หูฉางกุ้ยรีบกลับมาจากสถานที่ทำอาหารหมักเพื่อมาทานข้าว
่นี้ได้รับผลกระทบจากความวุ่นวายอันเกิดจากภัยาทางตะวันตกเฉียงเหนือ ราคาเนื้อหมูเริ่มเพิ่มสูงขึ้น หูฉางกุ้ยกับหูฉางหลินได้ไปหาเหนียนเสียงหลินเนื่องด้วยปัญหานี้มาแล้ว
เหนียนเสียงหลินให้สกุลหูเร่งทำต่อได้ ราคาเนื้อที่สูงขึ้นนั้น สือหลี่เซียงอย่างพวกเขาจะปรับราคาจัดซื้อให้อย่างเหมาะสม ขอแค่ราคาเนื้อหมูไม่ได้ขึ้นสูงจนไร้เหตุผลเกินไป อาหารหมักและเนื้อตากแห้งจะยังคง้าปริมาณเช่นปีที่แล้วๆ มา ให้จัดทำตามเดิม
อย่างไรเสียาชายแดนก็ห่างไกลจากพวกเขามาก ผลกระทบเทียบไม่ได้กับการที่ผู้อพยพก่อจลาจลอย่างรุนแรงในปีที่แล้วเลย
ตราบใดที่ไม่มีโจรูเาและผู้ก่อจลาจลเกิดขึ้น สถานการณ์ในเอ้อโจวก็ไม่นับว่าโชคร้ายเท่าไร
ด้วยเหตุนี้ สถานที่ทำอาหารหมักของสกุลหูจึงไม่ได้หยุดทำงาน ยังคงหมุนเวียนอยู่เช่นนี้เป็ปกติ แต่เวลาหูฉางกุ้ยกับหูฉางหลินไปรับซื้อเนื้อหมู อาจเสียเวลามากหน่อย ต้องไปยังหมู่บ้านที่ค่อนข้างไกลถึงจะสามารถได้ราคาเนื้อหมูที่เหมาะสมมา
อาหารกลางวันแบ่งออกเป็สองโต๊ะ
ฟางเสิงกับหูฉางกุ้ยอยู่ร่วมกันมาสามปีโดยไม่ได้ห่างเหินหรือใกล้ชิดกันนัก แต่ก็สามารถพูดคุยด้วยกันได้
“พี่รองหู วันนี้ออกไปรับหมูราบรื่นดีหรือไม่?” ฟางเสิงถาม
“พอได้อยู่ แค่วิ่งไปไกลหน่อยเท่านั้นเอง ชาวบ้านที่เลี้ยงหมูบริเวณใกล้เคียง เรียกราคาแพงกว่าในูเาสองเหวิน ข้ากับพี่ชายใหญ่เลยไปรับในหมู่บ้านที่ห่างไกลจากตัวเมืองไปหน่อย” สองวันมานี้หูฉางกุ้ยออกจากบ้านแต่เช้าตรู่ ผ่านไปหนึ่งถึงสองชั่วยามจึงจะซื้อหมูกลับมา วิ่งไปค่อนข้างไกลจริงๆ
“เมืองตานชังถูกตีแตก ฮ่องเต้ก็ยังประชวรอยู่ จิตใจประชาชนว้าวุ่นนัก ราคาสินค้าจะขึ้นก็เป็สิ่งที่ยากจะเลี่ยงได้” ฟางเสิงถอนหายใจ
“ก็ไม่ใช่เพราะเช่นนั้นหรอกหรือ เดิมทีเจินจูยังบอกว่าหากสถานการณ์ไม่ดีจริงๆ การค้าขายอาหารประเภทหมักของปีนี้ให้หยุดไปก่อน โชคดีที่เ้าของร้านเหนียนมีเหตุผล เมื่อเนื้อหมูราคาเพิ่มขึ้น ราคารับซื้อของพวกเขาก็จะปรับเพิ่มขึ้นให้ตามไปด้วย” หูฉางกุ้ยกำลังทานอาหาร รอยยิ้มบนใบหน้าผ่อนคลายลง ตราบใดที่การทำอาหารหมักไม่ได้หยุดชะงัก หากต้องเดินทางไกลขึ้นหน่อยก็ไม่เป็ไร
“ฮ่าๆ พวกเขาขึ้นราคารับซื้อ ราคาขายให้ผู้ที่้าก็ขึ้นตามไปด้วย ล้วนเป็เหมือนกันหมด คนทำธุรกิจการค้าไม่มีทางทำการซื้อขายขาดทุนแน่นอน” ฟางเสิงก็ยิ้มแล้วกล่าวไปด้วย
“นั่นเป็ธรรมดา…”
อีกโต๊ะหนึ่ง จ้าวหงยู่เอาแต่ก้มหน้าก้มตาพุ้ยข้าวของตนเอง กกหูแดงลามไปทั่ว
การแต่งงานของสองคนได้กำหนดไว้แล้วอยู่ใน่ต้นเดือนสิบสอง จ้าวหงยู่ล้วนยุ่งอยู่กับการตระเตรียมก่อนแต่งงาน เดิมทีนางคิดมาตลอดว่าหลังจากแต่งงานกันแล้ว ต้องออกจากการทำงานที่บ้านของสกุลหูหรือไม่ แต่สกุลหูกลับไม่เอ่ยถึงแม้แต่น้อย ทั้งยังให้นางลาแต่งงานได้ครึ่งเดือน เริ่มหยุดสามวันก่อนแต่งงาน และรอให้ผ่านวันที่สิบห้าไปค่อยกลับมาทำงานที่บ้านสกุลหูอีกครั้ง
จ้าวหงยู่ซาบซึ้งอย่างมาก หลังผ่านการหารือกับคนในครอบครัวแล้ว จึงตัดสินใจว่าจะทำงานอยู่บ้านสกุลหูต่อ ตามความคิดเห็นของพานซื่อคือรอให้จ้าวหงยู่ตั้งครรภ์แล้ว ค่อยลาออกจากการทำงานที่บ้านของสกุลหูก็ยังไม่สาย
เมื่อจ้าวหงยู่คิดถึงคำพูดของพานซื่อ เืแดงฝาดบนใบหน้าก็ยิ่งเข้มขึ้นอีก
หลี่ซื่อทนมองต่อไปไม่ได้ จึงคีบกับข้าวหนึ่งตะเกียบส่งเข้าไปที่ถ้วยของนาง จ้าวหงยู่จึงไม่ได้พุ้ยข้าวเปล่าอย่างเดียวแล้ว
เจินจูมองความน่าสนใจ แล้วลอบยิ้มขึ้น
ทานอาหารเสร็จ ฟางเสิงกับอาชิงก็กลับไปยังบ้านตนเอง
อาชิงอุ้มเ้าเหมาฉิววางลงในลานบ้าน ลูกสุนัขตัวน้อยของบ้านสกุลหูล้วนมีสถานที่ไปใหม่กันหมดแล้ว เหมาฉิวจึงเป็ลูกสุนัขตัวสุดท้ายที่แยกจากเสี่ยวหวง
ขนยุ่งเหยิงสะอาดหมดจน ดวงตาดำสนิทกลมดิก เหมาฉิวเริ่มสำรวจไปทั่วในลานบ้านอย่างฉลาดปราดเปรื่อง
ฟางเสิงขมวดคิ้วเล็กน้อย “ข้าจำที่เด็กสาวเจินจูผู้นั้นเคยพูดได้ ว่าลูกสุนัขต้องอาบน้ำอยู่เป็ประจำ เ้าอุ้มลูกสุนัขบ้านนางมา หากเลี้ยงมันสกปรกมอมแมม นางคงต้องชักสีหน้าใส่เ้าแน่”
เด็กสาวสกุลหูมีเอกลักษณ์เฉพาะอย่างมาก ราวกับมีดวงสมพงศ์ต่อสัตว์มาั้แ่กำเนิด ไม่ว่าจะเป็สัตว์อะไร เมื่อได้เจอกับนางล้วนใกล้ชิดเป็พิเศษ
ม้าป่าสองตัวของที่บ้านนี้ ขณะที่เพิ่งกลับมาจากการฝึกสอน อุปนิสัยยังดุร้ายอยู่มาก ทว่านับั้แ่แม่นางน้อยผู้นั้นส่งหญ้าเลี้ยงป้อนให้สามครั้ง ม้าป่าสองตัวเมื่ออยู่ต่อหน้านางกลับเชื่อฟังยิ่งกว่าม้าเลี้ยงเสียอีก
ครั้นเมื่อนางฝึกขี่ม้า ไม่ต้องเสียแรงมากก็สามารถขี่ม้าเดินเล่นไปทั่วทุกแห่งหนได้อย่างรวดเร็วนัก
ผู้ที่เป็มือใหม่เช่นกันอย่างผิงอันกับอาชิงต่างก็ไม่ได้ราบรื่นเพียงนั้น ม้าป่านิสัยดุร้ายหลายครั้งนักที่คิดจะสลัดเขาร่วงลงมา
พอสองอย่างเปรียบเทียบกัน สามารถกล่าวได้แค่ว่าดวงสมพงศ์ต่อสัตว์ของเด็กสาวผู้นั้นดีจนทำให้คนอิจฉาเลยทีเดียว
ผิงอันก็อิจฉาผู้เป็พี่สาวของเขามาโดยตลอด ั้แ่เด็กจนโต สัตว์ที่บ้านล้วนใกล้ชิดกับพี่สาวของเขาเป็พิเศษ
“ฮิๆ ข้าทราบน่า อาจารย์ พี่เจินจูเคยบอกแล้ว ข้าก็รับปากนางไปแล้วด้วย ภายในห้าถึงสิบวันต้องช่วยอาบน้ำให้มันอย่างแน่นอนขอรับ” ตอนแรกที่เขาเสนอตัวจะเลี้ยงเ้าเหมาฉิว เจินจูก็ไม่ได้เห็นด้วยแต่อย่างใด เขาขอร้องอยู่หลายวัน นางถึงได้ยินยอมอย่างเสียมิได้ และได้ให้เขารับปากกับนางเป็พิเศษว่าต้องดูแลเื่ความสะอาดของเ้าเหมาฉิวให้ดี
ฟางเสิงชำเลืองมองเขาแวบหนึ่ง พวกเขาอาจารย์และศิษย์ไม่ค่อยเอาใจใส่รายละเอียดปลีกย่อยในชีวิตโดยเสมอมา เด็กสาวผู้นั้นไม่ชอบใจอย่างมาก ทุกครั้งที่เห็นอาชิงไม่เปลี่ยนเสื้อผ้าสองวันจะขมวดคิ้วขึ้นทันที อาชิงอุ้มเ้าเหมาฉิวตัวนั้นจากนางกลับมาได้ ต้องรับปากเงื่อนไขไปไม่น้อยแน่ๆ
“เ้าดูแลเองดีๆ ล่ะ แต่ไหนแต่ไรมานางไม่ใช่คนที่จะทำอย่างขอไปทีได้ง่ายนะ” ตอนที่อาชิงนำเสื้อผ้าที่ยังไม่ได้ซักสวมไปบนกายอีกครั้ง เด็กสาวผู้นั้นพอได้เข้าใกล้ก็ค้นพบขึ้นทันที นางไม่ได้ดุด่าอาชิงหรอก แค่ใช้สายตารังเกียจมองเท่านั้น ทุกครั้งอาชิงล้วนถูกนางจ้องจนขนลุกซู่ เวลาทำเื่เช่นนี้อีกจึงไม่กล้าเดินแกว่งไปมาอยู่ต่อหน้านางอีกเลย
อาชิงย่อมรู้ดี เขาถูกนางรังเกียจมาจนนับครั้งไม่ถ้วนแล้ว ภายหลังเขาเรียนรู้และกลั่นกรองออกมาได้ว่าหากไม่เปลี่ยนเสื้อผ้าหรือสวมเสื้อผ้าที่ไม่ได้ซัก จะพยายามไม่ไปปรากฏอยู่ต่อหน้านางอย่างสุดกำลัง เพราะอย่างนี้ในสายตาของนาง เขาจึงกลายเป็ตัวแทนของความมอมแมมไม่รักษาความสะอาด
แต่เขารู้สึกไม่ได้รับความเป็ธรรมอย่างมาก อาจารย์มักไม่เปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่สามวันห้าวัน เขาแค่ไม่เปลี่ยนเสื้อผ้าสองวันเท่านั้นเอง ตรงไหนที่กลายเป็คนไม่รักความสะอาดกัน ทุกครั้งล้วนเอาแต่รังเกียจเขา ทำไมไม่ไปรังเกียจอาจารย์บ้าง
เจินจูต้องรังเกียจเป็ธรรมดา นางรู้ั้แ่แรกแล้วว่าการใช้ชีวิตของอาจารย์และศิษย์เคยชินกับความเกียจคร้าน ทุกครั้งที่เข้าไปภายในบ้านของพวกเขา นางจึงขมวดคิ้วขึ้นอย่างอดกลั้นไม่อยู่
แท่นเตาในห้องครัวมันเลื่อม ด้านในของกระทะหม้อใหญ่อยู่ในสภาพที่หลังทำกับข้าวแล้วไม่ล้างให้สะอาดอยู่เสมอ พื้นอิฐสีฟ้าใต้ฝ่าเท้าเต็มไปด้วยเศษฝุ่นดิน เครื่องครัวในตู้และถ้วยชามกองตามอำเภอใจ สรุปแล้วไม่มีสักส่วนที่ทำให้นางมองแล้วเจริญหูเจริญตาได้เลย
ภายหลังจ้าวหงยู่เข้ามาส่งอาหารให้ ทนมองไม่ได้จริงๆ จึงช่วยทำความสะอาดอยู่สองสามหน ถึงได้ดูเหมือนสะอาดขึ้นได้บ้าง
เจินจูยึดถือว่าดวงตาไม่เห็นจิตใจไม่ถูกรบกวน คร้านที่จะเอาใจใส่พวกเขานัก
ทว่าที่จ้องอาชิงด้วยความรังเกียจไม่เลิก เป็เพราะอากาศร้อนยิ่งนัก แล้วเขาฝึกการต่อสู้อยู่ทั้งวัน เหงื่อออกมากตั้งเท่าไร กลับยังไม่ยอมเปลี่ยนเสื้อผ้า! นางจะทนได้หรือ? จะไม่รังเกียจได้หรือ?
นิสัยเกียจคร้านเพียงนี้ พอตอนที่อาชิงเอ่ยปากว่าอยากได้ลูกสุนัข เจินจูจึงปฏิเสธไปทันทีโดยไม่คิดเลยสักนิด
ลูกสุนัขแสนน่ารัก หากให้เขาเลี้ยง่ระยะเวลาหนึ่งเกรงว่าบนตัวต้องเริ่มมีหมัดงอกขึ้นอย่างแน่นอน
ต่อมาอาชิงอ้อนวอนพร้อมยืนยันครั้งแล้วครั้งเล่า นางถึงได้ฝืนรับปากไป แน่นอนว่าย่อมมีเงื่อนไขที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ไม่น้อยเลยทีเดียว
อย่างเช่น ภายในห้าถึงสิบวันต้องอาบน้ำให้เ้าเหมาฉิวหนึ่งครั้ง ต้องฝึกเ้าเหมาฉิวขับถ่ายที่ห้องส้วม รังสุนัขของมันหนึ่งเดือนต้องซักหนึ่งครั้ง...
อาชิงล้วนกัดฟันรับปาก ผู้ใดให้เขาอิจฉาที่บ้านผิงอันมีเสี่ยวหวงแสนเชื่อฟังกันล่ะ
“พี่อาชิง ท่านอาจารย์ฟาง พวกท่านกลับมาแล้ว?” หน้าประตูมีหนึ่งศีรษะเล็กยื่นออกมา
อาหยุนอายุเก้าปีหันไปยิ้มทักทายทางพวกเขา ดวงตาเฉลียวฉลาด ใบหน้าแดงชุ่มชื้น แข็งแรงมีชีวิตชีวาจนทำให้คนอยากบีบใบหน้าเล็กรูปไข่ของนางนัก
“อาหยุน เ้ามาได้อย่างไร? ทานอาหารกลางวันแล้วหรือ?” อาชิงรีบกวักมือให้นางเข้ามา
“ทานแล้ว ท่านแม่ข้าทำยู่โถวเกา [1] เลยเอามาให้บ้านท่านนิดหน่อย” นางยื่นตะกร้าในมือให้เขา “พวกท่านไปเมืองที่เป็อำเภอมาหรือ อาหยวนกับอากางพวกเขาสบายดีหรือไม่?”
อาชิงรับตะกร้ามาแล้วหยิบยู่โถวเกาด้านในออกวางลงบนโต๊ะทานข้าวทรงสี่เหลี่ยมในห้องโถง
“พวกเขาสบายดีอย่างมากเลยล่ะ แค่ด้านนอกไม่สงบเล็กน้อย เลยเตรียมเข้าหลบในเมือง”
ฟางเสิงเห็นเด็กสองคนพูดคุยกันคึกคัก จึงกลับไปห้องของตนเอง
“ในเมืองมีที่หลบหรือ?”
“มีสิ สกุลหูซื้อบ้านหลังหนึ่งไว้ในเมือง ให้ผู้าุโติงนำทุกคนเข้าไปอยู่ชั่วคราว”
“อ๋อ ครอบครัวพี่สาวเจินจูเป็คนดีเกินไปแล้วจริงๆ!”
“ฮิๆ ใช่แล้ว ครอบครัวพวกเขาล้วนเป็คนดีกันทุกคนเลยล่ะ”
“เอ๋ นี่เป็เ้าเหมาฉิวหรือ?” อาหยุนดวงตาเป็ประกายขึ้นมาทันใด แล้ววิ่งไปที่ลานบ้านทันที
“เ้าเหมาฉิวๆ มานี่เร็ว!”
สัตว์ตัวน้อยขนนุ่มนิ่มสำหรับเด็กน้อยแล้ว ย่อมไม่อาจต่อต้านแรงดึงดูดได้เลย
เหมาฉิวเล่นกับพวกเด็กๆ จนคุ้นชินเป็อย่างดีจึงส่ายหางวิ่งเข้าไปหา
อาหยุนอุ้มเ้าเหมาฉิวขึ้น กล่าวกับอาชิงด้วยความอิจฉา “ข้าก็อยากเลี้ยงหนึ่งตัวเช่นกัน”
อาชิงเลิกคิ้วขึ้น ท่าทางลำพองใจอย่างมาก “สุนัขของพี่เจินจู ไม่ใช่ผู้ใดก็ล้วนสามารถเลี้ยงได้นะ”
อาหยุนเบะปาก ขณะที่อาชิงจะอุ้มเ้าเหมาฉิวมาเลี้ยง... นางก็รู้ดี
แต่เ้าเหมาฉิวเลี้ยงอยู่บ้านอาชิง ต่อไปนางก็สามารถมาเล่นกับเ้าเหมาฉิวได้สะดวกสบายอย่างมาก ลานบ้านใหญ่ของสกุลหูสำหรับนางแล้ว มีสง่าและดีมากเกินไป นางไม่กล้าเข้าไปคนเดียว
หวงถิงเฉิงมาจากหมู่บ้านต้าวัน ในมือหิ้วตะกร้าที่ใส่ปลากินหญ้าตัวใหญ่สี่ตัวมาด้วย นี่เป็ของที่เจินจูมอบเหรียญทองแดงให้ไปช่วยซื้อมา
ตอนกลางวันเขามีเวลาพักผ่อนหนึ่งชั่วยาม กลับไปถึงหมู่บ้านต้าวันใช้เวลาไปหนึ่งเค่อ หลังจากทานอาหารกลางวันแล้วยังดูแลบุตรสาวพร้อมนอนกลางวันได้ด้วย ดังนั้นเวลาจึงมีเหลือเฟืออย่างมาก
บิดามารดาพึงพอใจกับงานของเขามาก แม้เงินเดือนเหมือนเดิมแต่สามารถกลับบ้านมาช่วยงานเล็กน้อยได้ทุกวันก็เป็เื่ที่ดียิ่ง
มีเพียงหูอู้จูที่ยังบ่นพึมพำในทำนองว่าให้เงินเดือนน้อย หรือขี้เหนียวอย่างนั้นอย่างนี้อยู่บ่อยครั้ง
หวงถิงเฉิงคร้านที่จะโต้เถียงกับนาง ยังดีที่นางไม่ชอบกลับบ้านบิดามารดาของนาง ไม่เช่นนั้นพูดจาไม่หยุดเช่นนี้ทุกวัน คงล่วงเกินคนในครอบครัวบิดามารดาตนเองไปเกลี้ยงแล้ว
หวงถิงเฉิงค่อนข้างชื่นชอบงานในตอนนี้มาก งานเบาสบายอย่างยิ่ง เื่ที่ต้องให้เขาจัดการก็มีไม่มาก คนในครอบครัวท่านอารองล้วนสุภาพอ่อนโยนนุ่มนวล ต่างพูดคุยกับเขาด้วยความสุภาพ
ครอบครัวสกุลหูยังมีตำราอยู่ไม่น้อย พวกเขาจะซื้อหนังสือมาหนึ่งเล่มจากร้านขายหนังสือ หลังจากนั้นจะให้เด็กในโรงเรียนคัดลอกคนละหนึ่งฉบับ เมื่อคัดลอกเสร็จก็นำมาเย็บเข้าเล่ม เด็กๆ ก็จะมีตำราเป็ของตนเองหนึ่งเล่ม
ส่วนหนังสือที่ซื้อกลับมาจะนำกลับมาวางอยู่ที่บ้านสกุลหูเพื่อจัดเก็บไว้
เมื่อหวงถิงเฉิงว่างจากงานแล้วไม่มีอะไรทำ เขาจะเข้ามายังห้องที่อยู่ข้างโถงหลักสำหรับจัดวางตำรา แล้วยืมไปอ่านเล็กน้อย
“พี่เขยใหญ่ วันนี้จะสับทำลูกชิ้นปลา อีกเดี๋ยวพอทำเสร็จแล้ว ท่านเอากลับไปให้ฟางฟางสักหน่อยนะเ้าคะ” เจินจูรับปลากินหญ้าในมือของเขามา หนักจริงๆ ต้องลำบากให้เขาหิ้วกลับมาจากหมู่บ้านต้าวันตลอดทางเลย
“ฮ่าๆ ขอบคุณน้องสาม ฟางฟางชื่นชอบลูกชิ้นปลาของครอบครัวเ้าอย่างมากเลยล่ะ” หวงถิงเฉิงกล่าวขอบคุณด้วยความจริงใจ
“ชอบก็ดีแล้วเ้าค่ะ พี่เขยใหญ่ เงินที่ให้ไปตอนกลางวันพอจ่ายหรือไม่? ตอนนี้สินค้าราคาแพง ข้าก็ไม่แน่ใจในราคาเท่าไรนัก” เจินจูถาม
หวงถิงเฉิงรีบพยักหน้าทันที “พอ ข้าดูจำนวนชั่งที่เงินซื้อได้ เนื้อปลาหนึ่งชั่งแพงขึ้นสองเหวิน ไม่ค่อยแตกต่างกับตอนก่อนปีใหม่เลย แม้ทุกคนบ่นไปบ้าง แต่ยังสามารถรับได้อยู่”
เจินจูพยักหน้าแล้วกล่าวเตือนเขา “พี่เขยใหญ่ ่นี้สถานการณ์ไม่สงบเล็กน้อย ครอบครัวพวกท่านต้องเตรียมการป้องกันไว้บ้างนะเ้าคะ เก็บเสบียงอาหารไว้มากหน่อย เอาไว้ป้องกันเผื่อเหตุฉุกเฉินไม่คาดคิด”
“ขอบคุณน้องสาม ปีนี้เสบียงอาหารที่เก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วงของที่บ้านขายไปเพียงครึ่งเดียว ในยุ้งข้าวยังมีเหลืออยู่อีกครึ่งหนึ่ง เพียงพอกับปริมาณคนในบ้านได้หนึ่งปีเลย” หวงถิงเฉิงกล่าวตอบ
เจินจูพยักหน้า าชายแดน ฮ่องเต้ประชวร ล้วนเป็ต้นตอของความไม่สงบทั้งสิ้น
“ใช่แล้ว น้องสาม วันนี้ตอนอยู่ในตลาดข้าได้ยินมาเื่หนึ่ง” หวงถิงเฉิงกล่าวขึ้นมาอย่างกะทันหัน
เชิงอรรถ
[1] ยู่โถวเกา หรือ 芋头糕 คือ เค้กเผือก
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้