ศาลาริมน้ำย่อมรับแสงจันทร์ก่อน[1] ในเมื่อยอดเขาหมื่นอสูรเป็อาณาเขตของสำนัก์ ศิษย์เชื้อสายรากอสูรจึงเป็ผู้โชคดีกลุ่มแรกที่ได้เข้าสู่รอยแยกมิติ โดยมีศิษย์หลักของสี่สำนักเชื้อสายรากพฤกษาตามมาติดๆ และชิวซานอวิ๋นจากสำนักอินทนิลก็เป็ศิษย์หยวนซิวคนแรกที่ได้เดินทางเข้าไป
เหตุการณ์นี้ส่งผลกระทบอย่างกว้างขวาง ศิษย์หยวนซิวและซิงซิวจำนวนมากต่างก็รีบมุ่งหน้าไปยังจุดเกิดเหตุ
“หนิงเทียน เ้าต้องระวังให้มากนะ” เสิ่นซินจู๋เตือนอย่างไม่ลังเล ทุกฝ่ายที่เข้าไปล้วนเป็ศิษย์หลักของแต่ละสำนัก ทว่าหนิงเทียนอยู่เพียงขอบเขตจิตหยั่งลึกขั้นห้า เช่นนี้จะไม่ให้นางกังวลได้อย่างไร?
“ไม่ต้องห่วง ข้าจะไม่เป็อะไร” หนิงเทียนส่งแหวนมิติใส่มือของนาง จากนั้นก็ติดตามซิ่งอวี่เจวียนเข้าไปในรอยแยกมิติพร้อมกับศิษย์หลักของสำนักร้อยบุปผา
เทพดาราหนานอวี๋ใช้กระจกสมบัติ์ห้าดารากำราบธงหัวกะโหลกกระดูกไขว้ที่กำลังได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง ทั้งยังกำจัดเพลิงทมิฬแปลกประหลาดบริเวณทางเข้า เพื่อให้ศิษย์จากทุกสำนักสามารถเข้าไปได้อย่างราบรื่น
ชวีจงจื๋อมองตี๋เยี่ยนจวินที่กำลังเดินเข้ามา จากนั้นก็หันกลับไปมองเทพวานรและซักถาม “สำนัก์รู้เกี่ยวกับแดนลับในยอดเขาหมื่นอสูรมากเพียงใด?”
เทพวานรส่ายหัวพร้อมกล่าวว่า “แม้พื้นที่นี้จะเป็อาณาเขตของสำนักวั่นจื๋อ แต่ท่านควรทราบด้วยว่าเราไม่ได้บุกรุกพื้นที่หลักอย่างแท้จริง จึงรู้เฉพาะสภาพภายนอกพื้นที่หลักเท่านั้น”
เยี่ยหลิงหลานกล่าวขึ้น “สำนักดาราทมิฬเชี่ยวชาญด้านการคาดการณ์ และการที่เทพดาราหนานอวี๋มาพร้อมขุมทรัพย์แห่งขุนเขาเช่นนี้ เขาจะต้องรู้อะไรบางอย่างเกี่ยวกับสถานการณ์ของยอดเขาหมื่นอสูรในคราวนี้เป็แน่ เราต้องระวังคนจากแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามของซิงซิวไว้ให้ดี”
เทพหมาป่าสีเงินเสริมว่า “ยามนี้ศิษย์สำนักซิงซิวและหยวนซิวจำนวนมากก็กำลังเร่งรีบมาที่นี่ การเดินทางสู่แดนลับครานี้อาจเต็มไปด้วยวิกฤต”
...
รอยแยกมิติทะลุผ่านแดนลับ ทั้งยังสามารถััถึงการบิดเบือนที่ทำลายเสถียรภาพของพื้นที่บริเวณทางเข้า ซึ่งทำให้ผู้ที่มีความแข็งแกร่งน้อยรู้สึกอึดอัดขึ้นมา
การสำรวจครานี้ สำนักร้อยบุปผาส่งลูกศิษย์ไปทั้งหมดสามสิบเจ็ดคน ซึ่งทันทีที่เข้าสู่รอยแยกก็มีผู้ได้รับาเ็สาหัสสิบสามคนและถูกบังคับให้ล่าถอย
สถานการณ์นี้เกิดขึ้นกับศิษย์สำนักอื่นเช่นกัน เกือบหนึ่งในสามของพวกเขาล้มเหลวในการผ่านเข้าสู่พื้นที่รอยแยกมิติ
ภายในยอดเขาหมื่นอสูร อสูริญญาและอสูรระดับสามจำนวนมากต่างรีบเข้าไปในรอยแยกมิติด้วย้าที่จะสำรวจแดนลับ
เหล่าอสูรรวมตัวอยู่ในที่แห่งนี้มาั้แ่สมัยโบราณ ว่ากันว่าที่นี่เป็สถานที่ซึ่งเก็บซ่อนความลับอันยิ่งใหญ่ แต่กลับคร่าชีวิตผู้คนไปนับไม่ถ้วน
ยามนี้ เทพดาราเทียนเสวียนแห่งตำหนักดาวเหนือนำเหล่าศิษย์มาถึงแล้ว ตามด้วยผู้าุโแห่งสำนักดาราทมิฬ สำนักอินทนิล สำนักชื่อหยวนปัง สำนักหานเทียน และโถงเพลิงทมิฬ
ผ่านไปสองชั่วยาม สองในสามแดนศักดิ์สิทธิ์ของซิงซิวก็ทยอยตามกันมา อีกทั้งสองในสี่แดนศักดิ์สิทธิ์ของหยวนซิวก็เดินทางมาถึงแล้วเช่นกัน
แดนลับของยอดเขาหมื่นอสูรดึงดูดความสนใจของผู้บำเพ็ญทุกฝ่ายในดินแดนหยวนซิง ภายในนั้นมีความลับอะไรซ่อนอยู่กันแน่?
หลายปีที่ผ่านมา ซิงซิว หยวนซิว และจื๋อซิวล้วนแบ่งแยกและต่างคนต่างอยู่ เป็เื่ยากยิ่งนักที่จะรวมตัวกันอย่างวันนี้
การแข่งขันของผู้บำเพ็ญทั้งสามฝ่ายเช่นนี้ ถือเป็งานใหญ่ในรอบศตวรรษอย่างแน่นอน
ตามข้อตกลง ศิษย์ซิงซิวและหยวนซิวได้รับอนุญาตให้เข้าไปได้ แต่จะมีข้อจำกัดเล็กน้อยเื่จำนวนคน ซึ่งสาเหตุที่สำนักวั่นจื๋อทำเป็เมินเฉยก็เพราะไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าภายในแดนลับนั้นอันตรายเพียงใด
ดินแดนหยวนซิงมีแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดสิบแห่งจากผู้บำเพ็ญทั้งสามสาย ยามนี้มีศิษย์จากแดนศักดิ์สิทธิ์หกแห่งเข้าสู่แดนลับของยอดเขาหมื่นอสูรแล้ว และจากการประมาณคร่าวๆ ก็มีจำนวนทะลุพันคน
เมื่อผ่านรอยแยกมิติเข้าไป ภาพเบื้องหน้าคือหุบเขาบุปผชาติตระการตาดุจภาพฝัน และมีลำธารใสไหลคดเคี้ยวซึ่งงดงามดั่งบทกวี ทำให้ผู้พบเห็นต่างรู้สึกราวกับสิ่งนี้ไม่ใช่ความจริง
หุบเขาแห่งนี้เต็มไปด้วยบุปผานานาพันธุ์ กลิ่นหอมของเหล่าบุปผาช่างน่ารื่นรมย์ ทั้งยังมีผีเสื้อโบยบินและภู่ผึ้งส่งเสียงหึ่ง
กลางทะเลบุปผามีสนามหญ้าทรงกลมตั้งอยู่ ซึ่งมีเนินดินเล็กๆ ตรงกลางคล้ายหลุมฝังศพ
ผู้คนมากมายที่เดินผ่านสถานที่แห่งนี้ล้วนมองข้ามเนินนี้ไป ทว่าเมื่อหนิงเทียนมาถึง เขากลับถูกเนินดินเล็กๆ นี้ดึงดูดความสนใจ
“รีบไปเถอะ อย่าปล่อยให้ตนถูกทิ้งไว้ข้างหลัง” ซิ่งอวี่เจวียนเห็นหนิงเทียนเดินช้าลงจึงรีบเตือนเขา
“ให้พวกเขานำหน้าไปก่อนเลย ข้า...”
พลันเสียงกรีดร้องโหยหวนดังมาจากด้านหน้า จากนั้นการต่อสู้ก็เริ่มต้นขึ้น ทำให้ผู้คนจำนวนมากรีบเร่งไปยังจุดนั้น
หนิงเทียนใช้โอกาสนี้ดึงซิ่งอวี่เจวียนแล้วพานางวิ่งไปยังเนินดินเล็กๆ โดยมีเงาหญ้าต้นน้อยปรากฏขึ้นข้างกาย ใบหญ้าที่พลิ้วไหวเต็มไปด้วยปราณกระบี่อันแหลมคม
“มาทำอะไรตรงนี้?” ซิ่งอวี่เจวียนจ้องมองเนินดินนั้น นางไม่เห็นสิ่งใดที่ควรค่าแก่การกล่าวถึงเลย
“มีบางอย่างฝังอยู่ที่นี่” หนิงเทียนตอบพลางปล่อยซิ่งอวี่เจวียน
เงาบงกชสีมรกต ต้นไม้แห้งเหี่ยว หญ้าต้นน้อย เถาวัลย์เขียว และลำธารรูปวงแหวนของเขาปรากฏรอบเนินดิน ก่อนจะสำรวจการเคลื่อนไหวใต้ดินอย่างระมัดระวัง
เงาบงกชของซิ่งอวี่เจวียนก็หยั่งรากในเนินดินเช่นกัน ทว่าหลังจากตรวจสอบแล้วนางก็พูดอย่างสับสน “ไม่เห็นจะมีอะไรเลย”
หนิงเทียนหมุนเวียนพลังทักษะยุทธศาสตร์ครอง์ บงกชสีมรกต หญ้าต้นน้อย เถาวัลย์เขียว และต้นไม้แห้งเหี่ยวต่างหยั่งรากลงในดิน รัศมีของการไล่ล่าหลั่งไหลเข้าสู่เนินดิน ไม่ช้าเขาก็ััได้ถึงกลิ่นอายอันมืดมน ซึ่งเป็ประเภทของอักขระที่ลึกซึ้งและคลุมเครือ
อักขระประเภทนี้มีจำนวนหลายบรรทัดและซับซ้อนอย่างยิ่ง หนิงเทียนพยายามอย่างเต็มที่แต่ก็ยังไม่เข้าใจ สุดท้ายเขาก็ต้องพึ่งทักษะยุทธศาสตร์ครอง์ เพื่อบังคับรับอักขระเข้าสู่ร่างกายและเก็บไว้ในตันเถียน
“เ้าพบอะไรหรือ?” ซิ่งอวี่เจวียนมองหนิงเทียนอย่างสงสัย
หนิงเทียนขมวดคิ้วแน่น ก่อนจะหยิบใบหญ้าจากหลุมศพขึ้นมาใส่ปากแล้วเริ่มเคี้ยว จากนั้นก็หยิบอีกใบส่งให้ซิ่งอวี่เจวียน “แม้ดอกไม้จะงดงาม ทว่ากลิ่นหอมของมันกลับขโมยจิติญญา”
สีหน้าของซิ่งอวี่เจวียนเปลี่ยนไปหลังจากได้ยินเช่นนี้ “เ้าหมายถึงกลิ่นหอมของดอกไม้มีพิษหรือ?”
หนิงเทียนพยักหน้าและกำลังจะอธิบายเพิ่มเติม แต่เมื่อััได้ว่ามีคนจ้องมองตนอยู่ เขาจึงหันไปตามสัญชาตญาณ
ศิษย์ซิงซิวกลุ่มหนึ่งเดินผ่านสถานที่นี้อย่างรวดเร็ว เมื่อหนิงเทียนมองก็พบกับเงาร่างสีเขียวที่หายไปก่อนจะเห็นได้ชัด
ความรู้สึกแปลกๆ เกิดขึ้นในใจของหนิงเทียน และกล้วยไม้เซียนเก้าชีวิตในร่างก็ตื่นขึ้นมาทันทีราวกับััได้ถึงกลิ่นอายของบางสิ่ง
“มีอะไรผิดปกติหรือ?”
ซิ่งอวี่เจวียนถามพร้อมมองกลุ่มศิษย์ซิงซิวด้วยประกายแปลกๆ ที่ฉายในดวงตา
“ดูเหมือนจะเป็ศิษย์ของตำหนักดาวเหนือนะ”
หนิงเทียนได้ยินดังนั้นจึงส่ายหัวว่าไม่มีอะไร เขาไม่รู้จักศิษย์จากตำหนักดาวเหนือเลยสักคน แต่ทำไมในใจกลับรู้สึกแปลกๆ ขึ้นมา?
“ไปกันเถอะ เราต้องรีบตามพวกนั้นไป”
แดนลับแห่งนี้ไม่มีผู้ใดรู้จัก ผู้ที่เคยเข้ามาในคราวแรกล้วนไม่ทราบว่ามันใหญ่โตแค่ไหน ทั้งยังไม่รู้ว่ามีความลับแอบซ่อนไว้มากมายเพียงใด
หนิงเทียนกำลังมองหาเถาวัลย์หัวผีพันิญญา นี่คือภารกิจที่สุ่ยหลิงมอบให้เขาก่อนที่นางจะจากไป และเขาต้องทำให้สำเร็จ
ห่างออกไปไม่กี่ลี้ มีประตูต้นไม้บานหนึ่งปรากฏขึ้นในป่ารกร้าง
มันเป็ประตูที่เกิดจากการพันเกี่ยวของกิ่งไม้แห้ง สูงประมาณสองจั้ง กว้างแปดจั้ง และเต็มไปด้วยหมอกซึ่งดูเหมือนจะสามารถนำไปสู่มิติอื่น จึงมีผู้คนมากมายต่อสู้กันในบริเวณนั้นเพื่อแย่งชิงโอกาสที่จะเข้าไปในประตู
หนิงเทียนก้าวเข้าไปในป่าแห้งแล้งและหยุดฝีเท้าลงโดยพลัน ทางด้านซิ่งอวี่เจวียนก็รีบวิ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว แต่ก็ถูกหนิงเทียนดึงกลับมา
“เป็อะไร?”
หนิงเทียนไม่ตอบอะไรและเงยหน้ามองท้องฟ้า ใบไม้สีเขียวค่อยๆ โปรยปรายลงมา เปลี่ยนป่าที่ไร้ชีวิตชีวาให้กลายเป็โลกสีเขียวขจีในทันใด
ซิ่งอวี่เจวียนตกตะลึง และเหล่าศิษย์ทั้งหลายต่างก็ประหลาดใจ
“ถอยออกไปเร็ว!” หนิงเทียนะโพร้อมแบกซิ่งอวี่เจวียนขึ้นหลัง
ทันใดนั้นใบไม้ที่ปลิวว่อนในป่าแห้งแล้งก็แปรเปลี่ยนเป็แสงกระบี่อันแหลมคม และกวัดกวาดไปทั่วทั้งบริเวณ
เสียงหวือกรีดอากาศมาพร้อมกับเสียงคำรามโหยหวน บรรดาศิษย์สำนักต่างๆ ในป่าแห้งแล้งถูกย้อมไปด้วยเื แขนขาของพวกเขาก็ล้วนฉีกขาดออกจากกัน
ซิ่งอวี่เจวียนตกตะลึงกับภาพตรงหน้า ใบไม้เขียวที่ปลิวไปทั่วท้องนภาอย่างน่าพิศวง และศิษย์หลายร้อยคนที่เสียชีวิตหรือได้รับาเ็จนล้มทั้งยืน
ในป่าเกิดเสียงลมคำรามดังก้อง ใบไม้เขียวบินโฉบไปมาอย่างรวดเร็ว ร่างประหลาดแฝงตัวอยู่ท่ามกลางใบไม้และมีแสงสีเขียวกะพริบที่ปลายนิ้ว นอกจากนี้ใบไม้แต่ละใบยังกลายเป็อาวุธสังหารที่แข็งแกร่งอย่างยิ่ง
มีผู้าเ็และหลบหนีไปจำนวนมาก คนที่เหลือบ้างก็ใช้อาวุธิญญาปกป้องร่างกาย บ้างก็ใช้ทักษะเฉพาะตัวของใบไม้เขียวทำร้ายร่างประหลาดนั้น
“ช่างเป็การเคลื่อนไหวที่ร้ายกาจจริงๆ! ใบไม้ที่ร่วงหล่นกลับคืนสู่รากเหง้าและควบคุมพลังสังหาร” ศิษย์หลักหยวนซิวคนหนึ่งกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงโกรธเคือง
“ผิดแล้ว นี่คือลมแรงพัดใบไม้ที่ร่วงหล่น คมกระบี่ฝังศพ!” เ้าของเสียงเ็านั้นทรงอำนาจอย่างยิ่ง เมื่อปลายนิ้วกระทบกับใบไม้สีเขียว พลังอันแข็งแกร่งก็ถ่ายโอนไปยังใบไม้ทันที ทำให้มันบินหมุนอยู่ในอากาศและหลีกเลี่ยงการโจมตีของศิษย์หยวนซิว ทั้งยังมีวิธีลอบสังหารที่แปลกประหลาด
ใบไม้แหลมคมดุจใบมีด มันสามารถปลิดชีวิตคนได้ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว ซึ่งสร้างความตื่นใให้บรรดาผู้เห็นเหตุการณ์
ใบหน้างามของซิ่งอวี่เจวียนเปลี่ยนสีก่อนจะโพล่งขึ้นว่า “กระบี่ใบไม้ร่วงคร่าชีวันของสำนักั์พฤกษา! เหตุการณ์นี้มีใครบางคนคอยบงการอยู่เื้ัจริงๆ”
ศพเกือบร้อยร่างถูกทิ้งไว้ในป่าแห้งแล้ง บรรดาผู้รอดชีวิตต่างหนีออกจากป่าไป และจ้องมองชายข้างประตูต้นไม้ด้วยดวงตามืดมน
ชายชุดสีเขียวผู้นี้ดูคล้ายคนวัยยี่สิบสี่ยี่สิบห้าปี เขามีใบหน้าที่เด็ดเดี่ยวและดวงตาเ็าราวหมาป่าซึ่งทำให้ผู้คนเกรงขาม ใบไม้ที่ร่วงหล่นและปลิวว่อนรอบตัวเขาราวกับภูติแห่งพงไพรที่ติดตามเขาไปตลอดทาง
“หลี่ตู้อี เ้าทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?” ศิษย์หลักของสำนักทะยานเวหาจำคนผู้นี้ได้ เขารู้สึกว่าหลี่ตู้อีจะหยิ่งผยองเกินไปแล้ว ทั้งยังไม่สนใจชีวิตของผู้อื่นอย่างแท้จริง
การสำรวจคราวนี้มีทั้งศิษย์จากสำนักซิงซิว หยวนซิว และจื๋อซิว การที่หลี่ตู้อีสังหารคนอย่างไม่เลือกหน้าเช่นนี้ไม่เพียงแต่โง่เท่านั้น แต่ยังเป็การยั่วยุอีกด้วย!
“เ้าไม่รู้จักเื่ง่ายๆ อย่างการสังหารเพื่ออำนาจหรือ? ไม่แปลกใจเลยที่เ้าไม่มีใครจดจำ”
หลี่ตู้อียิ้มอย่างเย่อหยิ่ง จากนั้นก็ชี้ประตูต้นไม้แล้วพูดว่า
“นี่เป็เพียงระดับแรก ทางที่ดีอย่าเข้าไปเลยถ้าไม่แข็งแกร่งมากพอ ข้าเกรงว่าพวกเ้าส่วนใหญ่จะตายอยู่ในนั้น”
เมื่อพูดจบเขาก็หันหลังกลับแล้วเดินอย่างสบายๆ เข้าไปในประตูต้นไม้ ก่อนจะอันตรธานไปในสายหมอก
“ช่างน่ารังเกียจยิ่งนัก! นี่เป็การดูถูกพวกเราอย่างโจ่งแจ้ง!”
“หลี่ตู้อีมีความแข็งแกร่งในระดับสูงสุดของขอบเขตผนึกดารา การเคลื่อนไหวเมื่อครู่ก็มีพลังมหาศาล จะมีสักกี่คนที่เอาชนะเขาได้?”
“ก็แค่เห็บหมัดตัวหนึ่ง คุ้มค่าที่จะใส่ใจด้วยหรือ?”
ศิษย์หยวนซิวคนหนึ่งก้าวออกมาแล้วพุ่งเข้าหาประตูต้นไม้ เมื่อคนอื่นเห็นดังนั้น พวกเขาก็ทยอยวิ่งเข้าไปทีละคน และความขัดแย้งครั้งใหม่ก็ถือกำเนิดขึ้นอีกครา
ท่ามกลางความโกลาหล หนิงเทียนกลับกำลังรวบรวมแหวนมิติอยู่ ทรัพย์สมบัติของผู้ตายหาง่ายกว่าสิ่งตอบแทนจากสำนักเป็ร้อยเท่า
“ไสหัวไปเสีย! ของเหล่านี้ข้าจะดูแลต่อเอง อ๊ะ! เ้ากำลังรนหาที่ตาย อะ...อ๊าก!”
“จะ...เ้าหัวขโมย!”
ศิษย์หลายคนแข่งขันยื้อแย่งแหวนมิติกับหนิงเทียน ทว่าพวกเขาล้วนถูกหนิงเทียนปล้นจนแทบจะร้องไห้
หนิงเทียนดึงซิ่งอวี่เจวียนเข้าไปในประตูต้นไม้ หลังประตูเป็หุบเขาแห่งหนึ่ง สองข้างทางมีผนังหินสูงชันรูปร่างคล้ายเส้นขอบฟ้า แผ่นหินขนาดใหญ่ด้านหน้าสลักตัวอักษรเปื้อนเืว่า “คนแปลกหน้าห้ามเข้า”
ขณะนี้บริเวณหุบเขากว้างประมาณสามสิบจั้งมีหลายร้อยคนมารวมตัวกัน เช่นเดียวกับเหล่าอสูรหลากหลายสายพันธุ์
ทุกคนมองแผ่นหินเปื้อนโลหิตและต่างพิจารณาว่าจะก้าวไปข้างหน้าดีหรือไม่
หลังแผ่นหินเป็พื้นที่แบบใด?
เหตุใดจึงสลักไว้ว่าคนแปลกหน้าห้ามเข้า?
แล้วยามนี้เถาวัลย์หัวผีพันิญญาไปซ่อนตัวอยู่ที่ใด?
เป็เื่ยากที่มนุษย์จะย่างกรายเข้ามาที่นี่ แล้วเหตุใดจึงมีคำเตือนจากมนุษย์อยู่ตรงนี้ได้เล่า?
คำถามเหล่านี้ล้วนเป็สิ่งที่ยากจะอธิบาย ทั้งยังทำให้หลายคนสับสนเป็อย่างมาก
---------------------------------------
[1] ศาลาริมน้ำย่อมรับแสงจันทร์ก่อน (近水楼台先得月) หมายถึง ผู้มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดหรืออยู่วงในย่อมได้เปรียบหรือได้ผลประโยชน์ก่อนหรือมากกว่าผู้ที่อยู่วงนอก
