บทที่ 30 เริ่มต้นการทดสอบ พบพรรคอสูรปลุกิญญาอีกครั้ง
เมื่อมองจากบนรถม้าไปจนสุดสายตา ก็ปรากฏยอดเขาอสูรอยู่เบื้องหน้าแล้ว
ยอดเขาอสูรเป็ยอดเขาสุดท้ายของเทือกเขาชิงเยวียน ซึ่งเป็ยอดเขาที่ใกล้กับพื้นที่รกร้างว่างเปล่ามากที่สุด
ตรงเบื้องหน้า ศิษย์ชั้นนอกและศิษย์ชั้นในแบ่งแยกกลุ่มกันอย่างชัดเจน ไม่เว้นแม้แต่คนเดียว ทุกคนล้วนเป็ศิษย์ใหม่ที่ยังไม่เคยผ่านการทดสอบของสำนักมาก่อน
ทันทีที่รถม้าของเ้าสำนักจอดสนิท มันก็กลายเป็จุดสนใจของผู้คนในทันที
“นั่นคือศิษย์สายตรงอิ๋งปิงใช่ไหม?”
“โห... ศิษย์น้องคนนี้ช่างงดงามจริง ๆ”
“เบา ๆ หน่อย ได้ยินมาว่านางบรรลุปราณโลหิตแปดเส้นชีพจรแล้วนะ! ข้าได้ยินจากศิษย์สายตรงของท่านผู้าุโเฉียนปู้ฟ่านมา ว่านางถึงกับได้รับรางวัลเป็ชุดเกราะผ้าไหมอู๋อวิ๋นซาเชียวละ”
“นางเพิ่งเข้าสำนักมานานเท่าไหร่กัน? บรรลุแปดเส้นชีพจรแล้วงั้นรึ? อัจฉริยะชัด ๆ!”
“คงไม่มีใครที่เพิ่งเข้าสำนักมาปีแรกแล้วจะคว้าอันดับหนึ่งของการทดสอบไปได้หรอกมั้ง? นั่นมันอัจฉริยะเกินไปแล้ว!”
“คนข้าง ๆ นางนั่นใครน่ะ?”
“ก็ศิษย์สายตรงหลี่ไง ที่เข้าสำนักมาพร้อมกับนางนั่นแหละ”
“ข้ารู้จัก! ศิษย์สายตรงหลี่เป็คนดีมากเลยนะ!”
เมื่อได้ยินเสียงสนทนาของศิษย์คนอื่น ๆ หลี่โม่มุมปากกระตุกเล็กน้อยพลางคิดในใจ
'ขอบคุณครับ ข้าชอบทำความดีโดยไม่ทิ้งชื่อไว้ ไม่จำเป็ต้องมอบรางวัลให้ข้าหรอกนะ'
“หน้าผาวังเย่วหยา ดูเหมือนจะตั้งอยู่ในส่วนลึกของสถานที่ทดสอบ”
หลี่โม่กวาดสายตามองแผนที่ แล้วก็พบสถานที่ที่อิ๋งปิงนัดหมายไว้ ยิ่งเข้าไปในส่วนลึกของสถานที่ทดสอบมากเท่าไร สัตว์อสูรก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น หน้าผาวังเย่วหยาซึ่งเป็สถานที่ค่อนข้างห่างไกล ระหว่างทางต้องผ่านอาณาเขตของสัตว์อสูรเก้าระดับขั้นปลาย และแม้กระทั่งสัตว์อสูรเก้าระดับขั้นสูงสุดอีกหลายตัว หากไร้ซึ่งฝีมือ ก็คงไม่อาจเข้าไปถึงได้จริง ๆ
“หนึ่งชั่วยาม...”
หลี่โม่มองไปยังอิ๋งปิงที่เดินอยู่หน้าสุดของฝูงชน ในใจแอบให้กำลังใจตัวเองว่า 'อย่าได้ดูถูกคนข้ามมิติอย่างข้าว่าเป็คนธรรมดาเชียวนะ!'
พลันนั้นเอง หลี่โม่ก็พบว่ามีสายตาคุ้นเคยคู่หนึ่งจ้องมองเขาเขม็ง
หวังหู่
เวลานี้ หวังหู่ยังคงแสดงสีหน้าหยิ่งผยองเช่นเดิม ทว่าแววตาที่ดูอิดโรยระหว่างคิ้วกลับทำให้ทั้งร่างดูมืดมิดไร้ชีวิตชีวา เมื่อสบตากับหลี่โม่ เขาก็ยกมือขึ้นทำท่าปาดคออย่างเหม่อลอย
“เ้านี่มันเป็อะไรของมันอีก?”
หลี่โม่รู้สึกพูดไม่ออก แต่ก็สังหรณ์ใจว่าสภาพของอีกฝ่ายไม่ค่อยสู้ดีนัก ดังนั้นเขาจึงเปิดใช้เนตรทิพย์ลิขิตฟ้า
【ชื่อ: หวังหู่】
【อายุ: 16 ปี】
【รากฐานกระดูก: แขนเสือ เอวเสือดาว】
【ระดับ: ปราณโลหิตแปดเส้นชีพจร】
【ลิขิตฟ้า: สีดำ】
【คำวิจารณ์: มีพร์เล็กน้อย หากขยันหมั่นเพียร อนาคตอาจมีความสำเร็จบ้าง ทว่าจิตใจคับแคบ แค้นเคืองทุกเื่ หยิ่งยโสโอหัง และง่ายต่อการหลงผิดไปในทางที่ผิด】
【เหตุการณ์ล่าสุด: เมล็ดพันธุ์อสูรฝังลึก หลงผิดไปมากแล้ว ปราณโลหิตในตัวไม่เพียงพอที่จะหล่อเลี้ยง เตรียมกลืนกินโลหิตของสัตว์อสูร และค่อย ๆ สูญเสียสติไป】
“เมล็ดพันธุ์อสูร?”
หลี่โม่เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย สิ่งที่ทำให้เขาไม่เข้าใจไม่ใช่จุดจบของหวังหู่ แต่เป็ที่อีกฝ่ายได้ติดต่อกับพรรคอสูรปลุกิญญา
ก่อนการทดสอบของสำนัก ศิษย์ชั้นนอกจะไม่ได้รับอนุญาตให้ออกจากประตูสำนัก หากไม่ลาออกจากสำนักเสียก่อน หากหวังหู่อยู่ในสำนักชิงเยวียนตลอดเวลา แล้วเมล็ดพันธุ์อสูรของพรรคอสูรปลุกิญญามาจากที่ใดกัน?
“การทดสอบของสำนักครั้งนี้ ดูท่าจะไม่ธรรมดา” หลี่โม่ครุ่นคิดในใจครู่หนึ่ง
เหตุการณ์ที่ธิดาแห่งฟ้าลิขิตเข้าร่วม หากทุกอย่างเป็ปกติ นั่นแหละคือความผิดปกติ ตามรูปแบบแล้ว ควรจะเป็ยัยก้อนน้ำแข็งที่เข้ามากอบกู้สถานการณ์จากความสิ้นหวัง แล้วก็พลิกกลับมาเอาชนะได้ แต่ในเมื่อเขารู้แล้ว...
“ท่านอาจารย์!”
หลี่โม่วิ่งตรงไปยังที่นั่งของเหล่าผู้าุโทันที
“หืม?”
ซางอู่ที่เดิมทีกำลังงีบหลับ เมื่อได้ยินเสียงศิษย์เรียก ก็เกาผมด้วยแววตาปรือ ๆ ก่อนเอ่ยว่า
“ได้เวลากินข้าวแล้วรึ?”
“รอให้การทดสอบเสร็จแล้วค่อยเชิญท่านอาจารย์กินข้าวนะขอรับ ตอนนี้ข้ามีเื่จะรายงาน”
หลี่โม่เอ่ยปาก เล่าสิ่งที่ตนเองวิเคราะห์ออกมา แต่ก็หาเหตุผลอื่นมาปิดบังเื่การใช้เนตรทิพย์ลิขิตฟ้า
เมื่อคำว่า ‘พรรคอสูรปลุกิญญา’ หลุดออกจากปากเขา เซวี่ยจิงและเฉียนปู้ฟ่านก็ปรับสีหน้าให้จริงจังขึ้นทันที แม้กระทั่งแววตางัวเงียของซางอู่ก็พลันหายไปสิ้น
“เ้าแน่ใจนะว่าเป็สาวกของพรรคอสูรปลุกิญญา? เื่นี้ไม่ใช่เื่ล้อเล่นนะ”
เฉียนปู้ฟ่านเสียงต่ำลง คิ้วขมวดเล็กน้อยเผยความกังวล
“บิดาของข้าเคยดำรงตำแหน่งเ้าหน้าที่ประจำอำเภอ และเคยจับกุมคนของพรรคอสูรปลุกิญญาได้ ข้าเพียงรู้สึกว่ากลิ่นอายคล้ายกัน จึงไม่อาจยืนยันได้ทั้งหมด แต่คิดว่าเื่นี้สำคัญยิ่ง จึงเห็นควรรายงานท่านผู้าุโทุกท่านเสียก่อน แม้จะเป็การเข้าใจผิด ก็ยังดีกว่ารู้แล้วเก็บไว้”
คำพูดของหลี่โม่สมเหตุสมผล
“ศิษย์น้องหลี่ช่างรอบคอบยิ่งนัก”
เซวี่ยจิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วกล่าวว่า
“เป็ไปได้เก้าในสิบส่วน ว่าเด็กที่ชื่อหวังหู่นั้นฝึกฝนวิชามารของพรรคอสูรปลุกิญญา ซึ่งก็คือเคล็ดวิชาหลอมโลหิตร้อยอสูร”
“พวกมันยื่นกรงเล็บมาถึงสำนักชิงเยวียนของข้าแล้วรึ!”
อินหัวเซวียน ผู้าุโประจำยอดเขาอสูร ลุกขึ้นยืนอย่างฉับพลัน ราวกับเตรียมจะจับตัวหวังหู่มาสอบสวนให้กระจ่าง
“อินหัว เ้าดูสิ เ้าใจร้อนอีกแล้วนะ”
เซวี่ยจิงขวางเขาไว้ แล้วมองไปยังหลี่โม่ด้วยแววตาที่พึงพอใจมากขึ้นเล็กน้อย ก่อนกล่าวว่า
“พวกเรารับทราบแล้ว เ้าจงกลับไปเข้าร่วมการทดสอบเถิด ทุกอย่างเป็ไปตามปกติ ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็พอ”
“ขอรับ”
หลี่โม่ทำตามคำแนะนำ 'ผู้าุโเซวี่ยคงมีแผนการอื่นอยู่แล้ว ในสำนักชิงเยวียน หากเป็เื่ที่แม้แต่เหล่าผู้าุโยังไม่อาจจัดการได้ การที่เขาจะคิดมากไปก็ไร้ประโยชน์'
ครึ่งชั่วยามต่อมา
เฉียนปู้ฟ่านยืนกอดอกอยู่เบื้องหน้าทุกคน เพื่อประกาศกฎการทดสอบ:
“สัตว์ป่าธรรมดา ไม่นับรวมคะแนน”
“สัตว์อสูรเก้าระดับ มีขั้นต้น, ขั้นกลาง, และขั้นปลาย จะได้ 1 คะแนน, 3 คะแนน, 15 คะแนนตามลำดับ”
“แน่นอน ยังมีสัตว์อสูรเก้าระดับขั้นสูงสุด ที่ให้ 100 คะแนน แต่ถ้าไม่มีพลังต่อสู้เทียบเท่าขั้นขอบเขตกายภาพนอก ก็ไม่ควรลองพยายามโดยไม่คิดหน้าคิดหลัง”
“เมื่อสังหารสัตว์อสูรได้สำเร็จ หรือตกอยู่ในสถานการณ์จำเป็ ก็สามารถยิงสัญญาณไฟขอความช่วยเหลือได้ ซึ่งศิษย์พี่ชั้นในจะเข้าไปจัดการให้”
หลังจากเฉียนปู้ฟ่านพูดจบ เขาก็กลับไปนั่งที่
เมื่อสิ้นเสียง ผู้เข้าร่วมการทดสอบก็รับสัญญาณไฟขอความช่วยเหลือ และเลือกอาวุธที่ถนัดมือ จากนั้น ผู้คนกว่าหนึ่งพันคนก็มุ่งหน้าเข้าสู่ป่าไปอย่างยิ่งใหญ่
“ศิษย์น้องอินหัว”
เซวี่ยจิงพลันเอ่ยปาก
“อืม” อินหัวเซวียนพยักหน้า
เขาเป่านกหวีดกระดูกตัวหนึ่ง แล้วนกนับร้อยนับพันก็บินออกมาจากยอดเขาอสูร บางส่วนบินเข้าไปในป่า บางส่วนก็บินวนอยู่บนฟ้า
เพียงชั่วเวลาดื่มชา เสียงสัญญาณไฟขอความช่วยเหลือหนึ่ง ก็ดังสนั่นไปทั่วทั้งท้องฟ้า
จากนั้น ศิษย์พี่ชั้นในคนหนึ่งก็ลากซากเสือดำกลับมา เสือดำตัวนี้ใหญ่เท่าลูกวัว ดวงตาเบิกโพลงราวกับกระดิ่งทองแดง ความดุร้ายยังคงค้างอยู่บนใบหน้าของมัน าแฉกรรจ์อยู่ที่ลำคอ ถูกดาบฟันเข้าที่คอจนเืหยุดไหล เพราะาแถูกทำให้แข็งตัวแล้ว
“อิ๋งปิง หนึ่งคะแนน” เฉียนปู้ฟ่านพยักหน้าอย่างชื่นชม
“ศิษย์ที่สังหารสัตว์อสูรเก้าระดับได้นั้นมีไม่น้อย ทว่าการทำได้อย่างสะอาดและเฉียบคมเช่นนี้ ทั้งยังไม่ใช้พลังเกินความจำเป็แม้แต่น้อยนั้น หายากยิ่งนัก”
ดวงตาของอินหัวเซวียนเป็ประกายวาววับ
“ข้าที่กดระดับพลังในปราณโลหิตไว้ก็ยังทำไม่ได้ถึงขั้นนี้เลย”
เซวี่ยจิงอุทานอย่างประหลาดใจ
“เสี่ยวปิงเอ๋อร์ก็ดูเหมือนจะยังไม่มีประสบการณ์การต่อสู้จริงนะ?”
ดวงตาของซางอู่เปล่งประกาย
'การสังหารสัตว์อสูรครั้งแรก ก็ง่ายดายราวกับการฆ่าไก่ตัวหนึ่ง มีศิษย์ผู้มีพร์สูงหลายคน ที่แม้มีพลังแข็งแกร่งมาก แต่เมื่อเผชิญหน้ากับสัตว์อสูร กลับถูกแรงกดดันข่มขู่ จนดึงพลังมาใช้ได้เพียงสามส่วน ในขณะที่บางคนกลับยิ่งสู้ยิ่งแข็งแกร่ง ยิ่งสู้ยิ่งกล้าหาญ อย่างเช่นตัวนางเองเป็ต้น'
ซางอู่เรียกสิ่งนี้ว่า 'กายาเซียนแห่งการต่อสู้'
“ศิษย์รักของข้าทำไมยังไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรเลยนะ?”
ท่านอาจารย์เท้าคางข้างหนึ่ง หลับตาครึ่งหนึ่งด้วยความง่วงงุน ราวกับกำลังจะหลับใหลไปอีกครา
วู้ว—
เสียงสัญญาณไฟขอความช่วยเหลือดังขึ้นอีกครั้ง
“หลี่โม่ สังหารสัตว์อสูรเก้าระดับขั้นต้นหนึ่งตัว!”
สัตว์อสูรที่ศิษย์พี่ชั้นในลากกลับมา ทำให้เหล่าผู้าุโจำนวนมากตกอยู่ในความเงียบงัน
หลังจากมองอยู่ครู่ใหญ่ เซวี่ยจิงก็เอ่ยถามอย่างลังเลว่า
“สิ่งนี้... คืองูเขี้ยวปีกงั้นหรือ?”
พูดตามตรง หากไม่ใช่เพราะท่านเซวี่ยเพิ่งนำเกล็ดงูเขี้ยวปีกมาใช้ปรุงยา ก็คงไม่รู้เลยว่าภาพตรงหน้ามันคืออะไร
ซากงูตัวนี้ หัวขาด ร่างกายแหลกละเอียด กระดูกทั่วร่างหักยับ ลำตัวงูที่ยาวเหยียดอัดรวมกันเป็ก้อน ราวกับกระป๋องที่ถูกเหยียบจนแบน โเี้เกินไปแล้ว แตกต่างจากกรณีของอิ๋งปิงโดยสิ้นเชิง
เฉียนปู้ฟ่านลูบท้องอ้วน ๆ ของตน แล้วตกอยู่ในห้วงความคิด 'ศิษย์ของซางอู่ ฝึก... วิชาดาบไม่ใช่หรือ?'
“หมัดหกประสานก็บรรลุขั้นแตกฉานแล้ว”
ซางอู่กางมือออก ทำท่าทางไม่เกี่ยวข้องกับนาง
อินหัวเซวียนเก็บชิ้นส่วนเขี้ยวของงูขึ้นมาพลางกล่าวว่า
“ส่วนที่แข็งแกร่งที่สุดของงูเขี้ยวปีกทั้งตัวคือเขี้ยวของมัน ทว่ากลับถูกทุบด้วยหมัดจนแตกเป็เสี่ยง ๆ พร้อมกับร่างกาย”
“ระดับพลังของเด็กคนนี้ในตอนนี้ ไม่ได้ด้อยกว่าอิ๋งปิงเลย”
“และยังฝึกฝนวิชาฝึกกายบางอย่างอีกด้วยรึ?”
หนังศีรษะของเซวี่ยจิงรู้สึกชาหนึบ เหล่าผู้าุโไม่มีใครคัดค้าน ด้วยสายตาของพวกเขา เพียงแค่ร่องรอยการต่อสู้ก็สามารถมองเห็นสิ่งต่าง ๆ ได้มากมายแล้ว
จากผลการต่อสู้กับสัตว์อสูรเก้าระดับขั้นต้น ดูแล้ว ประสิทธิภาพของหลี่โม่ไม่ได้ด้อยไปกว่าอิ๋งปิงเลย แต่เหล่าผู้าุโกลับอ้าปากค้าง ไม่รู้ว่าจะชมหรือตำหนิให้ดี รูปแบบการต่อสู้เช่นนี้ช่างคล้ายกับใครบางคนเกินไป...
สำนักชิงเยวียนมีซางอู่คนเดียวก็ปวดหัวพออยู่แล้ว! ถ้ามีคนที่สองออกมาอีก จะเป็อย่างไรกันเล่า?!
“เฮ้อ ท่านเซวี่ย ท่านช่างสับสนยิ่งนัก ไฉนตอนนั้นจึงไม่รับศิษย์น้องหลี่ไว้ในสำนักเลยเล่า?”
“ศิษย์สายตรงของข้าเต็มแล้วนี่ ท่านผู้าุโเฉียนก็มีที่ว่าง ไฉนเขาถึงไม่รับเล่า!”
“ตอนนั้นข้าก็อยากรับนะ แต่นั่นซางอู่ ศิษย์หลานของข้า ชิงตัดหน้าไปเสียก่อนนี่”
“ท่านช่างสับสนยิ่งนัก!”
“หากตอนนี้จะให้เขาไม่หลงผิด ยังจะทันอยู่ไหมนี่?”
เหล่าผู้าุโถอนหายใจ
ซางอู่ลุกขึ้นยืนผายเท้าข้างหนึ่งพลางเท้าเอว อีกมือหนึ่งกำหมัดแน่นจนมีเสียงดังกรอบแกรบพลางกล่าวประกาศว่า
“อยากจะแย่งศิษย์รักของข้าก็เข้ามา! ใครที่ชนะข้าได้ ศิษย์รักของข้าก็จะเป็ของผู้นั้น!”
บนเวทีพลันเงียบสงัดลง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้