การดำรงอยู่ของบุปผางามอาบพิษเป็สิ่งที่ตัดสินชะตาชีวิตของทุกคน
ดังนั้นทุกคนจึงให้ความสนใจกับเื่นี้เป็พิเศษ
ไม่มีใครสงสัยในคำพูดของซูฟั่งจู๋ เพราะในสถานการณ์แบบนี้คงไม่มีใครกล้าพูดโกหกออกมา
เมื่อเห็นว่าทุกคนกำลังมองมาที่ตัวเอง ซูฟั่งจู๋จึงพูดช้าๆ “มีจำนวนสิบแปดดอก!”
ทุกคนใในตอนแรก จากนั้นพวกเขาก็แสดงความยินดีออกมา
พวกเขากำจัดไปสิบห้าดอกจากสิบแปดดอกแล้ว ซึ่งหมายความว่าเหลือเพียงสามดอกเท่านั้น
และหากสามารถกำจัดทั้งสามดอกที่เหลือให้หมดไปได้ ก็หมายความว่าพวกเขาจะสามารถยับยั้งการกำเนิดของขุนพลอสูรได้อย่างสมบูรณ์
สามดอกหรือ จำนวนเล็กน้อยนี้ทำให้พวกเขามีกำลังใจขึ้นมา
“สามดอก ถือว่าเป็จำนวนที่ไม่มาก” เติ้งจื่อเฉินพูดอย่างเ็า “แต่สามดอกที่เหลือนี้อยู่ที่ไหน ท่านรู้หรือไม่”
ซูฟั่งจู๋กล่าวว่า “พวกเราสามารถส่งคนออกไปตามหาได้”
“ตลกแล้ว!” เติ้งจื่อเฉินพูด
“ท่านทำท่าทางเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?” ซูฟั่งจู๋กรุ่นโกรธ
เติ้งจื่อเฉินยิ้มเย็นและพูดว่า “ข้าทำท่าทางเช่นนี้แล้วเ้าจะทำไม ก็ความคิดของเ้ามันไร้สาระ”
ทันใดนั้น ซูฟั่งจู๋ก็พุ่งตัวออกมาด้วยความอาฆาต มือของเขากำหมัดแน่น
“ฮึ่ย!”
เติ้งจื่อเฉินมองไปที่ซูฟั่งจู๋และพูดเหยียดหยาม “ทำไม ข้าพูดความจริงแค่นี้ เ้าถึงกับร้อนใจเลยหรือ มิน่าอาจารย์ของข้าถึงพูดว่าให้ข้าเลิกกังวลเื่ของเ้า เพราะอย่างไรเ้าก็ไม่มีทางประสบความสำเร็จในอนาคต”
หากเติ้งจื่อเฉินพูดประโยคนี้กับคนอื่น คนคนนั้นคงะเิอารมณ์ไปแล้ว
แต่ซูฟั่งจู๋ที่ตอนแรกโกรธเกรี้ยวกลับค่อยๆ สงบสติอารมณ์ของตนเองลง อาจารย์ของเขาเคยเตือนว่า หากจะกระทำเื่ใดใจต้องนิ่งเสียก่อน
“ขอให้ท่านบอกข้าทีว่าที่ข้าพูดมันไร้สาระตรงไหน” ซูฟั่งจู๋พูดออกมาด้วยน้ำเสียงสุขุม
“เห็นแก่ประโยคก่อนหน้านี้ ข้าจะบอกให้นิดหน่อยแล้วกัน” เติ้งจื่อเฉินเอียงศีรษะและพูดอย่างเหยียดหยามว่า “เ้าคิดว่าเราจะสามารถกำจัดขุนพลอสูรได้ง่ายๆ เช่นนั้นหรือ เห็นได้ชัดว่ามันไม่ง่ายเลยที่จะเจอบุปผางามอาบพิษที่เหลืออยู่ ก่อนหน้านี้พวกเราได้ตามหาบุปผางามอาบพิษไปทั่วแล้ว แต่ก็ยังไม่พบ แสดงว่าตำแหน่งของบุปผางามอาบพิษที่หลงเหลืออยู่ต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน ดังนั้นการที่เ้าจะให้ทุกคนออกไปตามหาอีกครั้ง เ้าไม่คิดว่ามันน่าขันหรือ และหากตามหาจนพบแล้ว เ้าจะแน่ใจได้อย่างไรบุปผางามอาบพิษที่เหลือจะไม่มีพลังรุนแรง เ้าก็เห็นว่าตอนนี้พลังของบุปผางามหนึ่งดอก สามารถดูดซับพลังภายในของมนุษย์ และเปลี่ยนให้มนุษย์คนนั้นกลายเป็นักรบปีศาจได้ เมื่อเป็เช่นนี้เ้ายังจะส่งคนออกไปตามหาอีกหรือ ข้าคิดว่าหากเ้ายังยืนยันคำเดิม เช่นนั้นก็คงหมายความว่าเ้าอยากให้พวกเราไปตายและกลายเป็นักรบปีศาจแล้ว”
สีหน้าของซูฟั่งจู๋เคร่งขรึมลง “เช่นนั้นเ้าจะทำอย่างไร”
“ข้าคิดว่าถ้าเราจะต้องลงมือจริงๆ เราก็ต้องเลือกคนที่สามารถต้านทานการดูดกลืนพลังของบุปผางามอาบพิษได้” เติ้งจื่อเฉินกล่าว
“โง่! ไร้สมอง!” ซูฟั่งจู๋ตอบกลับด้วยคำพูดเสียดสี “เ้าเคยคิดหรือไม่ว่าเหลือเวลาอีกเท่าไรก่อนที่ขุนพลอสูรจะกำเนิดขึ้น หากเราเอาแต่ค้นหาว่าใครที่มีพลังมากพอจะต้านทานมันได้ แล้วในเวลาที่เรากำลังค้นหาคนคนนั้นอยู่ กลับเปิดโอกาสให้บุปผางามอาบพิษรวบรวมพลังจนเกิดเป็ขุนพลอสูรขึ้นมาได้ พวกเราจะทำอย่างไร ถึงตอนนั้นพวกเราจะไม่ตายกันหมดหรือ”
เติ้งจื่อเฉินะโ “อย่างน้อยก็ดีกว่าความคิดไร้สมองของเ้า”
“เ้าสิที่ไร้สมอง”
ทั้งสองเริ่มโต้เถียงกัน
ซึ่งบรรยากาศก็เต็มไปด้วยความดุเดือด
เดิมทีผู้คนส่วนใหญ่รู้ว่าสองคนนี้มีพลังแข็งแกร่งที่สุดในรุ่นของพวกเขา นอกจากนี้ยังทั้งสูงและสง่างาม แต่พวกเขาก็ไม่คาดคิดมาก่อนว่าทั้งสองจะปากร้ายเช่นนี้
หลัวเลี่ยพูดไม่ออก
มันวุ่นวายไปหมด
ใน่เวลาที่สำคัญเช่นนี้ ทั้งสองกลับลืมจุดประสงค์แรกที่เกี่ยวกับเื่ขุนพลอสูร และเริ่มโต้เถียงกัน
นอกจากนี้เรายังเห็นได้ว่าการต่อสู้ระหว่างเจี่ยงจื่อหยาและเหวินจง ซึ่งเป็ที่รู้จักในฐานะผู้มีพร์ที่น่าทึ่งที่สุดในรอบสหัสวรรษนั้นดุเดือดเพียงใด
ในตอนที่หลัวเลี่ยกำลังจะคิดหาวิธีไปตามทางของตนเอง ทันใดนั้นมู่เจี้ยนเฟยก็พูดขึ้น
เมื่อเปรียบเทียบหลัวเลี่ยกับซูฟั่งจู๋และเติ้งจื่อเฉินแล้ว มู่เจี้ยนเฟยก็ยังคงระมัดระวัง รวมทั้งกังวลเื่ภูมิหลังและความสามารถของซูฟั่งจู๋และเติ้งจื่อเฉินมากกว่า
“ท่านสองคน ข้ามีข้อเสนอแนะ” มู่เจี้ยนเฟยกล่าว
ทั้งซูฟั่งจู๋และเติ้งจื่อเฉินเป็คนฉลาด เมื่อพวกเขาได้เห็นสายตาแปลกๆ จากผู้คนที่อยู่รอบกาย ในที่สุดพวกเขาก็หยุดโต้เถียงกัน
“พี่มู่ เชิญท่านพูด” ซูฟั่งจู๋พูด
“ข้าคิดว่าคนที่เก่งกาจจริงๆ ไม่อาจตัดสินโดยผิวเผินได้ และแม้แต่ในกลุ่มคนทั้งหมดที่มารวมกันอยู่ ณ ที่แห่งนี้ก็อาจมีอัจฉริยะซ่อนอยู่ก็เป็ได้ ดังนั้นข้าจึงอยากให้เหล่าอัจฉริยะทั้งหลายร่วมมือกันในสถานการณ์ที่อันตรายเช่นนี้” มู่เจี้ยนเฟยกล่าว
คำกล่าวนี้ของเขาทำให้ผู้คนตาเป็ประกาย
แม้แต่หลัวเลี่ยก็อดไม่ได้ที่จะมองไปยังกลุ่มคนที่ดูโดดเด่นกลุ่มหนึ่ง
ณ ที่แห่งนี้ ผู้คนนับแสนกระจัดกระจายรวมตัวอยู่กันเป็กลุ่มๆ แต่มีเพียงพื้นที่เดียวเท่านั้นที่มีกลุ่มคนลักษณะคล้ายผีเสื้อแห่งรักรวมตัวกันอยู่ นอกจากนี้พวกเขายังดูลึกลับกว่าผีเสื้อแห่งรักมาก เพราะแม้แต่ชื่อที่โดยปกติจะปรากฏอยู่บนหัวของพวกเขา ตอนนี้กลับถูกหมอกบดบังซ่อนเอาไว้ ซึ่งการปิดบังในลักษณะเช่นนี้นับว่าเป็สิ่งที่ไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง
หลังจากคำพูดนั้น ซูฟั่งจู๋และเติ้งจื่อเฉินก็มองหน้ากัน จากนั้นพวกเขาก็สบถ ’เฮอะ’ ด้วยน้ำเสียงเ็าออกมาหนึ่งคำ ถึงแม้จะไม่พอใจ แต่พวกเขาก็ไม่ได้ปฏิเสธข้อเสนอของมู่เจี้ยนเฟย
มู่เจี้ยนเฟยแอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก จากนั้นเขาก็เดินตรงมายังกลุ่มคนโดดเด่นนั้นและโค้งคำนับ “ทุกท่าน บัดนี้ขุนพลอสูรก็ใกล้ปรากฏตัวแล้ว และหากขุนพลอสูรมาที่นี่จริง ถึงตอนนั้นที่แห่งนี้ต้องมีาเกิดขึ้นแน่ ซึ่งที่นี่ในตอนนี้แม้แต่เทพก็ไม่อาจเข้ามาช่วยพวกเราได้ ดังนั้นข้าขอร้องพวกท่านให้ช่วยพวกเราด้วยเถิด”
ในความเป็จริงหลัวเลี่ยมองเห็นคนกลุ่มนี้ได้ชัดเจนมาก
พวกเขากลัวความตายไหมน่ะหรือ?
กลัวสิ!
แต่หลัวเลี่ยรู้ว่าพวกเขาจะไม่ตายอย่างแน่นอน
เพราะพวกเขาก็รู้ดีว่าบุปผางามอาบพิษไม่สามารถดูดพลังของพวกเขาได้ และแม้ว่าขุนพลอสูรจะมาถึงโลกนี้แล้ว แต่ถ้าพวกเขากำจัดขุนพลอสูรได้หมดแล้วจะเป็อย่างไร? เพราะต่อให้กำจัดหมด ประตูที่เชื่อมระหว่างภพจิตัและโลกเื้ัก็ยังไม่เปิดอยู่ดี
ยิ่งไปกว่านั้น บางคนในกลุ่มพวกเขาเมื่อได้ยินประโยคนั้นแล้ว พวกเขากลับมีท่าทางหยิ่งยโสมากขึ้นกว่าเดิม นอกจากนี้พวกเขายังดูไม่ได้สนใจขุนพลอสูรในตำนานมากนัก แต่ตอนนี้พวกเขาก็เริ่มสนใจเื่นี้ เพราะหากพวกเขาสามารถฆ่าขุนพลอสูรได้ ก็เท่ากับเป็การพิสูจน์ได้ว่าตัวเองแข็งแกร่งเพียงใด
เรียกได้ว่าเป็ความคิดที่คำนึงถึงตัวเองเป็ส่วนใหญ่
ผู้ที่เป็อัจฉริยะยังคงภูมิใจ
แต่พวกเขาไม่เคยคิดเลยว่ามีคนที่ไม่ใช่อัจฉริยะจำนวนเกือบล้านคนยังมีชีวิตอยู่
หลัวเลี่ยไม่ชอบคนประเภทนี้อยู่แล้ว
แม้ว่าเขาจะไม่ใช่วีรบุรุษ แต่เขาก็ไม่ใช่คนเืเย็นอย่างแน่นอน
หลังจากที่มู่เจี้ยนเฟยพูดจนจบ การตอบสนองของเขาคือความเงียบ
ไม่มีใครตอบ
การตอบสนองเช่นนี้ทำให้มู่เจี้นเฟยขมขื่นยิ่ง เขาอยากจะสบถออกมาเป็บ้า แต่เขาก็ไม่สามารถทำได้ เพราะแม้ว่าเขาจะภูมิใจในตัวเอง แต่เขาก็ยังกลัวภูมิหลังของคนพวกนี้อยู่
มู่เจี้ยนเฟยได้แต่อดทนและพูดต่อไป
หลังจากที่มู่เจี้ยนเฟยเกลี้ยกล่อมอยู่เป็เวลาเกือบหนึ่งเค่อ ในที่สุดก็มีคนยืนขึ้นอย่างช้าๆ
“เพื่อทุกๆ คน ข้าขอร่วมด้วย”
ชายคนนี้เดินออกมาจากฝูงชน หมอกบนร่างของเขาจางหายไป เผยให้เห็นร่างที่แท้จริงของเขา
เขาเป็ชายหนุ่มที่ค่อนข้างผอม
หลังจากที่บุคคลนี้ปรากฏตัวขึ้น เติ้งจื่อเฉินก็จำเขาได้ในทันที เติ้งจื่อเฉินขมวดคิ้วและพูดว่า “เฟ้ยเชียน?”
เฟ้ยเชียนเป็ศิษย์ของตระกูลเฟ้ยซึ่งเป็ตระกูลใหญ่ในอาณาจักรโจว และเขายังถือว่าเป็อัจฉริยะคนหนึ่งที่มีชื่อเสียงในอาณาจักรโจวอีกด้วย
“เป็ข้าเอง เฟ้ยเชียนจากตระกูลเฟ้ยแห่งอาณาจักรโจว!” เฟ้ยเชียนพูดเสียงดัง “พี่เติ้ง พวกเราไม่ได้เจอกันมาเกือบหนึ่งปีได้แล้ว ฮ่าๆ ข้าไปฝึกข้างนอกเพิ่งกลับเข้ามาที่นี่ ตอนแรกที่ข้าเข้ามาที่นี่ก็เพื่อเก็บไอพลังจากนักรบปีศาจ”
ขณะที่พูดคุย เขาก็หันมาหาหลัวเลี่ยและคนอื่นๆ
เติ้งจื่อเฉินกล่าวว่า “อย่าพูดอ้อมค้อมอีกเลย บอกข้ามาว่าเ้ามีวิธีอย่างไรบ้าง เฟ้ยเชียน ข้ารู้ว่าเ้ามีน้ำใจ”
“ข้ามีวิธีหนึ่ง แต่มีเพียงคนคนเดียวเท่านั้นที่จะทำได้” เฟ้ยเชียนกล่าว
“ใคร?” เติ้งจื่อเฉินถาม
เฟ้ยเชียนชี้ไปที่หลัวเลี่ย ”เขา!”
ทุกคนต่างมองไปที่หลัวเลี่ยอย่างพร้อมเพรียงกัน
หลัวเลี่ยก็ค่อนข้างประหลาดใจเช่นกัน “ข้า?”
“ใช่ เป็เ้า” เฟ้ยเชียนพูด “และสิ่งที่เ้าต้องทำก็คือ...” ขณะที่เขากำลังพูด และทุกคนกำลังเงี่ยหูฟัง ทันใดนั้นเองลำแสงเย็นวาบในมือของเฟ้ยเชียนก็แทงเข้าที่หน้าอกของหลัวเลี่ย
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้