กลุ่มจุนห่าวกินเนื้อย่างเสร็จแล้วก็เข้าไปพักในเต็นท์ แม้แต่จุนตงและจุนหนานก็ตั้งเต็นท์ของตัวเอง ั้แ่ทั้งสองคนอายุได้สองขวบครึ่ง จุนห่าวก็ให้ลูกทั้งสองออกจากห้องของเขาและหานรุ่ย บัดนี้จุนตงและจุนหนานมีห้องนอนแยก อย่างที่คิดไว้ สายฟ้าก็เข้าเต็นท์ของจุนตงและจุนหนาน
หลังจากจุนห่าวและหายรุ่ยเข้ามาในเต็นท์ หานรุ่ยเอ่นถามแบบให้อ่านริมฝีปากว่า “เมื่อครู่นี้ เกิดอันใดขึ้น?” เพราะอยู่ในป่า รอบข้างต่างเป็มนุษย์ เพื่อป้องกันมิให้ผู้อื่นได้ยิน หานรุ่ยจึงใช้การอ่านริมฝีปาก
จุนห่าวยิ้มให้หานรุ่ยพลางเอ่ยขึ้น “เมื่อครู่นี้ ข้าได้ทำพันธะสัญญากับต้นไม้เล็กๆ ต้นหนึ่ง เสี่ยวไป๋บอกว่ามันคือจื่อเหมยเบิกฟ้า ด้านนอกนั่น ข้าก็ยังมิทันได้สื่อสารกับมัน ทั้งนี้ พลังปราณของต้นไม้เล็กๆ นั่นดูท่าจะไม่ต่ำต้อย หลังจากทำสัญญาเสร็จสมบูรณ์ เขาสะท้อนพลังิญญากลับมาให้ข้ามหาศาล และข้ายังดูดซับพลังบางอย่างที่ไม่รู้จัก บัดนี้ลมปราณของข้าอยู่ที่ขั้นที่เจ็ดระดับปลายแล้ว ข้ารู้สึกว่าอีกไม่นาน ข้าคงจะเข้าสู่ลมปราณที่แปด”
“เ้าช่างโชคดีจริงๆ อากาศธาตุที่ไม่รู้จักนั่นคืออากาศธาตุเบิกฟ้า ที่ช่วยเร่งความเร็วในการบำเพ็ญเพียร ทั้งช่วยให้สมรรถภาพทางกายเพิ่มพูนขึ้น ที่สำคัญที่สุด อากาศธาตุเบิกฟ้าช่วยเพิ่มพลังิญญาได้ เ้าต้องรู้ก่อนว่าพลังแห่งจิติญญาเกิดขึ้นโดยธรรมชาติ ยากที่จะแปรเปลี่ยน นอกเสียจากว่าจะพบโอกาสอันยิ่งใหญ่ ด้วยคุณประโยชน์มากมายนี้ เห็นได้ว่าอากาศธาตุเบิกฟ้ามีค่ามากเพียงใด เวลานี้เ้าคงรับรู้แล้ว” เสี่ยวไป๋กล่าวอย่างอิจฉา คืออากาศธาตุเบิกฟ้านี่เอง เขาก็้ามัน น่าเสียดายที่จุนห่าว่ชิงไปเสียก่อน
ฟังคำพูดของเสี่ยวไป๋ จุนห่าวััดู ความเร็วในการดูดซับพลังิญญาของเขาเป็สองเท่าจากก่อนหน้านี้ สมรรถภาพทางกายของเขาก็ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เขารู้สึกว่าตอนนี้เขามีพลังยิ่งใหญ่ ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยความแข็งแกร่ง จิติญญาของเขาก็มีมหาศาลกว่าแต่ก่อน จุนห่าวกล่าวด้วยอารมณ์ลึกซึ้งว่า “อากาศธาตุเบิกฟ้า ช่างดีจริงๆ หากข้าดูดซับพลังนี้มาใช้การบำเพ็ญเพียร คงจะดีไม่น้อย”
“เ้าช่างกล้าคิด อากาศธาตุเบิกฟ้าคืออากาศธาตุที่มาจากเผ่าพันธุ์จื่อเหมยเบิกฟ้า ตัวตนของพวกมันอยู่ในเส้นด้าย ั้แ่ที่เ้าดูดซับอากาศธาตุเบิกฟ้าจากตัวมัน เ้าก็ได้ทำสัญญากับมันแล้ว หากปราศจากอากาศธาตุเบิกฟ้า ข้อได้เปรียบโดยธรรมชาติของจื่อเหมยเบิกฟ้าก็จะหายไปสิ้น และความเร็วในการบำเพ็ญเพียรก็จะช้าลง ดังนั้นจื่อเหมยเบิกฟ้าจึงไม่เต็มใจที่จะถูกมนุษย์ทำพันธะสัญญา ส่วนนักพรตอยากจะอากาศธาตุเช่นนี้มาก ดังนั้น เผ่าพันธุ์ของพวกมันจึงอาศัยอยู่ในสรรพสิ่งเพื่อซ่อนตัว ทุกครั้งที่พบหนึ่งต้น จะเกิดเสียงฮือฮาครึกโครม สุดท้ายชะตากรรมของจื่อเหมยเบิกฟ้าก็จะกลายเป็ทาสของมนุษย์หรือตายไป” เสี่ยวไป๋เสียใจที่ต้องพูด “จื่อเหมยเบิกฟ้าเป็พืชทางจิติญญาที่เติบโตในสถานที่บริสุทธิ์ เพื่อดูดซับอากาศธาตุเบิกฟ้าก่อนที่์จะเปิด ดังนั้นจึงเรียกว่า จื่อเหมยเบิกฟ้า ส่วนอากาศธาตุเบิกฟ้าก็กลายเป็พลังดั้งเดิมของเผ่าพันธุ์จื่อเหมยเบิกฟ้า เผ่าพันธุ์ของพวกเขาเคยรุ่งเรือง ทว่ากลับดึงดูดความริษยาเพราะพร์ที่เหนือกว่า ในที่สุดพวกเขาก็ถูกนักพรตแต่ละโลกไล่ล่า จึงหายสาปสูญั้แ่นั้นมา”
“งั้นที่ข้าได้จื่อเหมยเบิกฟ้าต้นนี้ช่างประจวบเหมาะใช่ไหม?” จุนห่าวเอ่ยถาม เขาไม่เสียใจที่ได้ทำพันธะสัญญากับจื่อเหมยเบิกฟ้า เดิมทีการยึดครองอากาศธาตุเบิกฟ้าก็คือกฎแห่งธรรมชาติ ผู้แข็งแกร่งที่สุดถึงจะอยู่รอด แต่เขาจะปฏิบัติต่อจื่อเหมยเบิกฟ้าอย่างดี และช่วยมันได้บำเพ็ญเพียรจนกลายเป็ผู้ยิ่งใหญ่
“ใช่ หากเ้าไม่ยึดครองมัน ไม่ช้าก็เร็วก็ถูกผู้อื่นยึดครอง เ้าทำพันธะสัญญากับมัน ก็ถือว่าช่วยชีวิตมัน ดังนั้นเ้าไม่ต้องรู้สึกผิด” เสี่ยวไป๋พูดเคร่งขรึม เขาเกรงว่าจุนห่าวจะคิดไม่ได้ อันที่จริงก่อนหน้านี้เขาก็เป็นายทหารที่ซื่อตรง ถูกฝึกมาว่าต้องไม่ข่มเหงและแย่งชิง แต่เพื่อรับใช้ประชาชน
“เ้าคิดมากไปแล้ว” จุนห่าวพูดด้วยเสียงโทนต่ำ เขาเคยเป็คนที่มีความเฉียบแหลมของประเทศ และผ่านภารกิจมากมายที่ขัดต่อเจตจำนงของตัวเอง หัวใจของเขาจึงแข็งกระด้างมานานแล้ว
“ครั้งหนึ่งจื่อเหมยเบิกฟ้าต้นนี้ เคยเป็อสูรที่บำเพ็ญเพียรถึงขั้นเทพเซียน ไม่ว่าจะเป็สัตว์อสูรหรือพืชิญญาหรืออย่างอื่น เมื่อบำเพ็ญเพียรถึงขั้นเทพเซียนก็จะกลายร่างเป็มนุษย์ และถูกเรียกว่าอสูรกาย” เสี่ยวไป๋กล่าว ความรู้เื่การบำเพ็ญเพียรของจุนห่าวยังคงตื้นบาง เมื่อเขาพบสิ่งที่จุนห่าวไม่รู้ เสี่ยวไป๋จึงอธิบายให้เขาฟังอย่างละเอียด
“เก่งกาจขนาดนี้เชียว? งั้นมันทำไมถึงถูกข้าทำพันธะสัญญาได้ง่ายเพียงนี้ อสูรกายขั้นเทพเซียนนั้นทรงพลัง แค่นิ้วเดียวก็บดขยี้ข้าได้แล้ว” จุนห่าวถามอย่างไม่เข้าใจ จุนห่าวััได้ว่ามันไม่ได้ต่อต้าน และให้จุนห่าวทำพันธะสัญญาด้วยอย่างง่ายดาย
“นั่นเป็เพราะมันาเ็ และจิตสำนึกก็หลับไหลลึกล้ำ ที่เ้าทำพันธะสัญญาด้วยเป็เพียงร่างที่ไม่รู้สึกตัว มันน่าจะบำเพ็ญเพียรไม่ได้ มิฉะนั้นสัญชาตญาณของมันย่อมต่อต้านเ้าแน่ มิใช่สิ่งที่เ้าจะเทียบได้ในเวลานี้ พูดง่ายๆ ก็คือ ตอนนี้มันเป็ต้นไม้ธรรมดาที่ไร้จิตสำนึก จะไม่ง่ายดายได้อย่างไร? ดูจากสถานการณ์ มันน่าจะได้รับาเ็สาหัส” เสี่ยวไป๋กล่าว จุนห่าวพลิก์อีกครั้ง ที่ได้พบกับจื่อเหมยเบิกฟ้าที่าเ็ต้นนี้
“โอ้ เป็เช่นนี้เอง อย่างนั้น ถ้ามันตื่นขึ้นมาต่อต้านจะทำยังไง? ข้ามิใช่คู่ต่อสู้ของมันหรอกนะ” จุนห่าวถามอย่างหงุดหงิดใจพลางขมวดคิ้ว
พันธะสัญญาณทาสความแข็งแกร่งอยู่ที่เ้านายจริงอยู่ แต่ก็อาจแว้งกัดเ้านายได้ ตัวอย่างนี้มิใช่ว่าจะไม่มี
“เื่นี้เ้าวางใจได้ เ้าและมันได้ลงนามทำสัญญาแห่งเื พันธะสัญญานี้เผด็จการมาก เป็ประโยชน์อย่างเต็มที่ต่อเ้าของสัญญา หากมันต่อต้านเ้า มันจะถูกรัดคอด้วยอำนาจแห่งสัญญา ฝ่ายที่ถูกทำสัญญาจะกลายเป็ทาสของเ้าอย่างสมบูรณ์ และไร้ซึ่งอิสระ นี่เป็พันธะสัญญาโบราณ ต่อไปเ้าสามารถใช้สัญญานี้เมื่อเ้าพบพืชอสูร และทำสัญญากับสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ได้ แม้แต่มนุษย์ พวกเขาล้วนจะกลายเป็ทาสที่ซื่อสัตย์ของเ้า” เสี่ยวไป๋กล่าว ใครหลายคนยังไม่รู้จักพันธะสัญญาแห่งเื หลายสิ่งในสมัยโบราณได้สูญหายไป
“จากที่เ้าพูด สัญญานี้คือสัญญาที่เผด็จการมาก แต่ข้าจะไม่ทำให้สัญญาทาสกับสหายของข้า ต่อให้เป็พันธะสัญญาแห่งเื ข้าก็จะให้มันเป็สหายของข้า เป็สหายรบเคียงบ่าเคียงไหล่ของข้า” จุนห่าวกล่าวอย่างเคร่งขรึม หลังจากลงนามทำสัญญา เขาจะไม่ถือว่าพวกเขาเป็ทาสรับใช้ของเขา จุนห่าวเชื่อว่าความจริงใจแลกกับความจริงใจ ตราบใดที่ปฏิบัติต่อกันด้วยความจริงใจ เขาเชื่อว่าพวกเขาจะให้ใจกลับมาเช่นกัน
ได้ฟังคำพูดของจุนห่าว เสี่ยวไป๋ซาบซึ้งใจมาก แต่ความซาบซึ้งใจของเสี่ยวไป๋จะไม่เอื้อนเอ่ยออกจากปากของเขา เสี่ยวไป๋เก็บความซาบซึ้งไว้ในใจ เอ่ยกับจุนห่าวว่า “บัดนี้พลังปราณของจื่อเหมยเบิกฟ้าอยู่ในระดับใดก็ยังบอกไม่ได้ ดูจากที่เขาตอบสนองโดยมอบพลังิญญาให้เ้า คงจะเป็่สร้างรากฐานปราณ มิฉะนั้นเ้าคงไม่ได้เลื่อนขั้น”
“่สร้างรากฐานปราณถือว่าดีมากแล้ว หากมันฟื้นตัวกลับมา ถึงแผ่นดินชางหลานจะมีข้อจำกัด พลังปราณที่ลมปราณขั้นที่สิบสองระดับปลายของมัน บนแผ่นดินชางหลานก็คือสุดยอดฝีมือ ข้าก็จะมีผู้คุ้มกันาุโ” จุนห่าวพูดอย่างตื่นเต้น ต่อให้จะสงบนิ่งเพียงใด บัดนี้จุนห่าวก็ตื่นเต้น เพราะพลังปราณของตัวเองไม่เพียงพอ และขาดอำนาจสนับสนุนอันแข็งแกร่ง ดังนั้นหลายปีที่ผ่านมา จุนห่าวจึงไม่แสดงนิสัยเดิมให้เห็น อดทนอดกลั้นมาตลอด จนเขาเกือบจะกลายเป็นินจาเต่าแล้ว
“เ้าจะให้สิ่งที่เคยเป็เทพเซียนผู้ยิ่งใหญ่เป็ผู้ช่วยของเ้า ช่างกล้าคิดนัก เ้าคิดว่าเ้าจะบีบบังคับมันได้รึ?” เสี่ยวไป๋พูดประชดประชัน จุนห่าวใจใหญ่ยิ่งนัก เผ่าพันธุ์จื่อเหมยเบิกฟ้าหยิ่งในศักดิ์ศรีมาก รอให้รู้ว่าตัวเองถูกทำพันธะสัญญา เดาว่าหากไม่ขอตาย ก็คงไม่ให้ใครบีบบังคับได้ นี่ยังเป็เหตุผลที่ทำให้เผ่าพันธุ์จื่อเหมยเบิกฟ้าใกล้จะสูญพันธุ์ เสี่ยวไป๋หวนคิดคำนึง หากได้พบคนที่ไม่ยึดตามหลักเหตุผลอย่างจุนห่าว คงยากที่จะพูด
“เ้าบอกว่าเคย ครั้งหนึ่งเคยหยิ่งในศักดิ์ศรีก็คือเคย ข้าจะไม่บีบบังคับมัน มันคือเพื่อนของข้า สหายรบของข้า ควรช่วยเหลือซึ่งกันมิใช่หรือ? หากมัน้าความช่วยเหลือจากข้า ข้าก็จะยอมอย่างถวายชีวิต” จุนห่าวพูดกับเสี่ยวไป๋ด้วยสีหน้าจริงจังว่า “เ้าก็เป็เพื่อนของข้า สหายรบของข้า เป็กระทั่งลูกของข้า ข้าไม่มีทางบีบบังคับเ้า เราคือครอบครัว เราต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ฉะนั้นเสี่ยวไป๋ เขาไม่ต้องระแวดระวัง ข้าเชื่อว่าเสี่ยวรุ่ยก็คิดเช่นนี้” แม้ว่าเสี่ยวไป๋จะเยาะเย้ยเขาอยู่เสมอ ทว่าจุนห่าวก็พบว่า เสี่ยวไป๋หวาดกลัวเขา อันที่จริง ชีวิตของเสี่ยวไป๋อยู่ในเงื้อมมือของเขา ครั้งนี้เขาจะทำให้เสี่ยวไป๋สบายใจ
ครั้งนี้เสี่ยวไป๋ซาบซึ้งใจจริงๆ เสี่ยวไป๋พูดอย่างหยิ่งในศักดิ์ศรีว่า “เป็ความสุขที่สุดในชีวิตของเ้าที่ได้ทำพันธะสัญญากับข้า เ้าควรปฏิบัติต่อข้าอย่างไม่มีเงื่อนไข ข้าเป็ถึงเทพอสูร แต่ข้าจะไม่เป็ลูกของเ้า เ้าด้อยเกินไป ท่านพ่อและท่านแม่ของข้าเป็ถึงาาเซียน อย่าเอาไปเทียบกับไก่ที่อ่อนหัดเช่นเ้า”
จุนห่าว : ...... คิดในใจ ตอนนี้เขารู้สึกเสียใจที่ทำให้เสี่ยวไป๋สบายใจ พอให้แสงสว่างแก่เขา เขาก็เริ่มเปล่งประกาย
จุนห่าวไม่อยากจะสานต่อเื่ไก่ที่อ่อนหัด จะพูดอะไรก็ได้ บัดนี้เขาเป็แค่ยอดฝีมือน้อยๆ เขาถามเสี่ยวไป๋อีกครั้งว่า เขาจะฟื้นฟูอาการาเ็ของมันได้อย่างไร? “ข้าดูดซับอากาศธาตุเบิกฟ้าของมันมา ถือเป็หนี้มันแล้ว”
“ข้าก็ไม่รู้ว่ามันาเ็อะไร เ้านำมันไปบ่มเพาะกับดินสีแดงในเทศะ และรดน้ำด้วยบ่อโอสถทุกวัน ข้าคิดว่าน่าจะมีประโยชน์” เสี่ยวไป๋แนะนำ เขามิใช่แพทย์ รักษาอาการไม่ได้
เมื่อได้ยินคำพูดของเสี่ยวไป๋ จุนห่าวย้ายจื่อเหมยเบิกฟ้าจากจิตสำนึกของเขาเข้าไปบ่มเพาะในเทศะ ทันทีที่มันเข้ามาในเทศะ จื่อเหมยเบิกฟ้าก็หยั่งรากลงในดินสีแดงโดยทันที และกลายเป็ต้นไม้ใหญ่ที่เต็มไปด้วยดอกเหมยสีม่วงที่สวยงามยิ่งนัก จุนห่าวรดน้ำจากบ่อโอสถ พลางรู้สึกว่าสีม่วงของดอกเหมยสดใสกว่าเดิม
ในใจของจุนห่าวเต็มไปด้วยความคาดหวังและความกังวลใจเกี่ยวกับจื่อเหมยเบิกฟ้า เขาหวังว่ามันจะฟื้นตัวในไม่ช้า เขาจึงลงมือลงแรงไปเยอะ สิ่งที่เป็ห่วงคือ เมื่อจื่อเหมยเบิกฟ้าตื่นขึ้นมาจะเอะอะโวยวาย และต่อต้านเขาจนคิดฆ่าตัวตาย เพราะไม่อยากยอมรับความอับอายนี้ คิดถึงเื่นี้ เขาปวดหัวทันที ดอกเหมยคือความเหงา เขาไม่รู้ว่าจะเอาใจดอกเหมยที่หยิ่งในศักดิ์ศรีนี้อย่างไร จุนห่าวครุ่นคิด หากไม่ได้จริงๆ เขายังมีลูกชายสามคน ถึงครานั้นมันถูกใจใคร เขาก็จะยกลูกชายให้เขา เขาคิดว่าดอกเหมยนั้นต้องเป็คนรูปงามอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ และบรรดาลูกชายของเขาคงไม่ขัด
จุนห่าวบอกทุกอย่างที่เขาทราบจากเสี่ยวไป๋ให้กับหานรุ่ย หานรุ่ยก็มีความสุขไปกับจุนห่าว ทว่าจุนห่าวรู้สึกเสียใจเล็กน้อย หากเขารู้ว่าการทำพันธะสัญญากับจื่อเหมยเบิกฟ้าจะมีข้อดีเช่นนี้ เขาคงให้หานรุ่ยเป็คนทำสัญญา แต่สายไปเสียแล้ว ไม่รู้ว่าพลังิญญาของหานรุ่ยเป็ยังไงบ้าง สำหรับผู้ที่มีพลังิญญาแข็งแกร่ง จะทำพันธะสัญญากับสัตว์อสูรได้หลายครั้ง นักพรตที่มีจิติญญาอ่อนแอ จะทำพันธะสัญญากับสัตว์ได้เพียงตัวเดียว ส่วนใหญ่แล้วจิติญญาของนักพรตจะไม่แข็งแกร่ง ซึ่งล้วนเป็พลังิญญาที่ไร้ความสามารถ
คิดแล้วก็ต้องทำ จุนห่าวพาหานรุ่ยเข้าไปในเทศะในทันที หานรุ่ยตะลึงงันพลางขมวดคิ้ว พูดกับจุนห่าวอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “เ้าบุ่มบ่ามไปแล้ว ที่นี่คือป่า เรารีบออกไปเถอะ” หานรุ่ยไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะสังเกตเทศะ ตอนนี้สิ่งที่เขาคิดก็คือ หากเทศะของจุนห่าวถูกเปิดเผยจะทำยังไง คิดถึงตรงนี้ หานรุ่ยเดือดดาล คิดในใจ หากถูกใครพบเข้า เขาต้องกำจัดคนเ่าั้อย่างสู้สุดชีวิตอีก เพื่อไม่ให้จุนห่าวต้องตกอยู่ในอันตราย
“ไม่เป็ไรหรอก พลังปราณของคนพวกนั้นต่ำกว่า เราทำธุระเสร็จ ก็จะออกไปทันที” จุนห่าวพูดออเซาะ เขารู้ว่าหานรุ่ยเป็ห่วงเขา
“ไม่ได้ ต้องออกไปเดี๋ยวนี้” หานรุ่ยกล่าวอย่างเด็ดเดี่ยว จนจุนห่าวไม่ย้อนถามได้ จุนห่าวจนใจ ทำได้เพียงออกไปกับหานรุ่ย ั้แ่เข้ามาจนออกไปใช้เวลาพริบตาเดียว หลังจากออกมาไม่พบอะไร หานรุ่ยถึงสบายใจ
เดิมทีจุนห่าวอยากให้หานรุ่ยได้เห็นจื่อเหมยเบิกฟ้าที่เต็มไปด้วยดอกเหมยสีม่วง และทดสอบจิติญญาของหานรุ่ยไปพลาง จุนห่าวก็ประมาทเลินเล่อไป นานขนาดนี้ก็ไม่คิดจะให้หานรุ่ยทำการทดสอบ ในเมื่อหานรุ่ยไม่ยินยอมเข้าไปในเทศะ จุนห่าวจึงทำได้แค่นำหินทดสอบิญญาออกมา ท้ายที่สุด หานรุ่ยก็ทดสอบได้พลังิญญาระดับแปด แม้ว่าจะไม่ดีเท่าจุนห่าว ทว่าก็ถือเป็อัจฉริยะ จบทดสอบ ทั้งสองคนก็ผล็อยหลับไปอย่างพึงพอใจ
