนาจในมือเล่า เขาจะทำอะไรได้ เมื่อดึงสติกลับมา เขาทำได้เพียงรีบเรียกประชุมฝ่ายที่เกี่ยวข้องทั้งหมด
วางแผนกันทั้งวันทั้งคืน กว่าจะจบการประชุม เวลาก็ล่วงเลยเข้าสู่วันใหม่ เขาไม่ได้กลับบ้าน แต่นอนพักผ่อนที่ข้างห้องทำงานครู่หนึ่ง
เขาทิ้งตัวนอนบนเตียงอยู่นาน แต่ไม่สามารถข่มตาหลับ เขาคิดถึงสิ่งที่จะเป็ไปได้
ทั้งที่ก่อนหน้านี้คุยกันไว้อย่างดิบดี เหตุใดจู่ๆ ถึงได้เปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันเช่นนี้
เมื่อลองครุ่นคิดอย่างละเอียด เพียงไม่นานเขาก็นึกขึ้นได้เื่หนึ่ง
อันที่จริงในตอนแรกการยื่นเื่เพื่อขออนุมัติเป็โรงแรมห้าดาวไม่ค่อยราบรื่นสักเท่าไร จนเมื่อถึงสัปดาห์ก่อน อู๋อู๋บอกว่าซูอินได้ช่วยเหลือเด็กคนหนึ่งที่มีฐานะไม่ธรรมดาเอาไว้
ในตอนนั้นเขาไม่ได้จำใส่ใจนัก แต่วันนี้เมื่อกลับมาคิดดู เหมือนกับว่าั้แ่ตอนนั้น การยื่นเื่ของเขาก็เริ่มราบรื่นขึ้น
ในระหว่างที่ยังไม่แน่ชัด หลิงจื้อเฉิงก็รู้สึกเหมือนได้ค้นพบสิ่งที่เกี่ยวข้องขึ้นมาหนึ่งอย่าง
ถึงแม้ร่างกายจะเหน็ดเหนื่อย แต่ก็ไม่อาจข่มตาหลับ เขาที่อดหลับอดนอนมาทั้งคืนสวมเสื้อเชิ้ตแขนสั้น ก่อนจะสั่งให้คนขับรถพากลับบ้าน
เื่เหล่านี้จะต้องจัดการให้เรียบร้อยในเร็ววัน
รถเมอร์เซเดสเบนซ์จอดที่หน้าประตูคฤหาสน์ ่สองปีมานี้หลิงจื้อเฉิงเข้าสังคมค่อนข้าง่บ่อย ทำให้เริ่มอ้วนขึ้น แต่ในเวลานี้เขากลับก้าวขึ้นบันไดหน้าคฤหาสน์ด้วยความว่องไว
เมื่อรู้ตัวอีกทีก็มายืนอยู่ข้างโต๊ะอาหารแล้ว
“อินอินจะออกจากบ้านหรือ”
ซูอินมองหน้าที่เต็มไปด้วยความลนลานของหลิงจื้อเฉิง ก่อนจะอธิบายด้วยท่าทีสงบ “หนูอยู่ที่นี่ก็มีแต่จะสร้างปัญหาไม่เว้นแต่ละวัน ทุกคนต่างไม่มีความสุข ถึงแม้หนูจะไม่อยากไป แต่อู๋อู๋ก็เห็นด้วยแล้วค่ะ”
ในเมื่อถูกฉีกหน้าแล้ว ซูอินจึงไม่อยากเรียกอีกฝ่ายว่า “คุณแม่” อีกต่อไป
“คุณเห็นด้วยแล้วหรือ”
หลิงจื้อเฉิงมองอู๋อู๋ราวกับไม่อยากเชื่อสายตา ก่อนจะเอ่ยถาม “คุณบอกว่าเธอช่วย…”
“จื้อเฉิง!”
อู๋อู๋รีบพุ่งตัวและปิดปากเขาไว้
หลิงจื้อเฉิงเชื่อฟังคำพูดของภรรยามาแต่ไหนแต่ไร แต่คราวนี้เป็เื่ค่อนข้างใหญ่ เป็ไปได้ว่าอาจทำให้อาชีพของเขาสั่นคลอน
เขารีบดึงมืออู๋อู๋ออกด้วยท่าทีร้อนใจ ดวงตาของเขาจ้องเธอเขม็งก่อนจะะโเสียงดัง “คุณบอกกับผมให้ชัดเจนเลยว่า นี่มันเกิดเื่อะไรขึ้นกันแน่!”
“พวกเราขึ้นไปข้างบนกันเถอะ”
อู๋อู๋ยังคงรักษาหน้า โดยเฉพาะในตอนที่ซูอินถาม และเธอก็ได้ตอบออกไปด้วยความมุ่งมั่น ไม่ว่าอย่างไรจะยอมให้ซูอินรู้เื่นี้ไม่ได้เด็ดขาด
“ไปกันเถอะค่ะ พวกเราขึ้นไปคุยกันข้างบน”
อู๋อู๋ดึงดันพาสามีของเธอขึ้นไป ก่อนที่ทั้งคู่จะขึ้นไปคุยกันที่ชั้นบน
ตอนนี้ในใจของซูอินถูกคำว่า “ช่วย” ดึงความสนใจ เธอช่วยอะไรอย่างนั้นหรือ
ถึงแม้เมื่อชาติก่อนจะอ่านนิยายมาเยอะเกี่ยวกับ ช่วยภรรยาเศรษฐี ช่วยคนชรา ช่วยเด็ก แผ่นดินไหว ไฟไหม้ จมน้ำ คนะโตึกก็เห็นมามากมาย แต่คนแรกที่ซูอินนึกถึงคือหลิงเมิ่ง สาเหตุที่เธอต้องไปนอนบนเตียงผ่าตัดก่อนที่ชีวิตสุดท้ายของเธอจะดับลง นั่นก็เพื่อช่วยชีวิตหลิงเมิ่ง
หรือว่าครอบครัวนั้นกำลังตามหาคนแล้ว แต่เวลานี้มันก็ดูจะเร็วไปหน่อย
เธอส่ายหน้าก่อนจะหันไปมองนาฬิกาคุณปู่ เกือบจะไม่ทันแล้ว
เมื่อกลับมาที่ห้องนอน เธอสำรวจกระเป๋าหนังสือ ในนั้นมีตำรา เงิน ปากกา ยางลบ ของใช้จำเป็ต่างๆ แม้ว่าจะเป็ของที่ใช้เงินจากตระกูลหลิงซื้อมา แต่ทางตระกูลซูก็เคยซื้อหนังสือเรียนและเครื่องเขียนให้หลิงเมิ่งเช่นกัน
หากคำนวณอย่างละเอียดถี่ถ้วน ก็คือว่าเธอไม่ได้ติดหนี้ตระกูลหลิง
เธอดึงลิ้นชักโต๊ะทำการบ้านออกมา ในนั้นมีเงินค่าขนมจากการพยายามอย่างหนักและเก็บหอมรอมริบตลอดหลายปีที่ผ่านมา เงินทั้งหมดรวมกันไม่ถึงหนึ่งพันหยวน เงินจำนวนนี้สำหรับ่เวลานั้นถือว่าไม่น้อย แน่นอนมันไม่ได้หมายความว่าตระกูลหลิงให้เงินค่าขนมเธอมากมาย ในความเป็จริง หากเทียบกับเพื่อนๆ ตัวเธอถือว่าใช้เงินค่อนข้างน้อยมาก ทว่าั้แ่เด็กๆ แล้วที่เธออาศัยอยู่กับคุณย่า เคยชินกับการประหยัด ปกติก็แทบจะไม่ได้ซื้อขนมขบเคี้ยวเลย
เธอวางค่าขนมไว้ตรงจุดที่เด่นที่สุดกลางโต๊ะ เหลือบมองห้องที่อยู่มาหลายปี รวมถึงเฟอร์นิเจอร์เก่าที่เธอเคยใช้ก่อนจะมาอยู่ที่คฤหาสน์หลังนี้
ดูแล้วไม่ค่อยมีอะไรน่าโหยหาสักนิด
เธอครุ่นคิด ก่อนจะก้มตัวลงไปเขียนกระดาษที่อยู่บนโต๊ะ
สุดท้ายเธอเดินไปที่ห้องครัวเพื่อกอดป้าสวี่
“ป้าสวี่คะ หนูจะไปแล้ว และคงไม่มีโอกาสอะไรให้ต้องกลับมา สองปีที่ผ่านมานี้หนูขอขอบคุณป้ามากนะคะที่ดูแลหนู”
“อินอิน”
สีหน้าของป้าสวี่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ อดไม่ได้ที่จะพยายามโน้มน้าว “คุณนายอู๋เธอก็แค่โกรธ ทำไมหนูต้องทำแบบนี้ หนูเป็แค่เด็กสาวตัวคนเดียว ออกจากบ้านแล้วจะไปอยู่ที่ไหน เดี๋ยวก็จะสอบแล้ว ผู้เป็ดั่งบุรุษที่แท้จริงจะต้องยอมลดราวาศอก[2]”
ป้าสวี่เป็ห่วงเธอมากจริงๆ ซูอินรู้สึกอบอุ่นใจ เธอปล่อยมือและมองสตรีร่างอวบอ้วนวัยกลางคนที่มองเธอด้วยรอยยิ้มจริงใจ
“หนูหางานพาร์ทไทม์ทำค่ะ เ้าของร้านนิสัยดี เงินที่ทำงานก็พอจะเลี้ยงดูตัวเองได้ ระยะนี้คงจะอยู่ที่นั่นกับเธอ ป้าสวี่ไม่ต้องเป็ห่วงนะคะ”
เอ่ยจบเธอก็หันไปโบกมือให้ป้าสวี่ “เดี๋ยวจะสอบแล้ว ตอนนี้จะไม่ทันเวลาแล้ว หนูไปก่อนนะคะ”
ป้าสวี่มองซูอินที่เปลี่ยนรองเท้าก่อนจะออกจากคฤหาสน์ไปด้วยแววตาเป็ห่วงและจนใจ
เสียงปิดประตูดังไปจนถึงห้องหนังสือชั้นบน สามีภรรยาตระกูลหลิงที่กำลังหารือกันต่างก็ใ
หลิงจื้อเฉิงลุกขึ้นมองออกไปนอกหน้าต่าง ก็เห็นซูอินที่เดินออกจากสนามไป
“นี่เธอจะไปจริงหรือ”
ไปได้ก็ดี อู๋อู๋พูดในใจ
เธอหันไปมองนาฬิกาควอตซ์ที่แขวนอยู่บนผนัง ก่อนจะพูดโน้มน้าว “เจ็ดโมงสิบนาทีแล้ว โรงเรียนทดลองเข้าเรียนตอนเจ็ดโมงครึ่ง เธอคงจะไปเรียนน่ะค่ะ คุณวางใจเถอะ เธอโตแล้ว เมื่อก่อนก็ไม่เคยหายออกไปจากบ้าน หากไม่กลับมาที่นี่ เธอจะไปที่ไหนได้ ไม่ต้องสนใจท่าทีดื้อรั้นเมื่อครู่ของเธอหรอกค่ะ เดี๋ยวคืนนี้ไม่มีที่ให้นอนก็ยอมกลับมาเอง”
เป็เช่นนั้นจริงหรือ
หลิงจื้อเฉิงค่อยๆ วางใจลง จากนั้นจึงพูดคุยถึงสิ่งผิดปกติในการยื่นเื่เพื่อขออนุมัติโรงแรมของตนเอง
“คุณว่า อีกฝ่ายจะรู้หรือเปล่าถึงท่าทีที่ครอบครัวของพวกเราแสดงออกต่ออินอิน”
อู๋อู๋คัดค้านความเป็ไปได้นั้นโดยไม่รู้ตัว “เป็ไปไม่ได้ หากเป็คนที่มีอำนาจมากขนาดนั้นจริง ก็คงต้องยุ่งอยู่กับการทำงานทุกวัน จะเอาเวลาที่ไหนมาจับตาดูความวุ่นวายครอบครัวของเรา และจะว่าไป พวกเราก็ไม่ได้ปฏิบัติต่อเธอแย่ขนาดนั้น ให้อาหาร ให้เสื้อผ้า ให้ได้เรียนแล้วจะให้ทำอะไรอีก”
ถึงแม้จะอธิบายออกไปเช่นนั้น แต่ในใจของอู๋อู๋ก็รู้สึกเสียใจเล็กน้อย
ที่บ้านก็ไม่ได้ขาดแคลนข้าวปลาอาหาร ทำไมเธอต้องใจร้อนขนาดนั้นด้วย และเพื่อความปลอดภัย อย่างไรเสียเธอก็ต้องคอยจับตาดูสักระยะหนึ่ง
“วางใจเถอะค่ะ คืนนี้เธอก็กลับมา” เธอพูดปลอบใจตนเอง
หลิงจื้อเฉิงพยักหน้าตาม
เมื่อเกิดเื่เช่นนี้ วันนี้ทั้งวันจิตใจของสองสามีภรรยาตระกูลหลิงจึงไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
โดยเฉพาะอู๋อู๋ ที่จิตใจของเธอไม่อยู่กับเนื้อกับตัวในสายตาของเพื่อนร่วมงาน เมื่อข่าวลือแพร่สะพัด คนที่รอดูเื่สนุกเหล่านี้ก็ยิ่งชอบใจ ทว่านั่นไม่ได้หมายความว่าไม่เป็ผลดี เพราะมีคนกลุ่มเล็กๆ ที่เริ่มรู้สึกเห็นใจเธอ
จนกระทั่งตกดึก เวลาล่วงเลยมาถึงเที่ยงคืน สองสามีภรรยาที่นอนเคียงข้างกันบนเตียงไม่อาจข่มตา พวกเขาเริ่มรู้สึกตื่นตระหนก
-------------------------------------------------------------------
[1] หากระดูกในไข่ไก่ หมายถึง พยายามหาข้อตำหนิติเตียนคนหรือสิ่งของ ทั้งที่ไม่มีข้อให้ตำหนิ
[2] ผู้เป็ดั่งบุรุษที่แท้จริงจะต้องยอมลดราวาศอก หมายถึง เมื่อตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากจะต้องยอมหลีกเลี่ยงชั่วขณะ เพื่อไม่ให้สูญเสียอย่างอัปยศอดสู