ห่างออกไปห้าหมี่ หัวใจของหยวนอิ่งเต้นแรงขึ้น แล้วที่มุมปากก็ปรากฏรอยยิ้มประชดประชัน เ้าเด็กหนุ่มเอ๋ย เดาแม่นจริงนะ แต่ขอโทษด้วย ศิษย์พี่คนนี้ไม่ใช่เด็กน้อยที่ใกลัวอะไรง่ายๆ น่ะ
คิดจะหลอกข้าได้งั้นหรือ ฝันไปเถอะ!
หยวนอิ่งไม่ได้พูดอะไรออกไป แม้แต่การเต้นของหัวใจและการหายใจก็ยังแทบไม่มีใครสังเกตได้ อย่าว่าแต่ระยะห้าหมี่เลย ต่อให้เซียวหลิงอวิ๋นเดินมาอยู่ตรงหน้าเขาหนึ่งหมี่ หยวนอิ่งก็มั่นใจว่าอีกฝ่ายจะไม่สามารถััได้ถึงการเต้นของหัวใจและการหายใจของเขา
เดี๋ยว! เ้าหมอนี่คิดว่าข้ากำลังหลอกเขาอยู่อย่างนั้นหรือ! เซียวหลิงอวิ๋นรู้สึกพูดไม่ออก
ภายในหมอกหนาทึบนี้ สำหรับคนอื่นอาจจะได้รับผลกระทบอยู่บ้าง แต่สำหรับเขาแล้วกลับได้รับผลกระทบน้อยมาก เรียกว่าแทบไม่ส่งผลเลยดีกว่า หมอกนี้เทียบกับหมอกที่เขาเคยสอนให้จ้าวเหวินจัวทำขึ้นมาเพื่อลวงการรับรู้ของผู้ใช้พลังิญญาอย่าง ‘หมอกลวงรับรู้’ ราวฟ้ากับเหว
มีผลเพียงแค่บดบังสายตาเท่านั้น ไม่มีผลในลวงการรับรู้ทิศทาง! หากวิชาหมอกลวงตานี้ไม่มีผลแบบอื่นแล้ว ก็คงเป็ได้แค่ของไร้ค่าที่ใช้ได้ผลกับแค่ผู้ใช้พลังิญญาขั้นต้นเท่านั้น! ในขณะที่ใช้หินิญญากับวัสดุระดับต่ำเพียงไม่กี่ชิ้นก็สามารถสร้างหมอกลวงรับรู้ขึ้นมาได้แล้ว จึงไม่คู่ควรแก่การยกย่องสรรเสริญเลย
แต่ศิษย์สำนักชั้นนอกที่ผอมแห้งเหมือนลิงคนนี้กลับคิดว่าตัวเขาจะเป็เหมือนกับคู่ต่อสู้ที่เขาเคยเจอมาก่อน ซึ่งมองเห็นได้ไม่ไกลและไม่ได้ยินแม้แต่เสียง หลงคิดว่าวิชาหมอกลวงตานี้เป็ไพ่ตายที่ไม่มีใครรับมือได้
“ต้องให้ข้าพูดกับเ้าแบบเห็นหน้ากันอย่างนั้นหรือ?” เซียวหลิงอวิ๋นที่เริ่มรู้สึกเบื่อ จึงหันหน้าไปเผชิญหน้ากับหยวนอิ่ง
หยวนอิ่งใ แต่ก็สงบจิตสงบใจลงได้อีกครั้งในทันที
หึๆ เ้าศิษย์น้องเอ๋ย ศิษย์พี่คนนี้ไม่ใช่คนโง่ขนาดนั้นหรอกนะ!
เฮ้อ ทำไมเ้าหมอนี่มันหัวดื้อขนาดนี้ เซียวหลิงอวิ๋นเริ่มรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาบ้างแล้ว
ในเมื่อเ้าไม่เชื่อข้า ก็อย่าโทษข้าที่ไม่ให้โอกาสเ้าได้รวบรวมพลังิญญาตอบโต้ก็แล้วกัน!
ร่างหนึ่งก็พุ่งทะยานออกไปอย่างรวดเร็ว มือที่ห่อหุ้มด้วยแสงสีเขียวก็พุ่งตรงไปที่ลำคอของหยวนอิ่งอย่างแม่นยำ
ดวงตาของหยวนอิ่งที่เปล่งแสงสีเขียวอ่อนเบิกกว้างขึ้นทันที ก่อนจะมืดลงไปภายในชั่วขณะต่อมา จากนั้นก็รู้สึกเจ็บที่ลำคอ ทั้งตัวทรุดลงไปอย่างอ่อนแรง ก่อนที่จะหมดสติไปก็มีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมา: บ้าจริง ศิษย์น้องเซียวมองเห็นข้าจริงๆ ด้วย!
เมื่อผู้ใช้อาคมหมดสติ หมอกหนาทึบบนเวทีประลองก็สลายไปอย่างรวดเร็ว
เหล่าศิษย์สำนักชั้นนอกที่อยู่รอบๆ ลานประลอง ต่างก็กำลังสงสัยว่าทำไมภายในหมอกหนาทึบนี้ถึงไม่มีเสียงใดๆ เล็ดลอดออกมาเลย ไม่ใช่ว่าควรจะมีเสียงของกระบวนท่าหรือวิชาิญญาดังกระหึ่มหรอกหรือ? ทำไมถึงได้เงียบสงบขนาดนี้ ภายในหมอกหนาทึบเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
ในขณะที่ทุกคนต่างก็รู้สึกกระวนกระวายใจกันอยู่นี้ หมอกหนาทึบก็สลายไปในทันที
เมื่อหมอกทึบสลายไป บนเวทีประลอง ก็มีเงาของคนสองคนปรากฏขึ้นมา โดยที่คนหนึ่งยืนอยู่ และอีกคนหนึ่งล้มลงไป
ศิษย์สำนักชั้นนอกที่ก่อนหน้านี้หัวเราะร่าและะโบอกว่าศิษย์พี่หยวนจะต้องชนะ ถึงกับไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง ต้องขยี้ตาแล้วมองไปที่เวทีอีกครั้ง แต่ก็มองไม่ผิด เพราะคนที่ล้มลงอยู่บนพื้นก็คือหยวนอิ่ง
พะ...แพ้อย่างนั้นหรือ! ศิษย์พี่หยวนเป็ฝ่ายแพ้อย่างนั้นหรือ
บรรดาศิษย์สำนักชั้นนอกถึงกับอ้าปากกว้าง ไม่สามารถหุบปากลงได้พักใหญ่ๆ
เกิดความเงียบสงัดขื้นรอบๆ ลานประลอง
จนกระทั่งเสียงที่เริงร่าของฉินหรูเยียนดังขึ้น “เป็อย่างไรบ้างล่ะ? ข้าบอกแล้วใช่หรือไม่ว่าเซียวหลิงอวิ๋นไม่เคยแพ้ใคร!”
“เอื๊อก...” เสียงกลืนน้ำลายดังก้อง
เ้าหมอนี่มันสัตว์ประหลาดจริงๆ ด้วย แม้แต่หยวนอิ่งที่เชี่ยวชาญด้านการซุ่มโจมตีผู้อื่นภายในหมอกหนาทึบก็ยังถูกเ้าหมอนี่จัดการได้อย่างเงียบเชียบ!
เมื่อเป็เช่นนี้ ผู้ท้าชิงอีกสามคนข้างหลังก็ไม่คาดหวังอะไรแล้ว
เป็ไปตามคาด ผู้ท้าชิงคนที่สิบและสิบเอ็ดต่างก็ขอยอมแพ้และลงจากเวทีไปอย่างหดหู่!
ผู้ท้าชิงคนสุดท้ายคือ เฉียนหม่านควง
ตรงกันข้ามกับคำว่าหม่านที่แปลว่าเต็มอิ่ม รูปร่างของเขากลับผอมสูงเหมือนกระบอกไม้ไผ่!
นอกจากจะมีรูปร่างเหมือนกระบอกไม้ไผ่แล้ว ใบหน้าก็ยังไม่มีเนื้อหนัง แต่คนผอมแห้งดูขาดสารอาหารเช่นนี้กลับสามารถชิงสิทธิ์หนึ่งในสิบสองผู้ท้าชิงมาได้อย่างง่ายดาย
ไม่เห็นว่าเขาทำอะไร ร่างที่ผอมยาวนี้ลอยขึ้นมาบนเวทีประลองอย่างช้าๆ เป็ท่าทางที่ดูเชื่องช้าและไม่แสดงถึงความแข็งแกร่งใดๆ แต่ภายในดวงตาที่สดใสของเซียวหลิงอวิ๋นกลับมีความจริงจังและเคร่งเครียดอย่างที่หาได้ยากปรากฏอยู่
เห็นได้ชัดว่าคนสุดท้ายนี้คือคนที่แข็งแกร่งที่สุด
“หากมองย้อนกลับไปในอดีต ยังไม่เคยมีใครทำสถิติเอาชนะผู้ใช้พลังิญญาสิบเอ็ดคนรวดภายใต้พลังยุทธ์ระดับนักยุทธ์อย่างศิษย์น้องมาก่อน จากมุมมองนี้ ศิษย์น้องคู่ควรกับฉายาอัจฉริยะไร้เทียมทานแล้วจริงๆ แต่ข้าคงต้องขอบอกก่อน ว่าหนทางอัจฉริยะของศิษย์น้องจะจบลงแค่นี้ และฉายานั้นจะต้องตกเป็ของข้า!” เสียงที่แหบพร่าของเฉียนหม่านควงดังก้อง
เซียวหลิงอวิ๋นยิ้มอย่างเ็า “มีความทะเยอทะยานและกล้าหาญดี แต่ที่สำคัญและพื้นฐานที่สุดก็คือต้องมีความแข็งแกร่งที่คู่ควรด้วย ข้าหวังว่าศิษย์พี่คงจะไม่ได้เก่งแต่ปาก แต่ยังมีไพ่ตายในมือที่สามารถทำให้ข้าเอาจริงเอาจังได้!”
“ฮ่าๆๆ ประเดี๋ยวศิษย์พี่คนนี้จะทำให้เ้าเห็นเอง!”
“ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะคอยดู!”
ทันทีที่ทั้งสองเผชิญหน้ากัน พวกเขาต่างก็เริ่มพูดจาประชดประชันกันทันที ก่อนที่จะได้เริ่มต่อสู้ บรรยากาศคุกกรุ่นก็เริ่มแผ่กระจายออกมาแล้ว
สิ่งนี้ได้จุดประกายความหวังให้กับเหล่าศิษย์สำนักชั้นนอกที่กำลังสิ้นหวังอีกด้วย!
ถึงแม้ว่าเซียวหลิงอวิ๋นเองจะเป็ศิษย์ของสำนักิญญาเมฆา แต่ภาพการถูกเล่นงานอยู่ฝ่ายเดียวคนแล้วคนเล่า ก็ทำให้เหล่าศิษย์สำนักชั้นนอกจำนวนมากรู้สึกเหมือนตนเองกำลังถูกเซียวหลิงอวิ๋นตบหน้าจนบวมฉึ่ง
ใช่ว่าจะพ่ายแพ้ไม่ได้เลย แต่ก็ต้องแพ้อย่างสมศักดิ์ศรี หรือแพ้อย่างสูสีก็ยังดี!
ทว่าไม่มีเลยแม้แต่คนเดียว ในการประลองทั้งสิบเอ็ดครั้งก่อนหน้านี้ล้วนแล้วแต่พ่ายแพ้อย่างหมดรูป ซ้ำยังพ่ายแพ้อย่างยับเยิน คนเหล่านี้ล้วนเป็ยอดฝีมือที่คัดเลือกมาจากบรรดาศิษย์สำนักชั้นนอกกว่าพันคน แต่ผลลัพธ์ก็คือพวกเขาถูกตบหน้าอย่างแรง...
เมื่อเห็นว่าบรรยากาศคุกกรุ่นระหว่างทั้งคู่รุนแรงมาก ผู้ตัดสินวัยกลางคนจึงไม่พูดอะไร สั่งให้ทั้งคู่เตรียมตัวให้พร้อม แล้วจึงประกาศอย่างเฉียบขาดว่า เริ่มการประลองได้
โดยไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไร มือขวาที่ผอมแห้งของเฉียนหม่านควงก็กำแน่น ดาบพลังิญญาสีแดงเข้มปรากฏขึ้นในมือของเขา พร้อมด้วยการใช้พลังิญญา ที่ปลายดาบิญญาสีแดงเข้มปล่อยพลังแสงดาบสีแดงที่มีความยาวประมาณหนึ่งฉื่อครึ่งออกมา เมื่อทั้งดาบิญญาและแสงดาบอยู่รวมกันแล้ว ก็ดูราวกับเป็งูิญญาสีแดงที่กำลังแลบลิ้นเล่นอยู่
ม่านตาของเซียวหลิงอวิ๋นหดลงเล็กน้อย
ดาบิญญาของอีกฝ่ายนี้อยู่ในระดับเดียวกันกับดาบหยกคราม ซึ่งอยู่ในระดับเหลืองขั้นต้นเลย แต่ก็มองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าดาบิญญานี้เข้ากันได้ดีกับวิชาิญญาที่เฉียนหม่านควงฝึกอย่างมาก
ดาบิญญาจากถูกสร้างขึ้นเป็พิเศษตามบุคลิกของผู้ใช้ และจะช่วยเพิ่มพลังการต่อสู้ให้กับคนๆ นั้นอย่างมาก
ใบหน้าผอมแห้งของเฉียนหม่านควงก็ปรากฏรอยยิ้มที่เย็นะเื “ศิษย์น้องจงระวังให้ดี ‘ดาบิญญาผลึกเพลิง’ เป็ของที่สั่งทำเป็พิเศษ พลังของมันจึงสูงกว่าดาบิญญาระดับเหลืองขั้นต้นทั่วไปนัก!”
“ฮ่าๆ ได้แบบนั้นก็ดี ไม่อย่างนั้นข้าคงจะหมดไฟอยากสู้ไปเสียก่อน!” เซียวหลิงอวิ๋นหัวเราะเบาๆ พูดอย่างไม่คิดมากอะไร แต่ในใจเขาไม่กล้าที่จะประมาทเลย หงายมือขวาขึ้นเพื่อชักเอาดาบภูติน้ำแข็งออกมา
“ฮ่าๆๆ!” เฉียนหม่านควงหัวเราะเสียงดัง พลังิญญาในกายของเขาไหลเวียนเหมือนทะเลคลั่ง ราวกับมีพลังิญญากำลังไหลเวียนอยู่รอบๆ ตัวเขา แรงกดดันในฐานะผู้ใช้พลังิญญาขั้นต้นถูกปล่อยออกมาจนถึงขีดสุด ไฟต่อสู้ก็ลุกโชติ่อย่างน่าทึ่ง!
ในชั่วขณะต่อมา แผ่นหินขัดที่เท้าก็ะเิออก ร่างที่ผอมแห้งก็พุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว ก้าวข้ามระยะทางสิบห้าหมี่ระหว่างทั้งสองคนไปทันที แล้วแสงสีแดงก็ถูกฟาดฟันออกไปอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าท่ามกลางท้องฟ้ายามค่ำคืน!
