“อัสนีกัมปนาท!”
หลินเฟิงะโขึ้นมาขณะสะบัดคลื่นดาบออกไปพร้อมกับเสียงคำรามของสายฟ้า แสงสว่างตรงดิ่งไปหาเหล่ยโป ถึงแม้ว่าจะเป็เพียงเคล็ดวิชาระดับเหลือง แต่ถ้าถูกใช้โดยหลินเฟิง มันกลับทรงพลานุภาพไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าเคล็ดวิชาระดับลี้ลับเลย
อัสนีกัมปนาทได้ะเิพลังที่น่าเกรงขามออกมา ทำให้ทั้งบรรยากาศสั่นไหวรุนแรง
เหล่ยโปยกหมัดทั้งสองข้างขึ้นมา ก่อนจะเร่งพลังสายฟ้าออกมาห่อหุ้มหมัดของเขา และไขว้หมัดไว้ที่กลางอกเพื่อสกัดกั้นพลังของอัสนีกัมปนาท ทันใดนั้นเสียงะเิก็ดังสนั่นขึ้นมา และตามมาด้วยเสียงร้องโหยหวน พร้อมกับร่างกำยำที่ถอยหลังออกไปหลายก้าว ขณะที่พลังของเหล่ยโปอ่อนแอลง แต่คลื่นดาบของหลินเฟิงกลับยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ!!!
“ข้าสู้ต่อไปไม่ไหวแล้ว! ข้าขอยอมแพ้!!”
เหล่ยโปะโออกมา อย่าว่าแต่จะฆ่าหลินเฟิงเลย แค่จะเอาชนะหลินเฟิงก็ยากแล้ว หากยังฝืนสู้ต่อไปไม่แน่ว่าตัวเองอาจได้รับาเ็สาหัสได้
ขอยอมแพ้?! เหล่ยโปศิษย์สายในอันดับที่ 21 ผู้มีระดับการบ่มเพาะในขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 3 ถึงกลับกล่าวขอยอมแพ้หลินเฟิงเพราะสู้ไม่ไหว?
ฝูงชนพากันถอนหายใจออกมา หลินเฟิงเพิ่งจะเข้าไปเป็ศิษย์สายในเมื่อสามวันก่อน แต่ความแข็งแกร่งของเขากลับพุ่งทะยานแซงหน้าศิษย์สายในที่อยู่มาก่อน ไม่มีใครสามารถหยุดเขาได้
“ถ้าดูดีๆ แล้ว อายุของเขาก็น่าจะประมาณ 15 - 16 ปีเท่านั้นนะ”
ทันใดนั้นหลายคนก็เริ่มสนใจอายุของหลินเฟิงขึ้นมา ยิ่งคาดเดาอายุของเขาก็ยิ่งตกตะลึงจนพูดไม่ออก อายุแค่ 16 ปี แต่กลับสามารถเอาชนะผู้ฝึกยุทธ์ในขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 3 ได้ และก้าวเข้าสู่ 20 อันดับแรกของศิษย์สายในได้
หลินเฟิงชะงักเล็กน้อย แต่มือยังคงกุมดาบเอาไว้แน่นขณะที่ชายเสื้อพลิ้วไหวไปตามลม ถึงแม้ว่าตัวเขาจะยืนนิ่งอยู่กับที่ แต่คลื่นดาบก็ยังคงทวีความรุนแรงขึ้น และแพร่กระจายไปทั่วลานประลอง ทำให้เหล่ยโปรู้สึกได้ถึงแรงกดดันมหาศาลกำลังกดทับมาที่ตัวของเขา ราวกับว่าถ้าหากหลินเฟิงสะบัดมือเบาๆ แรงกดดันเหล่านี้ก็สามารถบดขยี้ร่างกายของเขาจนแหลกเหลวได้อย่างง่ายดาย
“ขอยอมแพ้?”
หลินเฟิงยกยิ้มที่มุมปากอย่างเ็า “นี่เป็การต่อสู้ที่เดิมพันด้วยชีวิต ถ้าเ้ารอด ข้าก็ตาย... แต่ถ้าเ้าตาย ข้าก็รอด”
“พวกเราล้วนเป็ศิษย์ของนิกายหยุนไห่ อีกทั้งระหว่างเ้ากับข้าก็ไม่เคยมีความแค้นใดๆ ต่อกัน แล้วทำไมเ้าถึง้าสังหารข้า?” เหล่ยโปขมวดคิ้วแน่นขณะกล่าว
“ไร้สาระ! ทีตอนนี้มานึกขึ้นได้ว่าเราเป็ศิษย์ร่วมนิกายเดียวกัน นี่เ้าลืมสิ่งที่เ้าเคยพูดก่อนหน้านี้แล้วหรือ? ไหนเ้าบอกว่าสามารถสังหารข้าได้โดยไม่ต้องเรียกจิติญญาแห่งนักรบของตัวเองออกมา? เ้าลืมไปแล้วหรือว่าคนที่เสนอให้ประลองโดยเดิมพันด้วยชีวิตก็คือเ้า!!! ถ้าเ้าแข็งแกร่งกว่าข้า เ้าจะยังมีหน้ามาพูดว่าพวกเราล้วนเป็ศิษย์ของนิกายหยุนไห่ ดังนั้นคราวนี้จะปล่อยข้าไป?”
หลินเฟิงรู้สึกรังเกียจคำพูดของเหล่ยโป พวกเราล้วนเป็ศิษย์ของนิกายหยุนไห่… ช่างเป็คำพูดที่สวยหรู แต่ไม่เข้ากับจิตใจสกปรกของเ้าเลยสักนิด
“หลินเฟิง ต่อให้เ้ามีพลังที่แข็งแกร่ง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะสังหารข้าได้ แม้ว่าเ้าจะเอาชนะข้าได้ แต่ก็ต้องมีราคาที่ต้องจ่ายไม่น้อยเลยทีเดียว!!!”
เหล่ยโปรู้ว่าหลินเฟิงคงไม่ยอมปล่อยเขาไปง่ายๆ แน่ ดังนั้นจึงพยายามพูดจาข่มขู่หลินเฟิง
“ขนาดนั้นเชียว? ก็เอาสิ ข้าจะคอยดู”
ดวงตาของหลินเฟิงเผยรอยยิ้มแปลกๆ ขึ้นมา ขณะเดียวกันดาบในมือก็ปลดปล่อยคลื่นดาบอันทรงพลังออกมา ก่อนที่หลินเฟิงจะตวัดฟันคลื่นดาบออกไป เสียงสายฟ้าก็ดังกึกก้องขึ้นมาอีกครั้ง
รูม่านตาของเหล่ยโปหดลง ถ้าเขามองไม่ผิด หลินเฟิงตวัดดาบฟันเพียงครั้งเดียว แต่ทำไมในสายตาของเขา ถึงเห็นดาบจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังพุ่งเข้ามาราวกับหมอกอนธการกำลังคืบคลานมาหาเขา และในหมอกนั่นก็ยังซุกซ่อนดาบจำนวนนับไม่ถ้วนเอาไว้
“อัสนีสังหาร!!!”
เหล่ยโปะโเสียงดังออกมา ก่อนที่สายฟ้าอันทรงพลังจะถูกปลดปล่อย เพื่อปกคลุมร่างของเขาไว้ แสงสว่างสีฟ้านับไม่ถ้วนได้ก่อตัวเป็กำแพงขวางกั้นด้านหน้าของเขา
เมื่อเห็นฉากนี้ ฝูงชนก็พากันขมวดคิ้วอย่างสงสัย เหล่ยโปคิดจะทำอะไรกันแน่?
ท่าดาบของหลินเฟิงนั้นเรียบง่ายมาก ดังนั้นขอแค่เขาป้องกันไว้ได้ เขาก็ปลอดภัยแล้ว ถึงแม้ว่าการใช้ท่าอัสนีสังหารที่เป็เคล็ดวิชาป้องกันและโจมตีเป็วงกว้าง จะกินพลังของเขาไปมาก แต่มันก็คือเคล็ดวิชาป้องกันที่ดีที่สุดของเขา
ฝูงชนล้วนไม่เข้าใจ เพราะพวกเขาเห็นแค่คลื่นดาบสายหนึ่งกำลังพุ่งเข้าไปปะทะร่างของเหล่ยโป
แต่ในดวงตาของเหล่ยโปกลับเห็นดาบนับล้านที่ซุกซ่อนอยู่ในหมอก กำลังเคลื่อนตัวเข้ามาหา และพร้อมที่จะคร่าชีวิตของเขา
“วาระสุดท้ายของเ้ามาถึงแล้ว เหล่ยโป”
หลินเฟิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเ็า ทำให้ฝูงชนรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา เคล็ดวิชาดาบมรณะท่าที่หนึ่ง ดาบปลิดิญญา!
ดาบนี้ราวกับจะฉีกกระชากอากาศออกจากกัน หากมองจากที่ไกลๆ จะเห็นได้ชัดว่าในอากาศมีรอยปริแตกขึ้นมา
ดาบเดียวสังหารทุกสิ่ง
จบเห่แล้ว เหล่ยโปจบเห่แน่ๆ
ฝูงชนต่างจ้องมองไปยังคลื่นดาบที่กำลังแล่นไปหาเหล่ยโปอย่างรวดเร็ว
ดวงตาของเหล่ยโปเบิกกว้างขึ้น เมื่อหมอกอนธการและดาบนับล้านพลันสลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย แต่ใบหน้าของเขากลับเผยร่องรอยของความสิ้นหวังออกมา เพราะว่าประกายแสงเจิดจ้าที่ทรงพลังได้ฟันลงมาที่ร่างของเขาแล้ว บางทีประกายแสงนั่นอาจจะเป็สิ่งสุดท้ายที่เขาจะได้เห็นมัน
“ไม่!!!”
เสียงกรีดร้องของเหล่ยโปดังกึกก้องไปทั่วหุบเขา แต่ทว่าร่างกายของเขากลับแข็งทื่อ
ราวกับว่าเวลาได้ผ่านไปนานแสนนาน และในที่สุดสัญญาณชีวิตก็ได้สลายหายไป ระหว่างคิ้วของเหล่ยโป มีรอยดาบเล็กๆ ปรากฏขึ้นมา ก่อนที่หยดเืจะไหลออกมาจากรูตรงหว่างคิ้วอย่างช้าๆ พร้อมกับร่างของเหล่ยโปที่ล้มตึงลงไปนอนบนเวทีประลอง
ตายแล้ว? ศิษย์สายในอันดับที่ 21 ผู้ฝึกยุทธ์ในขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 3 และจิติญญาแห่งสายฟ้า ถูกสังหาร?
เหล่ยโป้าประจบเอาใจม่อเสีย ดังนั้นเขาจึงคิดที่จะสังหารหลินเฟิง จากที่คิดว่าจะใช้หลินเฟิงเป็หินรองเท้า แต่กลับถูกหลินเฟิงใช้เป็หินรองเท้าแทน เกรงว่านาทีนี้สถานะหลินเฟิงในใจของท่านประมุขจะเพิ่มขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า
ถึงจะบอกว่าวันนี้เป็การทดสอบของศิษย์สายในโดยเฉพาะ แต่ทว่าก็มีศิษย์สายในเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่เข้าร่วมการประลอง การต่อสู้ในวันนี้ไม่เพียงแค่สร้างความตื่นเต้นเท่านั้น แต่อาจจะกลายเป็ประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของนิกาย!!!
ตอนนี้ฝูงชนจากนิกายหยุนไห่ต่างตระหนักได้ว่า บางทีพวกเขาอาจเป็พยานในการปรากฏตัวของรุ่นเยาว์อัจฉริยะที่โดดเด่น
“ข้า้าเด็กหนุ่มคนนั้น!”
ดวงตาของต้วนเทียนหลางเปล่งประกายขึ้นมา ก่อนจะเหลือบมองไปยังต้วนหานที่นั่งอยู่ข้างกายเขา พร์ของหลินเฟิงไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่าบุตรชายที่แสนยโสของเขาเลย
“ถ้าไม่สามารถดึงเขามาเป็พวกได้ ก็จำเป็ต้องสังหารเขาในวันนี้ จะปล่อยให้เขาเติบโตไปมากกว่านี้ไม่ได้”
ประมุขนิกายเฮาเยว่ ฉู่ชิ่ง และผู้นำของหมู่บ้านเสวี่ยอิงซานต่างก็คิดเช่นเดียวกัน ถ้าหลินเฟิงเติบโตขึ้นเขาจะกลายเป็ 1 ใน 8 คุณชายแห่งเสวี่ยเยว่อย่างแน่นอน!
หลินเฟิงไม่มีทางล่วงรู้ความคิดของคนอื่น แต่เขารู้แค่ว่าพลังของเขาในตอนนี้ยังเทียบกับม่อเสียไม่ได้ และไม่อาจสังหารม่อเสียได้เช่นกัน เหมือนกับที่ม่อเสียได้รู้ว่า หลินเฟิงไม่ใช่คนที่เขาจะสามารถข่มเหงรังแกได้ตามอำเภอใจอีกต่อไป
ในเมื่อสถานะของเขาในใจของท่านประมุขตอนนี้ยังหนักไม่พอ งั้นเขาก็จะเพิ่มน้ำหนักให้มากกว่านี้!!!
มือกำดาบอ่อนแน่น ขณะที่ชายเสื้อโบกสะบัดรุนแรง หลินเฟิงกวาดสายตามองไปทั่วหุบเขา และกล่าวอย่างช้าๆ ว่า
“ม่อเสียเป็ถึงผู้าุโของนิกาย แต่กลับทำตัวหยิ่งผยอง สังหารศิษย์ในนิกายของตัวเองตามอำเภอใจและไม่มีละอายใจ คนแบบนี้ถือว่าเป็ความอัปยศของนิกาย ความแข็งแกร่งของข้าในตอนนี้ มันยังไม่เพียงพอ!!! จึงไม่สามารถสังหารขยะของนิกายคนนั้นได้ แต่ข้าจะพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะขับไล่ม่อเสียออกจากนิกาย ข้าไม่สามารถอยู่ร่วมนิกายกับคนอย่างมันได้!!!”
“บึ้ม!!!”
หัวใจของฝูงชนพลันเต้นโครมครามเหมือนจะะเิออกมา ช่างบ้าบิ่นยิ่งนัก!? หลินเฟิงกินดีหมีหัวใจเสือมาจากที่ไหนกัน ถึงคิดที่จะหาทางขับไล่ผู้าุโสายในออกจากนิกาย?!
นี่มันเป็ไปไม่ได้หรอก หากม่อเสียถูกขับไล่ออกจากนิกายจริงๆ ม่อชั่งหลันก็ต้องเสียหน้าไปด้วย ท่านประมุขจะทำเช่นนั้นได้หรือ?
“เ้านั่นบ้าไปแล้วจริงๆ”
หลิ่วเฟยมองหลินเฟิงที่ยืนอยู่บนเวทีด้วยท่าทางพูดไม่ออก นางเองก็ไม่ชอบพฤติกรรมของม่อเสียเช่นกัน แต่ก็ไม่เคยคิดว่าจะสามารถขับไล่ม่อเสียออกจากนิกายได้ ศิษย์สายในคนหนึ่งอยากจะขับไล่ผู้าุโสายในออกจากนิกาย แค่คิดก็รู้ว่าเป็ไปไม่ได้ แต่หลินเฟิงกลับพยายามทำให้มันเป็จริงขึ้นมา
บนอัฒจันทร์ ใบหน้าของม่อเสียตอนนี้บิดเบี้ยวจนดูไม่ได้ ในสายตาของเขา ศิษย์ของนิกายก็ไม่ต่างอะไรไปจากมดปลวกตัวหนึ่ง แต่ตอนนี้มดปลวกตัวนั้นกำลังยืนอยู่บนลานประลองและป่าวประกาศถึงความผิดของเขา ทั้งยังบอกว่าเขาคือขยะของนิกายที่สมควรถูกขับไล่ออกจากนิกาย นี่เป็ความอัปยศสำหรับม่อเสียอย่างไม่ต้องสงสัย
เมื่อก่อนมีแต่เขาที่เป็ผู้ป่าวประกาศความผิดของคนอื่น และเป็ฝ่ายขับไล่ออกจากนิกาย แต่มาตอนนี้เขากลับถูกกระทำเสียเอง
พูดเลยว่าถ้าหากตรงนี้ไม่มีหนานกงหลิงอยู่ล่ะก็ ม่อเสียคงลงมือสังหารหลินเฟิงไปนานแล้ว
ในฐานะประมุขของนิกายหยุนไห่ หนานกงหลิงจำเป็ต้องคิดทุกอย่างให้รอบคอบ ม่อเสียเป็ผู้าุโสายใน และมีม่อชั่งหลัน ผู้าุโคุมกฎของนิกายให้การสนับสนุน
ส่วนหลินเฟิงเป็ศิษย์ของนิกายหยุนไห่ที่มีพร์ล้ำเลิศไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าเหวินเริ่นเหยียน และยังเป็คนที่ผู้าุโเป่ยกับผู้าุโคงให้ความสำคัญ
ถ้าหากลงโทษม่อเสียเล็กๆ น้อยๆ ก็คงพอทำได้อยู่ แต่เมื่อได้ยินความคิดของหลินเฟิงแล้ว ก็ทำให้เขาเกิดความหนักใจขึ้นมา หากมีเขาต้องไม่มีม่อเสีย แต่ถ้ามีม่อเสียก็ต้องไม่มีเขา
“ข้ารู้ว่าสถานะผู้าุโสายในของม่อเสียนั้นสูงส่งมาก อีกทั้งม่อชั่งหลันก็ยังเป็ถึงผู้าุโรุ่นเก่าที่อุทิศตัวรับใช้นิกายมาหลายปี ส่วนข้าก็เป็แค่ศิษย์ผู้ต่ำต้อยคนหนึ่งเท่านั้น ในเมื่อม่อเสียมีจิตคิดมุ่งร้ายกับข้าอยู่ตลอดเวลา หากเขาไม่ได้รับการลงโทษ แล้วจะให้ข้าอยู่ในนิกายโดยปราศจากความระแวงได้อย่างไร?”
“ดังนั้นข้าจะใช้ความสามารถและดาบของข้า พิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่ามีข้าอยู่ในนิกาย ดีกว่ามีม่อเสียอยู่หลายพันเท่า!!!”
ช่างเป็คำพูดที่บ้าระห่ำสิ้นดี แต่ก็เป็คำพูดที่ทำให้ฝูงชนใจสั่นไหว ความเย่อหยิ่งของหลินเฟิงมีมากกว่าเหวินเริ่นเหยียนหลายเท่า!!!
ไม่รู้ว่าหลินเฟิงใช้วิธีการไหนมาพิสูจน์ว่า มีตัวเองอยู่ในนิกาย ดีกว่ามีม่อเสียอยู่หลายเท่า
หนานกงหลิงเองก็สงสัยเช่นกันว่า หลินเฟิงจะพิสูจน์ตัวเองอย่างไร?
ตอนนี้เองหลินเฟิงก็กวาดสายตามองไปที่เหล่าศิษย์สายในทุกคน พร้อมกับะโออกมาอย่างมั่นใจว่า “วันนี้คือการทดสอบของศิษย์สายใน ข้า หลินเฟิง ขอท้าประลองกับศิษย์สายในคนไหนก็ตามที่เดินขึ้นมาบนลานประลองเป็ตาย ไม่ว่าเป็การประลองในรูปแบบไหน ข้าก็ตกลง!!!”
“อะไรนะ!?” เมื่อได้ยินคำพูดของหลินเฟิง ทุกคนพลันตกตะลึงจนอ้าปากค้าง
“บ้าไปแล้ว ไอ้หมอนี่มันบ้าไปแล้ว นี่มันกำลังขอท้าประลองกับศิษย์สายในทุกคนอยู่นะ?”
คนคนนี้บ้าระห่ำจริงๆ ศิษย์สายในที่แข็งแกร่งก็มีอยู่มากมาย ไม่ต้องพูดถึงเหวินเริ่นเหยียน เอาแค่ 10 อันดับแรกของศิษย์สายในเสียก่อนเถอะ พวกเขาแต่ละคนล้วนแข็งแกร่งกว่าเหล่ยโปหลายเท่า นี่หลินเฟิงไม่เห็นศิษย์สายในอยู่ในสายตาเลยสักคนอย่างนั้นหรือ??? ถึงได้กล้าพูดจาโอหังเช่นนี้ออกมา
ดวงตาของฝูงชนพลันเบิกกว้างขึ้น ปากก็อ้าพะงาบๆ อย่างพูดไม่ออก เ้าหมอนี่มันจะเหลิงเกินไปหรือเปล่า แค่เอาชนะเหล่ยโปได้ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะแข็งแกร่งมากขนาดนั้น?
แต่ถ้าเขาสามารถเอาชนะศิษย์สายในทุกคนที่ขึ้นไปท้าประลองได้ มันก็เป็ข้อพิสูจน์ได้ว่า การมีอยู่ของเขาดีกว่ากว่ามีอยู่ของม่อเสียหลายร้อยเท่า
“ไอ้บ้านั่น…”
ดวงตาที่งดงามของหลิ่วเฟยเบิกกว้าง หลินเฟิงบ้าบิ่นเกินไปแล้ว เมื่อไม่นานมานี้ เขายังเป็เพียงศิษย์สายนอกคนหนึ่งเท่านั้นนะ
แต่หานหมานผู้หัวทึบกลับเอาแต่หัวเราะออกมาอย่างสนุกสนาน เมื่อเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังยืนอยู่บนเวทีประลองด้วยท่าทางองอาจ สมแล้วที่เป็พี่น้องของข้า!!!
หนานกงหลิงเองยังพลอยตกตะลึงไปชั่วขณะ เื่นี้ได้สร้างความประหลาดใจให้กับเขามาก เด็กคนนี้้าท้าประลองกับศิษย์สายในทั้งหมด?
ถึงแม้ว่าหลินเฟิงจะมีพร์ที่แข็งแกร่ง แต่มันจะแข็งแกร่งขนาดนั้นได้ไหม?
“เดี๋ยวก่อนนะ เด็กคนนี้ ั้แ่ต้นจนจบ เขายังไม่เคยปลดปล่อยจิติญญาออกมาเลยนี่?”
ทันใดนั้นหนานกงหลิงก็ตระหนักได้ว่าหลินเฟิงยังไม่เคยปลดปล่อยจิติญญาแห่งนักรบของตัวเองออกมาเลย เมื่อนึกถึงตรงนี้ก็ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะคาดหวังขึ้นมา อำนาจของดาบทรงพลังขนาดนี้ ไม่รู้ว่าจิติญญาของเขานั้นจะเป็ดาบหรือไม่ ถ้าหากเป็จิติญญาแห่งดาบแล้วล่ะก็ อำนาจของดาบจะต้องแข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิมอย่างแน่นอน
