ท่าทางอันเ็าและดุร้ายนั้นราวกับเขาเป็คนละคนกับที่นางได้เห็นใน่เวลาสองวันที่อยู่ที่เรือนพักผ่อน เหยาเชียนเชียนยืนแข็งค้างอยู่ที่เดิมชั่วครู่ ก่อนจะรู้สึกเสียใจเล็กน้อยว่าเหตุใดนางถึงมาที่นี่ในเวลานี้
“หวังเฟย” เป่ยเหลียนโม่เพียงเหลือบตามองก็เห็นเงาคนยืนอยู่ที่ประตู เขาจึงทักทายนางอย่างสนิทสนม “เชิญนั่งสิ”
เหยาเชียนเชียนบังคับก้าวเล็กๆ เดินไปอย่างรวดเร็วด้วยความรู้สึกเศร้าหมองในใจ ทันทีที่ผู้คนในเรือนเห็นนางก็ยืนขึ้นและขอตัวออกไปทันที เรือนอันกว้างใหญ่พลันเหลือเพียงพวกเขาสองคน กระทั่งบ่าวไพร่ก็ออกไปเมื่อไรไม่อาจทราบได้
“หม่อมฉันไม่อยากรบกวนท่านอ๋อง หม่อมฉันแค่เดินผ่านมาเท่านั้น หากท่านอ๋องมีธุระสำคัญต้องทำก็ไม่ต้องสนใจหม่อมฉันก็ได้เพคะ”
แค่ปล่อยนางไปก็พอ
“เปิ่นหวังกำลังจะส่งคนไปเชิญหวังเฟยอยู่พอดี” เป่ยเหลียนโม่กล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “แต่หวังเฟยมาพอดี เปิ่นหวังมีเื่จะสนทนากับเ้า”
เหยาเชียนเชียนอยากหนีไปให้สิ้นเื่เหลือเกิน เพียงคาดเดาก็รู้ได้ว่าเขากำลังจะพูดอะไร เดิมทีนางก็ไม่อยากฟังเื่ที่เขาถูกสวมเขาอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออีกฝ่ายเป็องค์ชายสาม องค์ชายสามที่แค่กล่าวถึงก็พร้อมจะะเิได้!
“ตระกูลซ่งคุณธรรมบกพร่อง ถือโอกาสที่เปิ่นหวังไม่อยู่ในนครหลวงลักลอบคบชู้กับผู้อื่น สตรีเช่นนี้เปิ่นหวังไม่กล้าอภิเษกด้วย หวังเฟยคิดเห็นว่าอย่างไรเล่า?”
เป็เช่นนั้น เหยาเชียนเชียนรีบพยักหน้า เดิมทีเป่ยเหลียนโม่ก็ไม่อยากแต่งอยู่แล้ว ยามนี้เกิดเื่เช่นนี้ขึ้นอีก คงไม่เหมาะที่จะกล่าวถึงความ้าของเขา ทว่าในท้ายที่สุดก็สามารถหลีกเลี่ยงการแต่งงานอันน่ารำคาญใจนี้ไปได้
“ร่างกายอันทรงเกียรติของท่านอ๋องไม่อาจรับกับความอัปยศอดสูเช่นนั้นได้ หากเสด็จพ่อทรงถามถึงการแต่งงานครั้งนี้ หม่อมฉันก็จะไม่ยอมให้เกิดขึ้นอย่างแน่นอน”
มุมปากของเป่ยเหลียนโม่ประดับรอยยิ้ม เมื่อนางพูดจบแล้วจึงพยักหน้าอย่างซาบซึ้งใจ
“หวังเฟยเพียบพร้อมไปด้วยสติปัญญา ทว่าสิ่งที่เปิ่นหวังจะพูดไม่ใช่เื่นี้”
หา?
รอยยิ้มจริงใจของเหยาเชียนเชียนหยุดชะงัก หรือว่านางจะคาดเดาทิศทางผิดไป แต่เมื่อครู่เขายังพูดว่าเขาไม่อยากแต่งงานอยู่เลย
“คาดว่ายามนี้เสด็จพ่อคงทราบว่าเปิ่นหวังกลับมาที่จวนแล้ว และอีกไม่นานผู้ส่งสาส์นก็จะมาที่นี่ สิ่งที่เปิ่นหวังอยากให้หวังเฟยทำก็คือแกล้งป่วย”
นี่มัน...แผนอะไรเนี่ย?
เหยาเชียนเชียนรู้สึกว่านี่เป็ครั้งแรกที่นางไม่สามารถคาดเดาความคิดของอีกฝ่ายได้ ในระหว่างที่ร่วมแสดงละครด้วยกันมา นางทำได้ดีมากมาโดยตลอด คงไม่ถึงขั้นที่เขากลัวว่านางจะเป็ตัวถ่วงจึงไม่ยอมให้ขึ้นเวทีแสดงหรอกกระมัง?
“ก่อนหน้านี้ซ่งอีอีกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่านางถูกลอบสังหาร แต่น่าเสียดายที่มือสังหารยอมรับสารภาพแล้ว และไม่มีการสอบปากคำ ไม่มีสัญลักษณ์ใดๆ บนร่างกาย ดังนั้นเื่นี้จึงตกไปอยู่ที่หวังเฟยเป็ธรรมดา”
เหยาเชียนเชียนพยักหน้า นางไม่เข้าใจว่าเหตุใดเขาจึงกล่าวถึงเื่นี้ขึ้นมาอย่างกะทันหัน สองวันมานี้นางรู้สึกมึนงงจนเกือบลืมไปว่านางถูกกล่าวหาและใส่ร้าย จนถึงขั้นที่ว่าทำาเย็นกับชิงผิงอ๋องไปยกหนึ่ง
แต่ทั้งสองเื่นี้มีความเกี่ยวข้องกันหรือ?
นางป่วยและไม่สามารถไปพบฮ่องเต้ได้ เช่นนี้จะสามารถล้างมลทินให้นางที่ถูกกล่าวหาได้แล้วหรือ?
“เสด็จพ่อจะส่งหมอหลวงมาตรวจอาการให้หวังเฟยอย่างแน่นอน ถึงเวลานั้นหวังเฟยแค่กินยาที่ทำโดยห้องเครื่องก็พอ ไม่ว่าอย่างไรหมอหลวงก็ไม่สามารถตรวจพบความผิดปกติได้”
เห็นได้ชัดว่าเป่ยเหลียนโม่ไม่คิดจะอธิบายให้นางฟังอย่างชัดเจน เขาเพียงแค่กำชับนางว่าควรทำอย่างไรบ้าง จากนั้นก็ไม่กล่าวอะไรอีกเลย และปิดจบบทสนทนาครั้งนี้เพียงฝ่ายเดียว
“ท่านอ๋อง มีคนมาจากวังหลวงแจ้งว่าขอเชิญพระองค์และหวังเฟยไปที่วังหลวงพ่ะย่ะค่ะ”
พ่อบ้านแทบจะมาแจ้งข่าวในทันที เป่ยเหลียนโม่มองนางแวบหนึ่ง นัยนั้นคือบอกว่า ‘เ้าสามารถกลับห้องไปนอนได้แล้ว’
อยู่ๆ ก็ได้บทละครที่ตัวเองไม่คุ้นเคย เหยาเชียนเชียนจึงจำต้องทำตามที่ผู้กำกับวางเื่ไว้ โดยในห้องมียาสีดำทะมึนชามหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะ
เหยาเชียนเชียนขมวดคิ้วและเงยหน้าขึ้นเพื่อดื่มมัน นางลอบก่นด่าในใจว่า ‘นี่มันอะไรกัน?’ จากนั้นก็เอนตัวลงบนเตียงและเริ่มแกล้งทำเป็ป่วยตามหน้าที่
ข้าหลวงที่มาส่งสาส์นได้ยินว่าเหยาเชียนเชียนไม่สามารถเดินทางไปด้วยได้ จึงเสี่ยงโดนโทษไม่เคารพโดยการไปเยี่ยมนางที่หน้าประตู ทว่าสุดท้ายเขาจำต้องยอมรับผิดและติดตามเป่ยเหลียนโม่กลับไปที่วังหลวง
ฮ่องเต้กำลังเดินวนไปวนมาอยู่ในห้องทรงพระอักษร เมื่อได้ยินว่าบุตรชายมาถึงแล้วก็ถอนหายใจและเรียกเขาเข้ามา
“ถวายบังคมเสด็จพ่อ”
เป่ยเหลียนโม่คุกเข่าลงอย่างเคารพ ห้องทรงพระอักษรครึกครื้นมากกว่าที่เขาคิด พี่สามของเขาผู้นี้และซ่งอีอีที่เกือบจะได้กลายมาเป็เช่อเฟยของเขาต่างก็คุกเข่าอยู่ด้านข้าง
“ลุกขึ้นเถิด” หลังจากเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น ดูเหมือนว่าฮ่องเต้จะรู้สึกผิดต่อบุตรชายคนนี้ไม่น้อย กระทั่งน้ำเสียงก็อ่อนลงไปหลายส่วน “เ้าคงรู้ทุกอย่างกระจ่างแล้ว วันนี้ที่เรียกพวกเ้ามา เพียงแค่อยากจะกล่าวถึงวิธีการรับมือเท่านั้น”
“ท่านอ๋อง” ซ่งอีอีเดินเข่ามาแทบเท้าของเขา ไม่รู้ว่านางร้องไห้มานานเท่าไรแล้ว ดวงตาทั้งสองข้างบวมราวกับเปลือกเหอเถา [1] “อีอีถูกใส่ร้ายจริงๆ นะเพคะ อีอีไม่เคยทำผิดต่อท่านอ๋องเลยสักครั้ง!”
เป่ยเหลียนโม่เหลือบมองนางอย่างเฉยเมย ริมฝีปากบางเผยอออกเล็กน้อย
“คุณหนูซ่งไม่ต้องทำถูกต่อเปิ่นหวัง เดิมทีก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเปิ่นหวังั้แ่แรก”
ไม่ว่าจะเป็งานแต่งงานที่เขาไม่เคยเก็บมาใส่ใจ หรือไม่ว่าจะเป็สตรีผู้นี้ ก็ล้วนไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขา
ซ่งอีอีใกับสายตาอันเ็าของเขา ไม่ว่านางจะยอมรับหรือไม่ แต่นางก็รู้ว่าเป่ยเหลียนโม่ไม่มีความรักต่อนางแม้แต่น้อย และแม้แต่การแต่งงานครั้งนี้นางก็เป็ฝ่ายออกหน้าอ้อนวอนด้วยตัวเอง
ยามนี้เกิดเื่แบบนี้ขึ้นกับตัวเอง นางอยากอธิบายกับเขาให้ชัดเจน ทว่าสายตาของอีกฝ่ายไร้ซึ่งวี่แววของความโกรธ เขาบอกต่อนางอย่างจริงจังว่าเขาไม่แยแสเื่นี้จริงๆ
นางสามารถทำเื่แบบนี้กับผู้ใดก็ได้ ตราบใดที่เป็ตัวนางเอง มันก็ขึ้นอยู่กับนาง
“ท่านอ๋อง อีอีไม่รู้เื่จริงๆ นะเพคะ” นางร้องไห้จนแทบขาดใจ และคว้าชายอาภรณ์ของเขาไว้ด้วยมืออันสั่นเทา “อีอีถูกใส่ร้าย และแม้แต่องค์ชายสามก็ถูกหลอกใช้เช่นกันเพคะ”
เป่ยเหลียนโม่เตะมือของนางออกไปเบาๆ เขาใช้แรงไม่มาก แต่ราวกับแสงแห่งความหวังในดวงตาของนางถูกเหยียบย่ำ
“คุณหนูซ่งคิดมากเกินไปหรือไม่ ครั้งนี้คงจะไม่กล่าวว่าหวังเฟยของเปิ่นหวังส่งพวกเ้าขึ้นเตียงเดียวกัน ช่วยปลดอาภรณ์ของพวกเ้าออก และยังช่วยห่มผ้าให้พวกเ้าเพื่อใส่ร้ายเ้าและพี่สามอีกกระมัง?”
คำกล่าวนี้ต่อให้เป็ผู้ใดก็ล้วนอับอายกันทั้งสิ้น ซ่งอีอีไม่รู้ว่าตัวเองรู้สึกอับอายหรือว่าโกรธมากกว่ากัน ทว่านางแบกรับความคับข้องใจอันยิ่งใหญ่ที่สุดในใต้หล้าไว้จนสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง
สองประโยคนี้ของชิงผิงอ๋องเดิมเป็เพียงการโยนเกียรติของพวกเขาทั้งสองทิ้งไปและเหยียบย่ำมัน โดยไม่คำนึงว่าจะมีฮ่องเต้อยู่ด้วยหรือไม่ และไม่สนว่าพวกเขาทั้งคู่คนหนึ่งคือบุตรสาวของอัครมหาเสนาบดี และอีกคนหนึ่งคือองค์ชายผู้สูงศักดิ์
“หลายวันก่อนหวังเฟยถูกลอบกัด ถูกผลักตกจากโรงน้ำชา นางทั้งกังวลและหวาดกลัว ทว่าเปิ่นหวังกลับกล่าวอะไรมากไม่ได้เพราะการแต่งงานครั้งนี้ แค่พานางออกจากจวนไปพักผ่อนไม่กี่วันเท่านั้น แต่ทันทีที่เท้าซ้ายย่างเข้าไปในประตู เท้าขวาก็ถูกรั้งเอาไว้เสียก่อน”
เป่ยเหลียนโม่ยิ้มเย้ยหยัน คิ้วและดวงตาของเขาล้วนสื่อถึงการไม่สนใจไยดี
“คุณหนูซ่งทำให้เปิ่นหวังประหลาดใจแล้ว ยามนี้นอกจากแสดงความยินดีกับเ้าและพี่สาม เปิ่นหวังยังจะกล่าวคำใดได้อีก”
เป่ยเหลียนโม่เหลือบมองไปยังเป่ยเซวียนเฉิงที่คุกเข่าอยู่อีกด้านหนึ่ง เขามักเดินไปเดินมาต่อหน้าเหยาเชียนเชียนตลอดทั้งวันและกล่าวถึงอดีตอันจืดชืดเ่าั้ คราวนี้เขาได้ช่วยพี่สามของเขาหาคนมาดูแลปรนนิบัติได้แล้ว
“คุณหนูซ่งกล่าวว่าเ้าคับข้องใจ ถูกผู้อื่นกล่าวหา ทว่าครั้งนี้ต้องเช็ดดวงตาให้กระจ่าง หวังเฟยของเปิ่นหวังยังป่วยอยู่ที่จวน ไม่อาจรับคำก่นด่าจากผู้อื่นได้อีกแล้ว”
ซ่งอีอีพลัดตกจากหลังม้าก็ว่าแย่แล้ว นางยังถูกลอบสังหารอีก ผู้คนต่างคาดเดากันว่าเหยาเชียนเชียนเป็คนร้าย และพากันหัวเราะเยาะที่นางอ้างว่าซ่งอีอีผลักนางตกบันได
ยามนี้ชิงผิงอ๋องพานางไปด้วยกันเพียงไม่กี่วัน คุณหนูซ่งผู้อาภัพกลับทำสิ่งที่น่าอับอายอย่างถึงที่สุดกับองค์ชายสาม หากจะตำหนิว่าเป็ฝีมือของชายาชิงผิงอ๋องอีกก็เกรงว่าจะไร้เหตุผลเกินไปแล้ว
“ท่านอ๋อง อีอีมีรักให้ท่านอ๋องอย่างลึกซึ้ง และจะไม่มีวันทำเื่ที่ไร้ยางอายเช่นนี้เด็ดขาดเพคะ” นางลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ สายตาของนางมองไปที่เสาสีแดงภายในห้อง
“หากท่านอ๋องไม่เชื่อ อีอีก็ทำได้แค่พิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเองด้วยร่างกายที่แหลกสลายเพคะ!”
นางตั้งท่าจะพุ่งชน ทว่าเป่ยเหลียนโม่กลับหัวเราะเบาๆ และยื่นมือออกไปหยุดข้าหลวงที่กำลังจะก้าวเข้าไป ส่วนเขาก็ถอยออกไปสองก้าวเพื่อหลีกทางให้นาง
“การกระทำนี้ของคุณหนูซ่งไม่ใช่ว่าไม่สามารถทำได้ แต่เมื่อเื่นี้ถูกสืบสวนได้ชัดเจนแล้ว ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็อย่างไร เปิ่นหวังก็จะมอบหมายให้คนทำลายข่าวนี้ให้คุณหนูซ่ง”
สองมือของซ่งอีอีตกลงข้างตัวและกำชายอาภรณ์ไว้แน่น ภายในห้องทรงพระอักษรแห่งนี้มีคนไม่ต่ำกว่าเจ็ดถึงแปดคน แต่ไม่มีผู้ใดเข้ามาหยุดนางเลยหรือ?
ฮ่องเต้กระแอมไอเล็กน้อย และสั่งให้ข้าหลวงเข้าไปหยุดยั้งไว้ คลายความอัดอั้นของซ่งอีอีที่ไม่สามารถลงจากหลังเสือได้ในที่สุด
“เื่นี้มีจุดน่าสงสัยหลายจุด วันนี้เจิ้นเรียกพวกเ้ามาที่นี่ไม่ใช่เพื่อสังหารผู้ใด แต่เนื่องจากงานอภิเษกสมรสถูกกำหนดไว้แล้วและวันก็ใกล้เข้ามาถึงเต็มที ดังนั้นเื่นี้จะต้องออกราชโองการโดยเร็วที่สุด”
ราชโองการถูกประกาศออกไปแล้วและไม่สามารถแก้ไขได้โดยง่าย กล่าวอีกนัยหนึ่งคือนางยังสามารถแต่งเข้าจวนชิงผิงอ๋องได้ ดวงตาของซ่งอีอีเป็ประกาย แต่ยังไม่ทันได้เอ่ยปากก็ได้ยินเป่ยเหลียนโม่กล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยขึ้นมาเสียก่อน
“เสด็จพ่ออยากให้ผู้คนในใต้หล้าเล่าลือกันว่าลูกและพี่สามมีสตรีที่พี่น้องรักอย่างลึกซึ้ง กระทั่งไม่ต้องแยกแยะว่าเป็เช่อเฟยของผู้ใดหรือ คุณหนูซ่งคนเดียวปรนนิบัติสามีทั้งสองคน วิ่งเต้นจนเหนื่อยล้า หากในอนาคตมีครรภ์ ลูกกับพี่สามต้องทำการละเล่นไชเฉวียน [2] เพื่อตกลงกันหรือไม่?”
“เ้า!"
ฮ่องเต้ขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจกับคำพูดที่ทั้งตรงไปตรงมาและไม่น่าฟังของเขา ‘ไม่แยกแยะของผู้ใด วิ่งเต้นจนเหนื่อยล้า’ เช่นนั้นหรือ ช่าง...ช่างแสลงหูเหลือเกิน!
“ท่านอ๋อง!”
ซ่งอีอีกรีดร้องอย่างเ็ป “เหตุใดท่านอ๋องถึงต้องทำให้หม่อมฉันอับอายถึงเพียงนี้ ถึงอย่างไรอีอีก็ถูกอบรมโดยปราชญ์ ท่านอ๋องไม่แยกแยะถูกผิด เพียงฟังข่าวลือของผู้อื่นและนำคำนั้นมาตัดสินโทษอีอี พระองค์ไม่ทรงคิดว่ามันไม่ยุติธรรมกับอีอีหรือเพคะ?"
เป่ยเหลียนโม่ระงับร่องรอยความอบอุ่นสุดท้ายในดวงตาลงไปและกดสายตาลงมองไปที่นาง ราวกับว่าในดวงตาคู่นั้นนางเป็เพียงตัวตลกที่เต้นแร้งเต้นกาและทำตัวฉลาดอย่างน่าขัน แต่ในความเป็จริงนั้นนางทิ้งใบหน้าของตนไปจนหมดแล้ว
“หวังเฟยของเปิ่นหวังก็เป็ทุกข์เพราะข่าวลือเ่าั้เหมือนกันมิใช่หรือ? ไฉนถึงยังมีคนกล่าวถึงความยุติธรรมกับนางอีก ในโลกนี้มีคนมากมายที่ไม่แยกแยะถูกผิด คุณหนูซ่งน่าจะรู้ดีกว่าเปิ่นหวัง ชื่อเสียงฉาวโฉ่ที่สะสมอยู่ที่ตัวหวังเฟยมาจากที่ใดกันเล่า?”
เขาค่อยๆ เดินไปอยู่ตรงหน้าของซ่งอีอีซึ่งเหม่อไปแล้ว ก่อนจะกระซิบข้างหูนางด้วยเสียงที่เบาจนแทบไม่ได้ยินว่า
“ว่ากันว่านำความอัปยศมาสู่ตนเอง คาดว่าคุณหนูซ่งก็ไม่ได้ฉลาดมากนัก ครั้งนี้ถือเป็การตักเตือนเล็กๆ น้อยๆ จากเปิ่นหวัง ครั้งหน้าจะไม่อ่อนโยนเช่นนี้อีกแล้ว”
เขาใช้ความบริสุทธิ์ของตนวาดเป็คำเตือนเล็กๆ อย่างสบายๆ นางไม่มีความหมายใดในสายตาของเขาเลย กระทั่งที่เทียบกับแมวหรือสุนัขสักตัวก็ยังไม่ได้ แม้แต่โอกาสที่จะกระดิกหางประจบประแจงเขาก็ยังไม่มีเลยด้วยซ้ำ
ในดวงตาสีดำสนิทคู่นั้น ความหนาวเหน็บถึงขั้วกระดูกเป็เหมือนตาข่ายที่ปกคลุมไปทั่วทุกพื้นที่ ทำให้นางไม่มีโอกาสจะะโแม้แต่น้อย เป็สิ่งที่พันธนาการนางไว้ในนั้น ข้างใบหูราวกับเต็มไปด้วยคำพูดเหยียดหยามของเขา
เป่ยเหลียนโม่ทั้งรังเกียจและเกลียดชัง ในสายตาของเขานางเทียบไม่ได้กับคนแปลกหน้าที่เดินผ่านไปด้วยซ้ำ
“ในเมื่อคุณหนูซ่งและพี่สามต้องใจกัน เปิ่นหวังและเสด็จพ่อก็ไม่อยากตีนกยวนยางเช่นกัน [3]” เป่ยเหลียนโม่ยิ้มอย่างสบายๆ “มิสู้ส่งเสริมเื่นี้ไปเสีย ให้ข้างกายพี่สามได้มีคนห่วงใยที่รู้ใจสักคน”
เชิงอรรถ
[1] เหอเถา หมายถึง วอลนัต
[2] ไชเฉวียน หมายถึง การเล่นเป่ายิงฉุบ
[3] ตีนกยวนยาง หมายถึง การแยกสามีภรรยาหรือคู่รักที่รักใคร่กันดีให้ออกห่างจากกัน
