จวนเซ่อเจิ้งอ๋อง
เซียวเจวี๋ยเพิ่งจะกลับมาจากวังหลวง
ฉู่สือวางรายงานของเหล่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่ไว้บนโต๊ะ และอดไม่ได้ที่จะถามว่า “ท่านอ๋อง เื่นี้เกี่ยวข้องกับตู้หรูฮุ่ยจริงๆ หรือพ่ะย่ะค่ะ? เ้านั่นคงอยากจะจัดพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพของฮ่องเต้เหยียนมากน่าดู!”
“เื่นี้มันไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก ไม่ว่าตู้หรูฮุ่ยจะสมรู้ร่วมคิดกับคนชั่วนั่นหรือไม่ก็ตาม อย่างไรก็ตาม ยามนี้คนกังวลมากที่สุดในการสืบหาความจริงก็คือเขา” เซียวเจวี๋ยพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ฉู่สือก็ยิ้มออกมา “ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ ท่ามกลางขุนนาง เขาคือคนที่น่าสงสัยที่สุด”
“ไม่ต้องรีบร้อน ความจริงจะเผยออกมาไม่ช้าก็เร็ว” เซียวเจวี๋ยจิบชาอย่างช้าๆ “ตราประทับการจุติในมือของหญิงสาวผู้นั้นเป็เหยื่อล่อที่ดีที่สุด ไม่มีใครสามารถยับยั้งชั่งใจไว้ได้หรอก”
ฉู่สือพยักหน้า “อย่างไรก็ตามแต่ ซานหุนของฮ่องเต้เหยียนก็ถูกขังในตะเกียงแห่งชีวิต ทั้งยังแช่อยู่ในน้ำมันศพนานขนาดนั้น เกรงว่าคงจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นานพ่ะย่ะค่ะ”
เซียวเจวี๋ยไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง “ให้จื่อโตวตรวจดูบัญชีเกิดตายของมนุษย์ก่อน ดูว่าชะตากรรมของฮ่องเต้เหยียนจะอยู่ได้นานอีกแค่ไหน หากเขาไม่ควรตายก็พอจะยื่นมือเข้าช่วยได้”
ฉู่สือตอบตกลง เมื่อจะถอยออกมา ก็นึกอีกเื่หนึ่งขึ้นมาได้
“าา หลิงเฟิงยังคงคุกเข่าอยู่ด้านนอกพ่ะย่ะค่ะ”
หลังจากที่เ้าโง่นั่นถูกไล่ออกมาจากวังหลวงมาั้แ่เมื่อวาน เซียวเจวี๋ยก็สั่งให้เขาคุกเข่าตลอดมา จนกระทั่งตอนนี้ยังไม่ลุกขึ้น
ถึงแม้ฉู่สือจะรู้สึกว่าเ้าโง่เง่านี่ควรถูกกำจัดตั้งนานแล้วด้วยซ้ำ ทว่า สุดท้ายก็เป็พี่น้องกันมาหลายปี จึงรู้สึกทนดูไม่ได้นิดหน่อย
ดวงตาของเซียวเจวี๋ยสั่นไหวเล็กน้อย “เขามาจากที่ไหนก็ให้กลับไปที่นั่น”
คนที่เป็ตัวปัญหาแบบนั้น ถึงอยากจะกลับมาในตอนนี้ เขาก็ไม่รับหรอก
ฉู่สือถอนหายใจและออกไปบอกข่าวอย่างเงียบๆ
หลิงเฟิงผู้น่ารักเกือบจะร้องไห้ “เหตุใดท่านอ๋องถึงโหดร้ายกับข้าเช่นนี้ องค์หญิงไม่้าข้า ท่านอ๋องก็ไม่้าข้า ข้ามันก็แค่เด็กยากไร้ ไม่มีพ่อแม่...”
มุมปากของฉู่สือยกขึ้น “เด็กน้อย ถ้าเ้ายังไม่ไป เกรงว่าอาจจะถูกท่านอ๋องทุบตีจนตาย”
หลิงเฟิงตัวสั่นเทา และยื่นมือที่บอบบางออกมา
“อะไร?” ฉู่สือมองเขาอย่างหมดความอดทน
“ขาข้าไม่มีแรง เหล่าฉู่ช่วยข้าหน่อย” หลิงเฟิงมองเขาราวกับสุนัขตัวน้อยที่กระดิกหางไปมา เพื่อขอความเมตตา
ฉู่สือถึงกับขนลุกขนพอง เงยศีรษะขึ้นและเตะไปหนึ่งครั้ง
“โอ๊ย!”
“ถ้าลุกขึ้นไม่ได้ก็คลานเอาก็แล้วกัน!”
“เหล่าฉู่ เ้ามันนิสัยไม่ดี รอให้องค์หญิงอภิเษกสมรสแล้วเป็หวังเฟยก่อนเถอะ ข้าจะให้นางรังแกเ้าทุกวันเลยคอยดู!”
“ฝันไปเถอะ! ชาตินี้ อย่าได้หวังว่านางจะเข้ามาในจวนอ๋องแห่งนี้เด็ดขาด!”
...
เซียวเจวี๋ยที่ได้ยินเสียงข้างนอกก็ถอนหายใจ และจับไปที่ระหว่างคิ้วทั้งสอง การอภิเษกช่างเป็เื่ที่น่าปวดหัวจริงๆ
เมื่อก่อนเป็เพราะเขายังไม่ฟื้นความทรงจำ พลังดั้งเดิมในตัวนางที่ถูกเขากลืนกินมา มันช่วยทำให้เขาจำอดีตขึ้นมาได้ เลยยินยอมอภิเษกกับนาง
ทว่า ตอนนี้...
ในเมื่อจำทุกอย่างได้แล้ว แถมนางยังเป็น้องสาวของเย่เหยียนอีก ดังนั้น ไม่มีทางที่จะปล่อยให้นางแต่งเข้ามาในจวนอ๋องแห่งนี้เด็ดขาด!
...
“ฮัดชิ่ว” ชิงอีจามออกมา บีบจมูก พร้อมกับใบหน้าไม่มีความสุข
จิ้งหรีดตัวไหนกล้านินทานางลับหลังกัน?
“องค์หญิงอาจจะเป็หวัดนะเพคะ หม่อมฉันจะไปเรียกหมอหลวงมาดูอาการนะเพคะ” ต้านเสวี่ยยื่นชาร้อนให้นางและพูดด้วยความกังวล
“ไม่ต้องหรอก เทพเ้าแห่งโรคระบาดพวกนั้นไม่กล้ามาทำอะไรข้าหรอก” ชิงอีจิบชาร้อนและพูดอย่างเยาะเย้ยออกมา “คงมีคนนินทาข้าลับหลังแน่ๆ”
ต้านเสวี่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา เฮ้อ องค์หญิงเริ่มตรัสเื่ไร้สาระอีกแล้วสินะ
“ถ้ามีใครขับไล่เทพเ้าแห่งโรคระบาดไปได้ ก็ดีเลยสิเพคะ ฝ่าาก็จะได้หายประชวร พวกหมอหลวงก็จะได้ไม่ต้องตกมาอยู่ในสภาพที่น่าสงสารเช่นนี้” เถาเซียงที่เพิ่งจะรดน้ำดอกไม้เสร็จ เมื่อเดินเข้ามาแล้วได้ยินเข้าก็รีบพูดออกไปอย่างรวดเร็ว “ทางฝั่งของวังเฟิ่งเทียนก็พบกับความล้มเหลวอย่างน่าสะพรึงกลัว ข้าได้ยินมาว่ากลุ่มหมอหลวงไม่ได้หลับเป็เวลาสามวันสามคืน ทว่า พระอาการของฝ่าาก็ไม่ได้ดีขึ้นเลย”
“ความเป็ความตายล้วนแล้วมีโชคชะตา แม้แต่เ้าแห่งโลกมนุษย์ก็ยังมีวันตาย” ชิงอีพูดด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย “หากชะตาของเขายังไม่ถึงเวลาตาย อย่างไรเสียเขาก็จะฟื้นขึ้นมาอยู่แล้ว”
เมื่อสาวน้อยทั้งสองได้ยินเช่นนั้นก็ใเป็อย่างมาก จนรีบปิดประตูตำหนักอย่างรวดเร็ว
“องค์หญิง เหตุใดท่านถึงพูดเื่เหลวไหลอีกแล้วเพคะ!”
ก่อนหน้านั้นที่อยู่ข้างนอก ถือว่าไม่เป็ไร แต่ตอนนี้กลับมาถึงวังหลวงแล้ว หากใครได้ยินเข้า ต้องซวยแน่ๆ!
ชิงอีขำพรืด พร้อมกับสายที่จ้องไปยังสองสาวที่เอะอะโวยวายกลายเป็กระต่ายตื่นตูม
นางโบกมือไป สั่งให้พวกเขาเปิดประตูตำหนักอีกครั้ง
เมื่อกำลังจะออกไปสูดอากาศ ก็กลับได้ยินเสียงของชิวอวี่
“ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะ องค์รัชทายาท!”
ฉู่จื่ออวี้เดินเข้ามาด้วยใบหน้าที่มืดมน เมื่อเขาเห็นชิงอี ก็เดินตรงเข้าไปจนคนรอบข้างต้องหลีกทางให้
เมื่อทุกคนหลีกทางให้ ชิงอีก็มองเขาอย่างเกียจคร้าน “เ้านี่ว่างตลอดทั้งวันเลยจริงๆ สินะ ถึงได้เที่ยวเดินระรานคนอื่นไปทั่ว?”
“ท่านจริงจังหน่อยได้ไหม!” ฉู่จื่ออวี้ที่พูดด้วยอารมณ์ไม่ดี เสด็จพ่อถูกคนชั่วคิดร้ายจนป่วยและนอนติดเตียงขนาดนั้น ทว่านางกลับไม่ได้แสดงความกังวลใดๆ เลย
เพียงแต่...
ยามคิดไปถึงตอนที่นางถูกเนรเทศไปยังเมืองหย่งเย่ ฉู่จื่ออวี้ก็พอจะเข้าใจว่า ในใจของนางคงจะมีความขุ่นเคืองใจต่อเสด็จพ่อตลอดมาสินะ?
“ไม่ว่าอย่างไร เขาก็เป็เสด็จพ่อของเรา ตอนนั้นมีข่าวลือกันไปทั่วทั้งวังว่าท่านเป็คนปลงพระชนม์เสด็จแม่ เสด็จพ่อเขาก็เลย...”
“ถ้าเ้าจะมาพูดเื่เก่าๆ ที่ผ่านมานานหลายปีมาแล้ว ก็ไสหัวออกไปซะ” ชิงอีพูดด้วยความหงุดหงิด มันไม่ใช่เื่ของนางเสียหน่อย!
นางเข้ามาในห้องอย่างเกียจคร้าน ลงไปนอนบนตั่งและหาววอดออกมา อากาศเช่นนี้ ช่างเหมาะแก่การนอนจริงๆ
ฉู่จื่ออวี้ที่อารมณ์ไม่ดี วิ่งไปที่ม้านั่งตรงข้ามตั่ง และจ้องนางด้วยใบหน้าหล่อเหลาอันแสนเ็า หลังจากนั้นไม่นาน ท่าทีของเขาก็อ่อนลง กัดริมฝีปากและพูดว่า “ท่านมีวิธีที่จะ...ช่วยเสด็จพ่อบ้างไหม?”
ชิงอีลืมตาขึ้นมาอย่างเอื่อยเฉื่อย “หมอหลวงมากมายขนาดนั้นยังทำอะไรไม่ได้เลย แล้วข้าจะไปทำอะไรได้?”
“แต่ข้าได้ยินมาว่า...” เขาหยุดพูดไปครู่หนึ่ง ตอนเดินทางกลับ หลิงเฟิงคุยโม้โอ้อวดถึงความกล้าหาญของนางตลอดทาง นอกจากนี้ นางยังเป็คนแรกที่พบถึงความผิดปกติของน้ำมันตะเกียง ฉู่จื่ออวี้ก็เลยรีบร้อนมาขอความช่วยเหลือจากนาง
แม้ในขณะที่พูด เขาเองก็รู้สึกว่ามันช่างไร้สาระเอาเสียจริง
ต้องรู้ไว้ว่าคุณไสยเป็สิ่งต้องห้ามในวังหลวง หากให้คนอื่นรู้ว่านางเข้าใจเื่เหล่านี้ละก็ เกรงว่าวันข้างจะอยู่อย่างลำบากยากเย็น
“ช่างมันเถอะ ถือว่าข้าไม่ได้มาที่นี่ก็แล้วกัน!”
ฉู่จื่ออวี้ยืนขึ้นอย่างสิ้นหวังและเตรียมที่จะเดินออกไป
“ตอนที่ข้าอยู่ที่เมืองหย่งเย่ ข้าได้เรียนรู้คาถาบางอย่างของซวนเหมิน” ชิงอีที่พูดขึ้นมาอย่างกะทันหัน
ฉู่จื่ออวี้หันกลับมามองที่นางด้วยความประหลาดใจ
เื่บางอย่างมันก็ไม่สามารถปกปิดได้ สู้ยอมรับไปอย่างเปิดเผยเสียดีกว่า อย่างไรก็ตามชิงอีก็เก่งเื่คุยโม้ไร้สาระเช่นนี้อยู่แล้ว
“ท่านจะไปเรียนรู้สิ่งเ่าั้ได้อย่างไรกัน?”
ชิงอีเลิกคิ้วและจ้องมาที่เขา ทำไมล่ะ เ้าดูถูกนางหรือไง?
ฉู่จื่ออวี้เงียบไปครู่หนึ่ง สายตาที่มองดูนางก็ค่อยๆ เปลี่ยนจากความประหลาดใจเป็ความโล่งใจและความปวดใจเล็กน้อย
ใช่ ในตอนที่พี่หญิงของเขาออกไป นางเพิ่งจะอายุเพียงไม่กี่ปี เมืองหย่งเย่ก็อยู่ไกลโพ้นเสียขนาดนั้น ข้างกายก็ไม่มีคนสนิท หากไม่ได้เรียนรู้สิ่งเ่าั้เอาไว้บ้าง เกรงว่าคงจะไม่มีชีวิตอยู่จนถึงทุกวันนี้หรอก!
ดูจากท่าทางของนางที่ดูอ่อนแอในตอนที่กลับวังมาคราแรกแล้ว เกรงว่าจะแม้แต่กินข้าวก็ยังยากลำบาก
เขาก้าวไปข้างหน้าและจับมือของชิงอี
“ต่อจากนี้ไป มีข้าอยู่ ข้าไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายท่านอย่างแน่นอน!” ฉู่จื่ออวี้กัดฟันและพูดด้วยท่าทางที่แน่วแน่ “ถึงจะเรียนคาถาซวนเหมินเ่าั้มาแล้วก็ช่างมัน! ตราบใดที่ไม่ได้ทำอะไรที่มันโเี้ไร้จริยธรรม ก็ถือเสียว่ามันเป็วิชาติดตัวอย่างหนึ่งก็แล้วกัน”
แววตาของชิงอีสั่นไหวเล็กน้อย นางจ้องมองไปยังใบหน้าที่กล้าหาญของชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้านาง “หากข้าเคยทำเื่ที่มันโเี้ไปล่ะ?”
ใบหน้าของฉู่จื่ออวี้ถึงกับแข็งทื่อไป จากนั้นก็สะบัดหน้าไปครั้งหนึ่ง เขาก็กัดฟันแน่น “ท่าน...ฆ่าใครไปแล้วงั้นหรือ?”
“อืม?”
“ข้าจะช่วยท่านทำลายศพเอง!!”
อุ๊บ...
“ฮ่าๆๆๆ” ชิงอีหัวเราะจนตัวโยน
ฉู่จื่ออวี้ตกตะลึงงันไป เมื่อสติกลับคืนมาก็ตระหนักได้ว่าเขาถูกหลอก เมื่อครู่เขาอุตส่าห์พูดด้วยความจริงใจ ทว่ากลับกลายเป็โดนหลอกเสียได้ ทำให้ใบหน้าของเขาถึงกับร้อนผ่าวขึ้นมาทันที และจ้องมองไปที่นางด้วยความโกรธเกรี้ยว
“ฉู่ชิงอี!!!”
ชิงอียืนขึ้นและขยี้ผมของเขาจนยุ่งเหยิง ฉู่จื่ออวี้จึงยิ่งรู้สึกหงุดหงิดมากขึ้นไปอีก ทว่า เมื่อเขาได้ฟังสิ่งที่นางพูดว่า “ไปกันเถอะ ไปช่วยพ่อของเ้ากัน”
ฉู่จื่ออวี้ถึงกับตะลึงงันไป ใจก็เต้นรัวขึ้นมา เขาเดินตามหลังนางไป ปากก็ไม่ลืมที่จะพึมพำว่า “นั่นก็พ่อของท่านเหมือกันนะ...”
