“ทราบแล้วขอรับท่านปู่ ข้าจะระวังตัว”
หยวนฉางเทียนหรี่ตามองไปที่หลานชายด้วยความรักและความเ็ป ภายในใจมีความรู้สึกมากมาย
จากนั้นเขาก็นำขวดหยกเล็กๆ ใส่ฝ่ามือของหยวนจุน แล้วกล่าวว่า “ครั้งนี้เวลากระชั้น ยาพั่วซิงที่กลั่นได้สิบเม็ดเหลือเพียงห้าเม็ด แม้จะไม่มีผลต่อการบ่มเพาะพลังยุทธ์ของเ้า แต่ก็ช่วยเสริมสร้างร่างกายได้เป็อย่างดี”
เมื่อรับขวดหยกแล้ว หยวนจุนก็รู้สึกอุ่นใจมากขึ้น หากนำยาพั่วซิงห้าเม็ดนี้ไปประมูลในเมือง คงได้ราคาสูง
กลืนหนึ่งเม็ด สามารถเพิ่มโอกาสในการเลื่อนขั้นมากถึง 3 เท่า ซึ่งเป็สิ่งที่นักยุทธ์ระดับดาราใฝ่ฝัน
ผ่านมาสิบปี จนถึงตอนนี้ ไม่รู้ว่าหยวนฉางเทียนทุ่มเทแรงกายไปเท่าไร เขากลั่นยามากมายเพื่อรักษาชีวิตของหยวนจุน ด้วยความรักที่มีต่อหยวนจุน เขาจึงไม่เคยบ่นเลย
แม้หยวนจุนในตอนนี้จะไม่จำเป็ต้องใช้ยาในการรักษาชีวิตอีกแล้ว แต่ความทรงจำที่ไหลพรั่งพรูอย่างไม่ขาดสาย ทำให้เขารู้สึกเสียใจเล็กน้อย
เขามองไปยังหยวนฉางเทียนที่อายุมากกว่าครึ่งร้อย จนกระทั่งร่างชราเดินจากไป หยวนจุนก็สูดหายใจเข้าลึกๆ
“ได้ยินว่าหยวนจุนกลับมาจากข้างนอกแล้ว ไม่มีอะไรผิดปกตินอกจากออกไปฝึกกระบี่”
วั่นเฮ่าซิงนั่งอยู่บนม้าหิน ขาข้างหนึ่งยกขึ้นไขว้ จากนั้นจึงกระซิบกับเสิ่นเฟยเสวี่ยที่กำลังหลับตาอยู่
นางลืมตาขึ้น ใบหน้างามเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ “ไม่มีอะไรผิดปกติ? ั้แ่เขาชนะเ้าในการประลองกระบี่ เ้าเลยรู้สึกว่าการที่เขาเริ่มฝึกกระบี่นั้นเป็เื่ปกติใช่ไหม?”
เมื่อเอ่ยถึงการประลองกระบี่ครั้งที่แล้ว วั่นเฮ่าซิงก็หรี่ตาลง ส่งเสียงเบาๆ เพื่อแสดงถึงความไม่พอใจ
หากการประลองกระบี่ครั้งที่แล้วไม่มีข้อจำกัด หยวนจุนจะชนะอย่างมีศักดิ์ศรีไปได้อย่างไร! หลังจากวันนั้น เขาก็อับอายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแล้ว!
“อย่าลืมเื่ที่เราตกลงกันสิ หากเ้าอยากได้คัมภีร์กระบี่ของสำนักิเจี้ยน ก็ต้องช่วยข้าแสดงละครตบตา!”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ สองมือของเสิ่นเฟยเสวี่ยถึงกับชะงัก สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว แสดงความไม่พอใจเล็กน้อย
“ข้าสงสัยว่า หยวนจุนไม่ใช่บุรุษ!” แววตาเสิ่นเฟยเสวี่ยแสดงความโกรธออกมา นึกถึงวันนั้นที่อุตส่าห์แบกหน้าไปหาหยวนจุน แต่กลับถูกเขาปฏิเสธและประชดประชันอย่างไร้ความปรานี
“ข้าเคยทำเช่นนั้นแล้ว หยวนจุนไม่สนใจหรอก!” เสิ่นเฟยเสวี่ยหันกลับมามองวั่นเฮ่าซิงและกระซิบว่า “เ้าหาโอกาสฆ่าเขาเสีย แล้วข้าจะช่วยเ้าปกปิดเอง!”
ฆ่าเขา
สองคำนี้ส่งผ่านมายังหูของวั่นเฮ่าซิง ความคิดชั่วร้ายที่ซ่อนอยู่ในใจของเขาปรากฏขึ้นทันที ความคิดเช่นนี้ เขาคิดมาหลายปีแล้ว!
เพียงแต่เขาอดไม่ได้ที่จะกังวล หากเื่นี้ถูกเปิดเผย ชีวิตของเขาได้ตกที่นั่งลำบากแน่นอน!
ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง วั่นเฮ่าซิงจึงขมวดคิ้วแล้วถามว่า “ถ้าหยวนจุนตาย แล้วเ้าจะได้ประโยชน์อะไร?”
“ข้าเสิ่นเฟยเสวี่ยไม่เคยก้มหัวให้ใครง่ายๆ ! เขาเป็คนแรกที่กล้าพูดกับข้าด้วยท่าทีเช่นนั้น! ทั้งที่เป็แค่คนไร้ประโยชน์ที่บ่มเพาะพลังยุทธ์ไม่ได้!”
เมื่อมองเสิ่นเฟยเสวี่ยที่แสดงท่าทางแข็งกร้าว วั่นเฮ่าซิงก็ถอนหายใจกับตนเองอย่างเงียบๆ สตรีนางนี้ได้รับการอบรมมาอย่างดี กิริยาวาจาสุภาพอ่อนโยน แต่ความจริงนั้นจิตใจโหดร้ายทารุณ
“วี้”
คลื่นความร้อนแผ่ออกมาจากร่างของหยวนจุน อากาศภายในห้องร้อนขึ้นอีกครั้ง แม้จะไม่มีเปลวไฟบนกาย แต่ก็มีความร้อนหมุนวนรุนแรง
“เยี่ยม แม้ร่างกายนี้จะไม่ค่อยแข็งแรง แต่ยังดีที่ภายในสะสมพลังโอสถมานานกว่าสิบปี ซึ่งการส่งเสริมจากพลังโอสถเหล่านี้ จะทำให้ข้าสามารถบรรลุผ่านถึงระดับดาราขั้นห้าได้!”
เมื่อเขากลั่นพลังโอสถภายในออกมาอีกครั้ง การบ่มเพาะทักษะยุทธ์ก็มาถึงขั้นตอนยาก แต่ใช้เวลาไม่นานก็บรรลุระดับดาราขั้นสองได้สำเร็จ
ความเร็วในการฝึกฝนเช่นนี้ กล่าวได้ว่าไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน แม้แต่เขาในชาติที่แล้วก็ทำไม่ได้
พลังปราณทั้งหมดกระจายอยู่ทั่วร่างกาย ส่วนพลังปราณดารานั้นค่อยๆ กลายเป็กระแสปราณ หยวนจุนหรี่ตาลง เริ่มเข้าใจความหมายของอักษรลับเก้าตะวันมากขึ้น
“อักษรลับเก้าตะวัน เริ่มแรกคือการใช้ร่างสร้างเส้นปราณ หลังจากนั้นแบ่งออกเป็ 9 ระดับ แก่นแท้ของทุกระดับ ล้วนเป็การกลั่นวงรัศมีตะวันทรงกลดภายในร่างกาย!”
“ตอนนี้ข้ายังไม่สามารถดึงวงรัศมีตะวันทรงกลดแรกออกมาได้ แต่ข้าเชื่อว่า หากวงตะวันทรงกลดแรกปรากฏ การบ่มเพาะพลังยุทธ์ของข้าต้องได้เลื่อนเป็ขั้นสูงแน่นอน!”
หยวนจุนขึ้นไปนอนบนเตียงอย่างอารมณ์ดี จนกระทั่งได้ยินเสียงฝีเท้าอยู่ด้านนอก จึงทำให้เขาสนใจ
เสียงฝีเท้าเบามาก น่าจะเป็สตรี
แสงจันทร์ส่องร่างหญิงสาวที่อยู่นอกหน้าต่าง เสิ่นเฟยเสวี่ยเคาะประตูไม้สองสามครั้ง
“สตรีผู้นี้แผนการมากมาย เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดปัญหา ไม่ควรเข้าไปเกี่ยวข้องกับนางจะดีกว่า” เมื่อคิดขึ้นได้ เขาจึงค่อยๆ เปิดประตู
เมื่อเห็นท่าทีที่ไม่เปลี่ยนแปลงของเขา เสิ่นเฟยเสวี่ยจึงด่าทออยู่ในใจว่าคนไร้ประโยชน์
ประโยคที่อยู่ในใจเมื่อครู่ แน่นอนว่านางย่อมไม่แสดงออกมา แต่กลับพยักหน้าให้หยวนจุนอย่างสง่างาม แล้วเอ่ยด้วยความอ่อนโยนว่า “ประมุขน้อยมาที่ห้องข้าหน่อยได้ไหม ข้ามีเื่อยากจะสนทนากับท่านเป็การส่วนตัว”
ดึกดื่นปานนี้กลับเชิญเขาไปที่ห้องของนาง...
“ในเมื่อมีเื่จะสนทนา แม่นางเสิ่นเชิญพูดตรงนี้ได้ไม่เป็ไร ดึกปานนี้แล้ว เ้าเชิญข้าไปที่ห้องเกรงว่าจะไม่เหมาะ!”
เสิ่นเฟยเสวี่ยขยับคิ้วขึ้นเล็กน้อย ชุดยาวเลื่อนลงจากไหล่อย่างไม่ตั้งใจ แสงจันทร์ส่องบริเวณกระดูกไหปลาร้าสวยงามราวกับออกมาจากภาพวาด
“ในเมื่อประมุขน้อยไม่อยากไปห้องของข้า ถ้าอย่างนั้นข้าเข้าไปก็คงได้ใช่ไหม?” เสิ่นเฟยเสวี่ยพูดพลางดึงชุดขึ้นคลุมไหล่ แสร้งทำท่าหนาว กล้ำกลืนฝืนพูด
ไม่ทันรอคำตอบจากหยวนจุน นางก็ส่งรอยยิ้มมีเสน่ห์ เอี้ยวตัวเล็กน้อย แล้วพุ่งเข้ามาในห้องอย่างรวดเร็ว
ไม่ทันไรเสิ่นเฟยเสวี่ยก็มานั่งอยู่บนเตียงของหยวนจุน ดวงตาของเขาพร่ามัวมากขึ้น
แม้หยวนจุนจะไม่รู้ว่าในใจนางคิดอะไรอยู่ แต่เขายังคงมีสติ ถึงอย่างไรก็ห้ามไว้ใจสตรีผู้นี้เป็อันขาด
“ปัง!”
ประตูไม้ที่เปิดอยู่ครึ่งหนึ่งถูกถีบมาจากด้านนอก หยวนจุนหันไปทันที แล้วพบว่าวั่นเฮ่าซิงกับศิษย์น้องที่ไว้ใจได้หลายคน ถือโอกาสบุกเข้ามาในห้องของเขา
“หยวนจุน เ้าใจกล้ามากนะ! แม่นางเฟยเสวี่ยเป็ถึงแขกคนสำคัญของสำนักิเจี้ยน ไม่คิดเลยว่าเ้าจะทำเื่ไร้ยางอายเช่นนี้ได้!”
เมื่อได้ยินวั่นเฮ่าซิงตะคอกใส่ หยวนจุนก็เข้าใจจุดประสงค์ที่เสิ่นเฟยเสวี่ยมาหาเขาในยามดึกทันที หญิงผู้นี้คงจะร่วมมือกับวั่นเฮ่าซิงเพื่อใส่ความข้า!
“คุณชายเฮ่าซิง เหล่าศิษย์สำนักิเจี้ยน พวกท่านก็เห็นด้วยตาตนเองแล้ว พวกท่านต้องให้ความเป็ธรรมแก่ข้านะ!”
จากนั้นนางก็วิ่งไปหลบอยู่หลังวั่นเฮ่าซิง ส่งสายตายียวนให้หยวนจุน พร้อมแสดงสีหน้าดูถูกและรังเกียจ
“เ้ารู้หรือไม่ว่าแม่นางเฟยเสวี่ยมีความสำคัญต่อสำนักเสวี่ยเจี้ยนมากขนาดไหน? หากเ้าทำตัวเป็สัตว์เดรัจฉานต่อสำนักเสวี่ยเจี้ยน มิตรภาพระหว่างสำนักิเจี้ยนกับสำนักเสวี่ยเจี้ยนที่มีมาหลายพันปีคงต้องพังทลายลง!”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้