เมื่อเหยียนอู๋อวี้ได้ยินข่าวนี้แล้ว นางทำได้เพียงถอนหายใจ
แม้องค์หญิงใหญ่และไทเฮาจะมีอำนาจ ทว่ายังไม่เพียงพอในการปกครอง
คนหนึ่งถูกเลี้ยงดูมาอยู่ในวังหลวง มีการแต่งกายที่งดงาม ไม่เคยคิดสิ่งใดเลยนอกจากการแย่งชิงอำนาจ
ส่วนอีกคนหนึ่งแม้เป็เพียงนางกำนัลไต่เต้าจนนั่งตำแหน่งไทเฮา ทว่าคนธรรมดาๆ จะมีความรู้ได้เพียงใด แม้ว่านางจะติดตามอดีตฮ่องเต้มาหลายปี และครองอำนาจฝ่ายในมานาน สุดท้ายก็ไม่อาจละทิ้งชาติกำเนิดของนาง ชาติกำเนิดของนางเป็ตัวกำหนดความรู้และความคิดของนาง
ทั้งสองคนกำลังต่อสู้เพื่อแย่งชิงอำนาจ และไม่มีผู้ใดคิดถึงปัญหาที่สำคัญที่สุด
ประชาชนจะทำอย่างไร?
ประชาชนเป็รากฐานของแคว้น ทว่าพวกเขากลับถูกละเลย สุดท้ายเกรงว่าจะนำไปสู่ภัยพิบัติร้ายแรง
ป้าโฉ่วพูดเบาๆ “บ่าวได้อ่านข้อมูลทั้งหมดที่ใต้เท้าโจวส่งมาให้เมื่อไม่กี่วันก่อนแล้วเ้าค่ะ”
เหยียนอู๋อวี้มองไปที่นางและถามเสียงแ่เบา “มีมาตรการรับมือหรือไม่?”
ป้าโฉ่วเป็ผู้สืบเชื้อสายจากหุบเขาหลิงอี โดยมีทักษะการแพทย์สูงส่ง ซึ่งไม่ด้อยไปกว่าซางจือิอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนไทเฮาทรงสั่งให้ซางจือิหาวิธีจัดการกับโรคระบาด ทว่าไม่มีมาตรการรับมือใดๆ ยิ่งคนอื่นในสำนักหมอหลวงต่างหมดสิ้นหนทาง ทุกคนต่างความตื่นตระหนกและกังวลใจมากยิ่งขึ้น
เหยียนอู๋อวี้ทำได้เพียงฝากเื่นี้ไว้กับป้าโฉ่ว ซึ่งเหยียนอู๋อวี้มีความเชื่อมั่นอย่างมาก
ป้าโฉ่วไม่ทำให้นางผิดหวัง และพูดว่า “พอจะมีเทียบยาเ้าค่ะ” จากนั้นนางบอกเทียบยารักษานั้นอีกครั้ง และถามว่า “เช่นนั้นพวกเราจะแจกจ่ายให้ชาวบ้านได้อย่างไร?”
เหยียนอู๋อวี้จำเทียบยาเหล่านี้พูดพลางแย้มยิ้ม “ย่อมต้องเป็พระราชโองการของฝ่าาสิ”
ป้าโฉ่วใ “นายหญิงอยากช่วยเขาหรือเ้าคะ?”
เหยียนอู๋อวี้พยักหน้า “ไทเฮาไม่สามารถเป็ใหญ่เพียงคนเดียวได้ แม้มีซ่งอี้หาน ทว่าตอนนี้ไม่น่าจะเป็ไปได้ อำนาจขององค์หญิงใหญ่ไม่สามารถเอาชนะไทเฮาได้ ไม่ช้าก็เร็วคงจะถูกไทเฮากำจัด ตอนนี้ซ่งอี้เฉินเต็มไปด้วยความทะเยอทะยาน หากช่วยเขาแล้วจะทำให้ไทเฮากลัดกลุ้ม บุตรชายที่ไม่นึกถึงมารดา กลับไม่รู้ว่ามารดาจะคิดถึงบุตรชายหรือไม่?”
ป้าโฉ่วยังคงแสดงท่าทางไม่ค่อยรู้เื่ ทว่าเหยียนอู๋อวี้กลับแย้มยิ้มแล้วพูดว่า “ตามข้าไปที่ห้องเครื่องตุ๋นรังนก และต้องส่งรังนกนั้นไปให้ฝ่าา”
ป้าโฉ่วรีบพยักหน้าและเดินตามหลังไป โดยรู้สึกสงสัยบางอย่างอยู่ในใจ
คำพูดทุกประโยคของเหยียนอู๋อวี้ล้วนเกี่ยวข้องกับการวางแผนเพื่อบรรลุเป้าหมาย สุดท้ายแล้วก็ยังทำเพื่อประชาชน
ประชาชนทุกข์ยาก บ้านเมืองก็ยากเข็ญ
เป็ความจริงที่นาง้าแก้แค้น ทว่าท้ายที่สุดจะทนปล่อยให้ประชาชนต้องทนทุกข์ทรมานไม่ได้
หากนางบอกเทียบยานี้ไป ต้องทำให้ผู้อื่นสงสัยเป็แน่ เมื่อถึงเวลานั้นแล้วนางจะรับมืออย่างไร?
ป้าโฉ่วรู้ว่า ตนเองต้องขจัดอันตรายที่ซ่อนอยู่นี้
......
“ปัง......” แท่นฝนหมึกตกลงบนพื้น น้ำหมึกข้างในสาดกระเซ็นเปื้อนไปทั่ว ทว่าไม่ได้มืดมนเท่ากับใบหน้าของซ่งอี้เฉิน
“ล้วนแต่มีแค่ตำแหน่ง สุดท้ายก็ทำอันใดไม่ได้เลย!” ซ่งอี้เฉินชี้ไปฎีกาบนโต๊ะด้วยความโกรธอย่างมาก “ไม่สนใจความปลอดภัยของประชาชน ยังถูกสตรีสองคนยุยง มัวแต่สนใจกล่าวหาโจมตีฝ่ายตรงข้าม ชาวบ้านเสียชีวิตมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกคนต่างปัดความรับผิดชอบ พวกสารเลว ล้วนเป็พวกสารเลวทั้งนั้น......”
นางกำนัลและขันทีที่อยู่ด้านข้างต่างยืนนิ่ง แม้ร่างกายและใบหน้าของพวกเขาจะเปื้อนหมึก ทว่าสีหน้ายังคงไม่เปลี่ยนแปลงราวกับรูปปั้นที่หายใจได้
พวกเขาคุ้นชินกับเหตุการณ์แบบนี้มานานแล้ว ผู้ที่นั่งอยู่้าคือฮ่องเต้ผู้มีอำนาจสูงสุด ซึ่งอำนาจในมือของเขาอาจสังหารพวกเขาราวกับฆ่ามดปลวกเท่านั้น ทว่าไม่มีขุนนางในราชสำนักคนใดที่เขาลงมือจัดการได้
ฝ่าาทำมาถึงขั้นนี้แล้ว จะพูดว่าไม่น่าสงสารได้อย่างไร!
เมื่อเว่ยหรูไห่เห็นหลวี่เหลียงฝู่ส่งสัญญาณมือมาที่ตน จึงถอยออกไปอย่างเงียบๆ และถามว่า “เกิดอันใดขึ้น ตื่นตระหนกถึงเพียงนี้ ไม่เห็นหรือว่าฝ่าากำลังกริ้วเป็ฟืนเป็ไฟ หากปะทุขึ้นมา พวกเราก็หนีไม่พ้น!”
หลวี่เหลียงฝู่แย้มยิ้มอย่างเอาใจแล้วพูดว่า “พ่อบุญธรรม ถ้ามีคนมาหาเื่ใส่ตัวจุดไฟเผาตัวเอง ก็ยังดีกว่าเผาพวกเราไม่ใช่หรือ?”
เว่ยหรูไห่ถามด้วยความประหลาดใจ “ผู้ใดมาที่นี่หรือ? ช่างโชคร้ายเพียงนี้ ไม่รู้ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่”
หลวี่เหลียงฝู่กระซิบ “สนมที่มาจากตำหนักเฟิ่งชัย”
เมื่อเว่ยหรูไห่ได้ยินยกยิ้มแปลกๆ และพูดว่า "ที่แท้ก็เป็นายหญิงผู้นั้น น่าจะยับยั้งอารมร์พระองค์ได้” จากนั้นถามหลวี่เหลียงฝู่ “นางอยู่ที่ใด?”
“รออยู่นอกประตูตำหนัก!” หลวี่เหลียงฝู่ตอบทันที เมื่อเห็นเว่ยหรูไห่เดินไปข้างหน้า หยิบวัตถุสีเหลืองขาวในแขนเสื้อไปที่หน้าอกอย่างเงียบๆ รู้สึกว่าทุกอย่างปลอดภัยแน่นอน
เว่ยหรูไห่เดินอย่างรวดเร็ว แม้จะรู้สึกยินดีอยู่ในใจ ทว่าไม่กล้าพูดสิ่งใดออกมา เพียงแสดงสีหน้าที่เป็กังวลแล้วทูลว่า “เหยียนฉายเหรินช้าก่อน ตอนนี้ฮ่องเต้ทรงอารมณ์ไม่ดี เข้าไปไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ”
เหยียนอู๋อวี้แย้มยิ้มเล็กน้อยและพูดเบาๆ ว่า “่นี้ฮ่องเต้เป็อย่างไรบ้าง? เราตุ๋นรังนกสำหรับบำรุงร่างกายให้ฝ่าา”
เว่ยหรูไห่พูดอย่างร้อนใจ “เข้าไปไม่ได้ ฮ่องเต้กำลังกริ้วและขว้างปาแท่นหมึกจนแตก หากเหยียนฉายเหรินส่งรังนกเข้าไป เกรงว่าแม้แต่รังนกก็จะถูกทำลายไปด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
เหยียนอู๋อวี้ทำเหมือนไม่ได้ยินคำบอกใบ้ของเว่ยหรูไห่ ทว่านางยังแย้มยิ้มและพูดว่า “ฝ่าาทรงกริ้ว ข้าก็ควรปลอบใจพระองค์ หากทรงกริ้วจนพระวรกายเจ็บป่วยคงจะไม่ดีกระมัง”
นางมีนิสัยเหมือนกับอวิ๋นฮองเฮาในตอนนั้นจริงๆ เว่ยหรูไห่ดูถูกความไม่รู้จักกำลังตนของนางอยู่ในใจ จึงตักเตือนนางแบบนั้น นับเป็น้ำใจตอบแทนที่นางดีกับตนเองอยู่เป็ประจำ นางเองไม่เข้าใจคำใบ้นี้ หรือบางทีนางอาจไม่เห็นคุณค่า เช่นนั้นก็ไม่อาจโทษตนได้
เว่ยหรูไห่จึงพูดอย่างช่วยไม่ได้ “เช่นนั้นฉายเหรินโปรดรอเดี๋ยว บ่าวไปทูลฝ่าาก่อน”
เหยียนอู๋อวี้แย้มยิ้มพลางพยักหน้า จากนั้นเว่ยหรูไห่จึงเดินเข้าไปรายงาน ตอนแรกซ่งอี้เฉินไม่้าพบนาง ทว่าเมื่อคิดแล้วจึงสั่งให้เว่ยหรูไห่ที่เดินไปครึ่งทางหันกลับมาและสั่งให้เหยียนอู๋อวี้เข้าเฝ้าได้
เว่ยหรูไห่มองเหยียนอู๋อวี้ด้วยความสงสารและพานางเข้าไป จากนั้นเหยียนอู๋อวี้จึงตัดสินใจพูดว่า “ทุกคนโปรดออกไปให้หมดเถิด เราอยู่รับใช้ฝ่าาที่นี่พอแล้ว”
เมื่อเว่ยหรูไห่เห็นซ่งอี้เฉินพยักหน้าจึงพาทุกคนออกไป เหลือเพียงเหยียนอู๋อวี้กับบ่าวรับใช้ไว้
เหยียนอู๋อวี้เหลือบมองเศษของแท่นหมึกบนพื้นแล้วหัวเราะเบาๆ “หากฝ่าาไม่ชอบแท่นหมึกล้ำค่านี้ พระองค์สามารถมอบให้หม่อมฉันได้ พระองค์ทุบมันแตกช่างน่าเสียดายยิ่งนัก หากขายให้เหล่าขุนนาง ยังสามารถแลกอาหารเพื่อช่วยชาวบ้านได้บ้าง”
ดวงตาซ่งอี้เฉินหม่นหมอง มองท่าทางสงบใจเย็นของนางโดยไม่พูดสิ่งใด
เหยียนอู๋อวี้หยิบรังนกจากมือป้าโฉ่ววางไว้ข้างหน้าซ่งอี้เฉินแล้วทูลเสียงเบาว่า “ฝ่าาเพคะ โปรดระงับโทสะไว้ก่อน ดื่มรังนกแล้ว อย่าทุบทำลายข้าวของ หากฝ่าาทรงไม่อยากดื่มก็มอบให้ขุนนางเพื่อแลกกับอาหารได้ และยังช่วยเหลือประชาชนได้อีกด้วย”
ซ่งอี้เฉินจับขอบถ้วยรังนก ทว่าดวงตาของเขายังคงไม่เปลี่ยนแปลง
ไม่ใช่ว่าเขาไม่โกรธ เพียงแค่ประหลาดใจกับท่าทางของเหยียนอู๋อวี้
เมื่อหลายปีก่อน ขณะที่เขากำลังโกรธมาก เพราะถูกซ่งอี้หานกล่าวหาโจมตีข้อบกพร่อง อวิ๋นอู๋เหยียนก็ถือรังนกมาถวายอีกทั้งยังพูดแบบเดียวกัน
ในเวลานั้นซ่งอี้เฉินเกลียดนางมาก ทว่าเขาไม่กล้าแสดงท่าทีนั้นออกมา จึงทำได้เพียงอดทน จากนั้นรับรังนกแล้วดื่มไปและฟังคำพูดไร้สาระของนาง ทว่าคำพูดไร้สาระเ่าั้ทำให้เขาค้นพบกลยุทธ์ที่จะรับมือฝ่าบตรงข้ามได้อย่างรวดเร็ว
ทว่าซ่งอี้เฉินกลับไม่ได้รู้สึกซาบซึ้งการกระทำของนาง เพราะเขารู้ว่าอวิ๋นอู๋เหยียนไม่รู้สถานการณ์จริงๆ และพูดเื่ที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกัน ใช้ไหวพริบบอกวิธีใช้แผนการกับเขาได้อย่างไร
ในฐานะที่เขาเป็บุรุษ การให้สตรีคิดแผนการในการตอบโต้ เมื่อคิดว่าเขาต้องพึ่งพาตระกูลอวิ๋นเพื่อขึ้นสู่บัลลังก์ เขารู้สึกรังเกียจอวิ๋นอู๋เหยียนมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้เขาตกหลุมรักฮวารั่วซีผู้อ่อนโยน ใจดี และมีน้ำใจ
เมื่อนึกถึงเื่เหล่านี้แล้ว ทำให้ซ่งอี้เฉินหรี่ตามองทุกการกระทำของเหยียนอู๋อวี้ ยิ่งเกิดความสงสัยในใจมากขึ้นและลึกซึ้งยิ่งขึ้นอีกครั้ง