ต้นไม้กลางทุ่งหญ้าช่างหาได้ยากนัก โดยเฉพาะต้นที่มีใบเต็มต้น ยามเดินอยู่บนทุ่งหญ้ากว้างใหญ่นี้แล้วบังเอิญได้เจอต้นไม้สักต้น ก็พลันรู้สึกดีใจขึ้นมา ในขณะเดียวกันก็รู้สึกสงบขึ้นมา หากว่าได้เดินไปหน้าต้นไม้ แล้วนั่งลงใต้ร่มเงาของมัน ก็จะรู้สึกได้ถึงความเย็นสายหนึ่งที่ทำให้ร่างกายผ่อนคลายสบายใจ
ยามนี้หยินสงกำลังนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ต้นหนึ่ง ข้างกายยังมีเด็กหญิงนั่งอยู่ ไม่ไกลกันนัก มีม้าสีนิลตัวหนึ่งยืนอยู่ ส่วนเด็กหนุ่มสุดหล่อที่แบกลูกเหล็กสองลูกนั้นกำลังไปช่วยเขาตามหาท่านอารอง เช่นนั้นเขาจึงได้แต่นั่งรอท่านอารองอยู่ที่นี่
หยินสงปกติไม่ชอบให้ใครชมว่าตนหน้าหวานเหมือนสตรี ทว่าเมื่อครู่ที่เฉินโย่วเรียกเขาว่าน้องสาวนั้น เขากลับไม่ได้รู้สึกโกรธถึงเพียงนั้น
อืม เขารู้ชื่อนางแล้ว ฟังแล้วไพเราะนัก นางมีนามว่าลู่เฉินโย่ว
แซ่ลู่นั้นมีจริงหรือ สมกับเป็ทุ่งหญ้าป่าเถื่อนเสียจริง เขาเคยได้ยินท่านอารองเล่าว่าที่นี่นั้นยังมีการบูชาสัตว์ ไม่แน่ว่าแซ่ของพวกเขาก็ยังมาจากการบูชาสัตว์ เช่นนี้เขาจึงไม่ได้ใอันใดมากนัก
เฉินโย่ว นามนี้แม้จะฟังดูคล้ายบุรุษไปสักหน่อย แต่ความหมายดียิ่ง ทั้งยามเรียกแล้วยังฟังแล้วรื่นหู อีกทั้งยามที่เฉินโย่วรู้อายุและเพศของเขาแล้วก็รีบเปลี่ยนคำเรียกขานทันที
“พี่หยินสง ชื่อของท่านไพเราะจริงเชียว ท่านลุงสามบอกว่ามีเพียงผู้ทรงพลังเท่านั้นจึงจะได้เป็วีรบุรุษ” เฉินโย่วที่นั่งอยู่ด้านข้างเริ่มล้วงกระเป๋าเอาของว่างเป็กระบุงหาบของนางออกมาวางตรงหน้า เตรียมลงมือกิน
เฉินโย่วกินอาหารได้มากเหลือเกิน ไม่เพียงจะต้องกินข้าวชามใหญ่วันละสามมื้อ ของว่างก็กินได้มากมายเช่นกัน
หยินสงโดยปกติจะควบคุมตัวเองอย่างเข้มงวด ไม่กินของว่างตามใจ ทว่าเมื่อเห็นขนมของเฉินโย่วที่มีทั้งลูกกวาดเม็ดงาม เนื้อแห้งหอมๆ และน้ำชาน่าดื่ม เขาก็ลังเลขึ้นมาครู่หนึ่ง ก่อนจะหยิบขึ้นมากินตามเฉินโย่ว
ยามยังอยู่บนเรือเขาก็รู้สึกเมาเรืออยู่ตลอดจึงกินอาหารไม่ได้มากนัก เมื่อลงจากเรือแล้วก็เอาแต่ตื่นเต้น ไม่ได้สนใจเื่กินแม้แต่น้อย
ยามนี้ก็รู้สึกว่าตนหิวขึ้นมาแล้วจริงๆ ทว่ากินของว่างกันอยู่เพียงสองคนก็ช่างน่าเบื่อนัก
หยินสงเองก็ไม่รู้จะกล่าวอันใด ปกติเขาไม่เคยอยู่ตามลำพังกับเด็กหญิงมาก่อน กระทั่งทารกหญิงก็ไม่เคย โดยเฉพาะเด็กหญิงแสนเก่งกาจที่ยังสามารถช่วยเขาไว้ได้เช่นนี้
ทันใดเขาก็รู้สึกอิจฉาท่านอารองขึ้นมา
ท่านอารองทั้งเก่งกล้าสามารถ สตรีรู้ใจก็มีมากมายราวกับสตรีที่มีชื่อเสียงทั้งหมดในเมืองนั้นล้วนแต่มีความสัมพันธ์กับท่านอารองอย่างไรอย่างนั้น
ยามที่ท่านอารองได้พบพวกนางก็ดูไม่เคยกังวลใจ ทั้งยังชอบกลับมาโอ้อวดว่าตนนั้นเพิ่งจะไปดูดาวกับบุตรีท่านถ่างชูหลิวมา ทั้งยังได้ร่วมเดินหมากกับนางอีกด้วย
เมื่อกล่าวถึงการเดินหมาก หยินสงก็คิดขึ้นได้ว่าตลอดทางมานี้ เพราะบนเรือนั้นแสนจะน่าเบื่อ เขากับท่านอารองจึงได้เดินหมากห้าเม็ดกันมาตลอดทาง
ว่ากันว่าหมากชนิดนี้ได้องค์หญิงอีของแคว้นเชินเป็ผู้คิดค้นขึ้นมา
ทั้งเล่นง่าย ทั้งสนุก อีกทั้งยังสะดวกต่อการเล่น แม้จะไม่มีกระดานหมาก ก็เพียงแค่วาดตารางขึ้นมา แล้วเก็บก้อนหินขึ้นมาเพียงไม่กี่ก้อนก็เล่นได้แล้ว
เขาแม้จะไม่สนใจในตัวองค์หญิงอี แต่ท่านอารองนั้นกล่าวว่าหากนางไม่เป็ยอดนักบุญ ก็คงเป็คนปัญญาทึบคนหนึ่ง เ้าหมากห้าตัวและไพ่อะไรนั่น ไม่ว่าจะเป็อันไหนก็ล้วนแต่กลายมาเป็การค้าของตระกูลใหญ่ ทว่าองค์หญิงนั้นเพียงแค่ตรัสออกมาเรื่อยเปื่อยเท่านั้น ระยะนี้ตระกูลหยินของเขาก็อาศัยของพวกนี้มาทำเงินได้เป็กอบเป็กำเช่นกัน
น่าขันนักที่ทุกปีทั้งสามแคว้นต้องจัดพิธีสักการะสรวง์ แคว้นเชินที่ได้ชื่อว่าเป็แคว้นแห่งพิธีการกลับดูแร้นแค้นสิ้นดี อย่างไรก็มิอาจสู้แคว้นซีของตนได้
หยินสงแม้จะไม่ได้สนใจในการค้าเท่าใด แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังเป็คนตระกูลหยิน ความเฉียบแหลมในด้านการค้าขายนับว่าเป็พร์โดยกำเนิด เขาเองก็รู้สึกเห็นด้วยกับคำพูดของท่านอารอง เพียงแต่คิดว่าองค์หญิงจากแคว้นเชินคนนี้น่าจะโง่งมมากกว่า จึงได้เผยแพร่เื่ทำเงินของแคว้นตนให้คนอื่นล่วงรู้
ยามนี้เขาก็รู้สึกว่าตัวเองนั้นโง่งมเช่นกัน กินของว่างของคนอื่น ทั้งยังดื่มชาของคนอื่น แล้วยังจะตื่นเต้นจนพูดไม่ออกอีก
ใบหูก็เอาแต่รู้สึกร้อนผะผ่าว
ตอนนี้เพิ่งจะฤดูใบไม้ผลิ อากาศจึงไม่ร้อนสักนิด ทว่าเขากลับรู้สึกว่าแผ่นหลังของตนนั้นชุ่มไปด้วยเหงื่อเสียแล้ว
ชุดสีฟ้าเช่นนี้หากมีเหงื่อออกเป็วงขึ้นมาย่อมจะไม่น่ามองเป็แน่ นี่เป็ครั้งแรกในชีวิตที่เขาเริ่มจะขบคิดเื่ปัญหาการแต่งกายของตนเอง
เด็กหนุ่มได้แต่เงียบงันและกระอักกระอ่วน มิรู้จะกล่าวอันใด ดังนั้นหยินสงจึงตัดสินใจจะเลียนแบบท่านอารองของตน ลงมือวาดตารางหมากรุกลงไปบนพื้นดินตรงหน้าอย่างตั้งใจ จากนั้นก็หยิบหินขึ้นมาสองกอง กองที่ดูจะขาวหน่อยก็ให้เฉินโย่ว ส่วนของตนเองก็เลือกที่สีดำหน่อย
“ข้าจะสอนเ้าเล่นสนุก รับรองว่าสนุกแน่” เด็กหนุ่มกล่าวขึ้นอย่างเคร่งขรึม
“เอาสิ” เฉินโย่วที่กำลังพักผ่อนอยู่ถอดหมวกบนศีรษะตนออก บนศีรษะยังมีจุกผมน้อยๆ เด้งขึ้นมา เมื่อพยักหน้าจุกผมนั้นก็ขยับไหวตามเบาๆ
หยินสงเมื่อเห็นผมจุกชี้ๆ ของนางก็นึกอยากจะหัวเราะขึ้นมา ทว่าก็กลั้นเอาไว้ได้ แล้วจึงก้มหน้าลงแจ้งกฎในการเล่น จวบจนหน่วยลาดตระเวนพาหยินหัวมาหาเด็กชาย ก็ได้เห็นภาพนี้เข้า
ใต้ต้นไม้มีหลานชายของตนและเด็กหญิงตัวน้อยนั่งขัดสมาธิประจันหน้ากัน ใบหน้าเล็กของทั้งสองดูจริงจังยิ่ง พื้นดินตรงกลางวาดตารางหมากไว้ ดูท่าคงกำลังเดินหมากสู้กันอย่างจริงจัง
ด้านข้างยังมีของว่างและน้ำชาวางอยู่
ยามลมโชยแ่ก็ให้ความรู้สึกสบายนัก หากด้านข้างมีคนนั่งดีดพิณอีกสักคน ภาพตรงหน้าก็คงจะดูสมบูรณ์แบบเลยทีเดียว
ขณะนั้นหยินหัวทั้งโกรธทั้งดีใจ
ที่โกรธคือเ้าเด็กนี่ทำเขาเป็กังวลแทบตาย ทว่าความจริงแล้วกลับยังสุขสบายดี แต่ที่ยินดีขึ้นมานั้นก็เพราะเ้าเด็กหัวทึบนี่ในที่สุดก็มีเค้าลางจะเหมือนตนขึ้นมาบ้างแล้ว ท่าทางความที่ปฏิบัติต่อสตรีก็ดูคล้ายคลึงกับเขา ดูมีชั้นเชิงไม่เบา
เ้าเด็กหน้าเหม็นนี่รู้จักเอาอกเอาใจเด็กหญิงแล้ว
ร้ายกาจนัก
เขาในวันนี้ยังไม่อาจสู้หลานตนได้ด้วยซ้ำ วันนี้ยามตามหน่วยลาดตระเวนมา เขาก็บังเอิญได้พบกับสตรีสวมหน้ากากนางนั้นเข้าพอดี
หลังจากที่นางลงจากหลังม้าจึงได้เห็นว่านางรูปร่างสูงโปร่ง ความสูงเกือบจะเท่าเขาแล้วด้วยซ้ำ อีกทั้งรูปร่างก็นับว่าดีนัก หน้านูนหลังงอน โดยเฉพาะยามนางสวมชุดลาดตระเวนเช่นนี้ ช่างดูราวกับวีรสตรีในตำนานก็ไม่ปาน ช่างทำให้คนตื่นตะลึงโดยแท้
แม้ว่าเขาจะกังวลใจกับเ้าหลานชาย แต่นิสัยที่ชอบลวนลามหญิงงามของตนนั้นก็แก้ไม่ได้จริงๆ ไม่คาดคิดว่าเพียงเขาเข้าใกล้นางเพื่อจะตีสนิท แส้ในมือนางก็พลันสะบัดใส่ตน
หากมิใช่ว่าเขาคล่องแคล่วว่องไว ใบหน้าที่สตรีนับหมื่นนับแสนเคยลุ่มหลงของตนคงต้องถูกทำลายเสียแล้ว อีกฝ่ายสวมหน้ากาก ทั้งน้ำเสียงยังแหบแห้ง แววตาที่มองเขาก็เ็าเหลือเกิน
ในตอนนั้นเขารู้สึกว่าร่างกายของตนพลันแข็งค้าง ทั้งยังรู้สึกตื่นเต้นเหลือเกิน ตื่นเต้นยิ่งกว่าในอดีตที่ได้เย้าหยอกกับเหล่าสตรีในห้องเสียด้วยซ้ำ
เขารู้สึกราวกับว่าตนได้ต้องมนตร์สะกด ทว่าในตอนนั้นการตามหาหลานชายคือสิ่งสำคัญที่สุด
เดิมทีเขายังคิดว่าคงจะต้องลำบากไม่น้อยเป็แน่ กลับคิดไม่ถึงว่าเพียงแค่เขาดึงเชือกเส้นใหญ่หน้าประตูร้านตรงข้าม เพียงพริบตาก็มีคนปรากฏตัวขึ้นมาทันที
ในคราแรกยังคิดว่าตลาดแห่งนี้ก็คงจะไม่ได้พิเศษอันใด ไม่มีทางจะเทียบกับหอซีโหลวในแคว้นซีของตนได้
ทว่าที่นี่เพียงแค่ดึงเชือกก็มีคนโผล่มา เมื่อเขาแหงนหน้าขึ้นก็พบว่าบนฟ้ายังมีเชือกเส้นบางโยงใยไว้จนแน่นขนัด ดูคล้ายกับตาข่ายที่ครอบคลุมทั้งตลาดไว้ เหนือตาข่ายเห็นเป็หมอกทึบปกคลุมไว้อีกชั้นหนึ่ง ว่ากันว่าหมู่บ้านไป๋กู่นั้นตั้งอยู่เหนือม่านหมอกหนาทึบนี้
ผ่านไปเพียงครู่เดียวก็มีคนมาบอกว่าหลานชายของเขาไม่เป็ไร ทั้งยังมีคนช่วยไว้ได้แล้ว ดังนั้นเขาจึงได้แต่รบกวนให้สตรีในหน่วยลาดตระเวนนางนั้นช่วยนำทางเขาไป ด้วยเพราะรู้แล้วว่าหลานชายปลอดภัยดี จึงพลันรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมา ระหว่างทางโรคเก่าๆ จึงกำเริบขึ้นมา แม่นางด้านข้างจึงต้องฟังเขาพูดไม่หยุดไปตลอดทาง
แน่นอนว่าย่อมต้องไม่ใช่การพูดจาเรื่อยเปื่อยธรรมดา ก็เขานั้นเป็ถึงสี่ยอดบุรุษแห่งแคว้นซี หนึ่งในสี่ยอดคุณชาย
เนื้อหาที่สนทนาเปี่ยมด้วยอารมณ์ขันที่เป็เลิศ ทั้งตำนานเื่เล่าต่างๆ ก็ล้วนแต่ไหลมาไม่หยุด
แม้ว่าตลอดทางอีกฝ่ายจะไม่ได้สนใจไยดีเขา ทว่านางก็คงจะฟังเขาพูดจนรำคาญ จึงได้กล่าวขึ้นมา “เมื่อครู่ตำนานที่ท่านเล่านั้นผิดแล้ว มันมาจากเื่เอ่อร์หย่า ตอนที่สิบหกชื่อตอนปล่อยปลา”
หยินหัวได้ยินดังนั้นก็หน้าแดงซ่าน จิตใจล่องลอยจนไม่อาจตอบโต้กลับอยู่นานสองนาน โชคดีที่เห็นว่าหลานชายอยู่ตรงหน้าตนพอดี อย่างน้อยก็พอจะช่วยแก้ไขไม่ให้กระอักกระอ่วนได้
เขาไม่อยากจะเชื่อว่าแม่นางบนทุ่งหญ้าป่าเถื่อนจะรู้จักเอ่อร์หย่า รู้จักตำนาน ทั้งยังดูเหมือนจะคงแก่เรียนกว่าตนด้วยซ้ำ ยังดีที่เขามีหลานชายมาช่วยกู้หน้าได้ ชายหนุ่มจึงหันไปมองแม่นางที่สวมหน้ากากด้วยความเปรมปรีดิ์
เมื่อเดินไปใกล้ เสียงเด็กชายและเด็กหญิงที่กำลังสนทนากันอยู่ก็แว่วดังมา
“พี่หยินสง ท่านแพ้อีกแล้ว ข้าไม่อนุญาตให้ท่านเริ่มตาใหม่แล้ว”
“ข้ารับประกัน เดี๋ยวให้ข้าปรับอีกสักหน่อย รับรองว่าเป็ตาสุดท้าย...”
“ก็ได้ ท่านจำไว้ว่าแพ้ข้ามาสองตาแล้ว ประเดี๋ยวต้องมาเป็ม้าให้ข้าขี่สองเค่อ ห้ามตุกติกเด็ดขาด”
หยินหัว ‘เ้าเด็กนี่ไม่ใช่หลานชายข้า...ไม่ใช่หลานชายข้า...’
