“ไอ้หนู อย่าเพิ่งรีบถูกคัดออกั้แ่รอบแรกก็แล้วกัน แบบนั้นคงหมดสนุกกันพอดี”
เซินถูเหยี่ยที่ทดสอบพลังได้สองพันห้าร้อยจินและครองอันดับสองอยู่ในขณะนี้ ฉีกยิ้มยียวนพร้อมส่งกระแสเสียงให้เยี่ยเฉินเฟิงได้ยิน
การยั่วยุของเซินถูเหยี่ยไม่ได้มีผลอะไรต่อเยี่ยเฉินเฟิงเลย เขายังคงยืนอยู่ตรงศิลาทดสอบพลังด้วยท่าทีสุขุม ปรับจังหวะลมหายใจของตัวเองอย่างเงียบเชียบและทำการรวบรวมพลัง
“โอ้ พลังแข็งแกร่งไม่เบาเลยนี่”
ผู้าุโหลิวผู้มีแววตาขุ่นมัวพลันััได้ถึงพลังอันแข็งแกร่งขุมหนึ่งไหลทะลักออกมาจากร่างของเยี่ยเฉินเฟิง สั่นะเืมวลอากาศรอบตัวของเขาจนกลับตาลปัตรอย่างรุนแรง ดวงตาก็พลันสว่างวาบขึ้นมา
“ย๊าก!”
เยี่ยเฉินเฟิงะเิเสียงคำรามออกมา กล้ามเนื้อทั่วร่างหดเกร็งอย่างฉับพลัน มวลพลังงานไหลทะลักดุจกระแสน้ำเชี่ยวกรากลงไปรวมกันอยู่ในกำปั้นข้างขวาของเขา
เมื่อเขาสืบเท้าออกไปด้านหน้าหนึ่งก้าว ทั่วทั้งร่างของเขาก็กระโจนออกไปราวกับเสือดาว อาศัยพลังโจมตีอันแข็งแกร่งปล่อยหมัดที่อัดแน่นไปด้วยพละกำลังมหาศาลจู่โจมใส่ศิลาทดสอบพลัง
“ปัง!”
ศิลาทดสอบพลังเกิดการสั่นไหวเบาๆ แสงสีขาวแสบตาจำนวนมากเปล่งประกายออกมาจากศิลาทดสอบพลังสีดำสนิท ลำแสงสว่างจ้ามากเสียจนคนไม่อาจลืมตามองได้
ประมาณสิบลมหายใจเห็นจะได้ แสงสว่างที่ปรากฏออกมาจากหินทดสอบพลังก็ค่อยๆ จางหาย ผลคะแนนของเยี่ยเฉินเฟิงถูกกำหนดไว้ที่ห้าพันแปดร้อยจิน
“อะไรนะ ห้าพันแปดร้อยจินงั้นเรอะ ตาข้าไม่ได้ฝาดใช่ไหมเนี่ย ข้ามองผิดไปเองหรือเปล่า”
“์ ไม่ต้องใช้พลังิญญา อาศัยแค่พลังกายเพียงอย่างเดียวก็สามารถทดสอบออกมาได้ตั้งห้าพันแปดร้อยจินแล้ว หมอนั่นมันเป็สัตว์ประหลาดหรืออย่างไร?”
ทุกคนที่เห็นผลคะแนนของเยี่ยเฉินเฟิงรวมถึงผู้าุโหลิวต่างก็ตกตะลึงจนทำอะไรไม่ถูก ไม่อยากเชื่อว่าภาพเบื้องหน้าของตนเองเป็เื่จริง
“เป็ไปได้อย่างไร ทำไมพลังกายของเขาถึงน่ากลัวขนาดนี้ ไอ้หมอนั่นมันเป็ใครกันแน่นะ” เมื่อได้เห็นผลคะแนนของเยี่ยเฉินเฟิง รอยยิ้มบนใบหน้าของเซินถูเหยี่ยก็แข็งค้างทันที เป็ครั้งแรกที่เขารู้สึกกังวลเื่ที่ท้าพนันกับเยี่ยเฉินเฟิงเอาไว้
“เยี่ยเฉินเฟิง เ้าฝืนดึงพลังกายออกมาใช้จนเกินเหตุอีกแล้วหรือ? หากยังทำเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ สักวันหนึ่งเ้านั่นแหละจะแพ้ภัยตัวเอง” จีชิงเสวี่ยที่ยืนปะปนอยู่ในฝูงชน สีหน้าไม่ได้แสดงออกว่าตื่นตระหนกแต่อย่างใด
ในความคิดของนาง ที่เยี่ยเฉินเฟิงทดสอบพลังออกมาได้ผลคะแนนน่าตื่นใเช่นนี้เป็เพราะเขาฝืนดึงพลังออกมาใช้
“ซั่งกวนเผิง ดูเหมือนการ่ชิงอันดับหนึ่งของเ้าคงไม่ราบรื่นเสียแล้วล่ะ”
เฟิงเซียวเซียวผู้มีรูปร่างสูงเพรียวและผิวพรรณนวลเนียนเดินออกมายืนข้างๆ ซั่งกวนเผิงที่สีหน้าดำทะมึน พลางกล่าวขึ้นเบาๆ
“หึ ก็แค่พลังความบ้าบิ่นเท่านั้นแหละ หากให้ต่อสู้กันขึ้นมาจริงๆ มีแค่พลังบ้าบิ่นอย่างเดียวจะไปทำอะไรได้ สุดท้ายก็ต้องวัดกันที่พลังแท้จริงอยู่ดี” ซั่งกวนเผิงแค่นเสียงเ็ากล่าวขึ้นอย่างโอหัง ทว่าในแววตาของเขากลับปรากฏร่องรอยความดุร้าย เห็นได้ชัดว่าคะแนนของเยี่ยเฉินเฟิงทำให้เขาไม่สบอารมณ์เอาเสียเลย
“ดี ยอดเยี่ยมมาก คนถัดไป”
ผู้าุโหลิวพึงพอใจต่อผลคะแนนของเยี่ยเฉินเฟิงเป็อย่างมาก ขนาดเขายังไม่เรียกใช้พลังิญญายังทดสอบพลังได้คะแนนสูงถึงเพียงนี้ เห็นได้ชัดเลยว่าพร์ของเขาไม่ธรรมดา เป็ยอดอัจฉริยะที่สำนักฝึกยุทธ์อัคคี์้าตัว
การทดสอบพลังยังคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆ จนถึง่ใกล้เที่ยง การทดสอบใน่เช้าจึงได้สิ้นสุดลง บรรดาศิษย์อัจฉริยะจากแคว้นจื่อจินและตระกูลยุทธ์โบราณมีจำนวนทั้งสิ้นห้าสิบคน แต่มีเพียงแค่ยี่สิบแปดคนเท่านั้นที่ผ่านการทดสอบพลังมาได้ อีกยี่สิบสองคนถูกคัดออกไปอย่างไร้ความปราณี
“เอาล่ะ ศิษย์ที่สอบผ่านด่านทดสอบพลังให้ตามข้าไปรับประทานอาหารที่โถงจัดเลี้ยง ส่วนศิษย์ที่ถูกคัดออกก็รีบแยกย้ายกันกลับไปซะอย่ามัวเถลไถล” ผู้าุโหลิวออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเย็นะเื ไม่ไว้หน้าพวกที่ถูกคัดออกแม้แต่น้อย
เขาปรายตามองบรรดาศิษย์ทั้งยี่สิบสองคนที่พากันออกไปอย่างไม่เต็มใจด้วยใบหน้าที่ขึ้นสี จากนั้นผู้าุโหลิวก็นำทางศิษย์ที่สอบผ่านทั้งยี่สิบแปดคนเดินตรงเข้าไปภายในโถงจัดเลี้ยงของเซิงเซียนถังที่มีปราณิญญาลอยอบอวลอยู่บางเบาเพื่อทานอาหารและพักผ่อน
หลังจากทานอาหารมื้อใหญ่ที่ปรุงขึ้นด้วยกรรมวิธีพิเศษของสำนักฝึกยุทธ์อัคคี์แล้ว เยี่ยเฉินเฟิงและอีกหลายๆ คนก็สะบัดทิ้งความเมื่อยล้า เดินตามผู้าุโหลิวเข้าไปยังพื้นที่ด้านในของเซิงเซียนถังซึ่งมีถ้ำหินโบราณที่แผ่กลิ่นอายฆ่าฟันออกมาอย่างปิดไม่มิด
“ข่ายอาคม”
เมื่อเดินเข้าไปภายในถ้ำหินโบราณ ม่านตาของเยี่ยเฉินเฟิงก็หดเล็กลง เขาค้นพบโดยบังเอิญว่าบริเวณกึ่งกลางของถ้ำหินถูกปกคลุมไปด้วยอักขระอาคมสลับซับซ้อนจำนวนมากอยู่รวมกันจนกลายเป็ข่ายอาคมป้องกัน
ส่วนระดับของข่ายอาคมเ่าั้ เยี่ยเฉินเฟิงก็เคยเห็นผ่านความทรงจำของสมองกลืนเทวะมาก่อน พวกมันเป็เพียงข่ายอาคมขั้นต้นเท่านั้น ทว่าพลังอำนาจเมื่อมาอยู่รวมกันกลับไม่น้อยเลยทีเดียว
ด้านหลังของข่ายอาคมคือห้องเหล็กที่สร้างมาจากเหล็กไหลนิลกาฬ แม้ว่าประตูของห้องเล็กจะปิดสนิทแ่าแต่ประสาทััอันเฉียบไวของเยี่ยเฉินเฟิงสามารถมองทะลุและัักลิ่นอายดุร้ายป่าเถื่อนที่กระจายออกมาจากภายในห้องเหล็กนั้นได้
“ที่นี่คือคุกหุ่นเชิดอสูร ด่านทดสอบรอบที่สองของพวกเ้า ขอเพียงพวกเ้าสามารถเอาชนะหุ่นเชิดอสูรเหล่านี้ได้ก็จะถือว่ามีคุณสมบัติเหมาะสม ส่วนคนที่พ่ายแพ้จะต้องถูกคัดออกไป”
“แต่สำนักฝึกยุทธ์อัคคี์ของเรา้าเพียงอัจฉริยะในหมู่อัจฉริยะเท่านั้น ดังนั้นหุ่นเชิดอสูรที่พวกเ้าจะต้องเผชิญหน้าด้วยจะมีพลังอยู่ในเขตแดนที่เหนือกว่าพวกเ้าหนึ่งระดับ ซึ่งก็หมายความว่าผู้ใช้อสูริญญาระดับหกจะต้องสู้กับหุ่นเชิดอสูรเขตแดนปรมาจารย์อสูรมายาระดับหนึ่ง ปรมาจารย์อสูรมายาระดับหนึ่งก็ต้องสู้กับหุ่นเชิดอสูรเขตแดนปรมาจารย์อสูรมายาระดับสอง” ผู้าุโหลิวอธิบายกฎการทดสอบด่านหุ่นเชิดอสูรให้ฟังอย่างละเอียด
“การสู้รบข้ามระดับขั้น”
เมื่อทราบกฎของด่านทดสอบหุ่นเชิดอสูร ศิษย์จำนวนไม่น้อยที่ผ่านด่านแรกมาได้อย่างหวุดหวิดก็ถึงกับมีสีหน้าเคร่งเครียด ใจเต้นระส่ำไม่เป็จังหวะ
หุ่นเชิดแตกต่างจากผู้ใช้จิตอสูร พลังป้องกันทางกายของพวกมันน่ากลัวมาก ที่สำคัญไปกว่านั้นพวกมันไม่รู้จักความเ็ปรู้จักเพียงการเข่นฆ่า พลังรบย่อมน่าหวาดกลัวกว่าแม้จะอยู่ในระดับเดียวกันก็ตาม
“ขยะ ไอ้พวกเศษสวะ”
ซั่งกวนเผิงผู้มีพลังแข็งแกร่งลอบสังเกตอาการทางสีหน้าของแต่ละคน ดวงตาฉายชัดถึงความสมเพชเวทนา ทว่าเมื่อเขาเหลือบไปเห็นใบหน้าของเยี่ยเฉินเฟิงกลับพบว่าสีหน้าของเขาสงบนิ่งไม่สะทกสะท้านเลยแม้แต่น้อย
“ข้าอยากจะเห็นนักว่าพลังรบของเ้าจะเป็เช่นไร”
ดวงตาของซั่งกวนเผิงทอประกายดุร้าย เขาพึมพำกับตัวเองในใจ
“เอาล่ะ ทุกคนเตรียมตัวกันให้พร้อมล่ะ คนที่ถูกข้าเรียกชื่อก็ออกไปเลือกอาวุธบนชั้นวางตรงนั้นแล้วค่อยเข้าไปทำการทดสอบภายในข่ายอาคม”
“จางเสียน”
จางเสียนคือบุตรชายของแม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นจื่อจิน เขาพอจะมีชื่อเสียงอยู่บ้างในแคว้นจื่อจิน อายุเพียงยี่สิบเอ็ดปีก็สามารถทะลวงผ่านเขตแดนผู้ใช้อสูริญญาระดับหกได้ พร์ด้อยกว่าจีชิงเสวี่ยอยู่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ในการทดสอบพลังด่านแรกเขาทำคะแนนได้สูงถึงหนึ่งพันห้าร้อยจิน อยู่ในอันดับที่สิบเอ็ด
จางเสียนก้าวออกไปข้างหน้าอย่างไม่สะทกสะท้าน เลือกหยิบหอกยาวที่สร้างขึ้นมาจากเหล็กเกลียวจากชั้นที่วางอาวุธ ก่อนจะเดินตรงเข้าไปภายในข่ายอาคมที่วางอักขระเอาไว้มากมาย
“ปล่อยหุ่นเชิดหมาป่าทมิฬ”
สิ้นเสียงสั่งการของผู้าุโหลิว การป้องกันของข่ายอาคมก็เริ่มต้นทำงาน หุ่นเชิดหมาป่าทมิฬที่มีขนาดตัวสูงใหญ่กว่าห้าเมตร ทั่วร่างเป็สีดำสนิท ส่วนหัวครึ่งหนึ่งปกคลุมด้วยเกล็ดและมีพลังอยู่ในเขตแดนปรมาจารย์อสูรมายาระดับที่หนึ่งก็เดินออกมาจากกรงขัง กลิ่นอายบ้าคลั่ง ดุร้ายกระหายเืที่กระจายออกมาจากร่างของมันชวนให้คนหนาวสั่นด้วยความหวาดกลัว
“บรู๋ว!”
หุ่นเชิดหมาป่าทมิฬถลึงตาสีแดงก่ำ จ้องเขม็งไปทางจางเสียนที่ยืนอยู่ไม่ไกลนักก่อนจะพุ่งเข้าจู่โจมอีกฝ่ายแบบไม่ให้ตั้งตัว
การเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงทำให้เห็นเป็เงาร่างสีดำวาบผ่าน มันแยกเขี้ยวจ้องจะขย้ำคอของเขา
จางเสียนคิดไม่ถึงว่าหุ่นเชิดหมาป่าทมิฬจะว่องไวถึงเพียงนี้ เขาพลิ้วกายหลบหนีพร้อมกับเรียกจิตอสูรออกมาผสานรวมกับร่างกายเพื่อเพิ่มพลังิญญาให้สูงขึ้น
แต่เพราะได้รับผลกระทบจากกลิ่นอายดุร้ายที่หุ่นเชิดหมาป่าทมิฬแผ่ออกมา ความเร็วในการเคลื่อนไหวของเขาจึงลดลงอย่างเห็นได้ชัด ทำให้แผ่นหลังถูกกรงเล็บอันแหลมคมตะปบเป็แผลเหวอะหวะห้ารอย เืจำนวนมากไหลทะลักออกมาจากาแ
ร่างกายของผู้ใช้จิตอสูรเดิมก็อ่อนแอมากอยู่แล้ว ยิ่งจางเสียนได้รับาเ็ซ้ำพลังโจมตีก็ยิ่งลดฮวบลงอย่างมาก กระบวนท่าในการโจมตีถูกหุ่นเชิดหมาป่าทมิฬหยุดยั้งไว้ได้อย่างสมบูรณ์ประกอบกับพลังป้องกันอันน่าตื่นตระหนกของมัน การโจมตีของเขาก็แทบจะทำอะไรเกราะป้องกันของหุ่นเชิดหมาป่าทมิฬไม่ได้เลย
สุดท้ายแล้ว จางเสียนที่าเ็สาหัสก็ต่อสู้ยื้อเวลาได้ราวๆ หนึ่งก้านธูป ก่อนจะเอ่ยปากขอยอมแพ้อย่างจำใจ ถอยออกมาจากข่ายอาคมในสภาพยับเยินไปทั้งตัว
