บทที่ 62 สายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ธาตุน้ำขุย
เมิ่งเทียนเจวี๋ยทำน้ำเสียงประชดประชัน ก่อนจะพาผู้ใต้บังคับบัญชามุ่งหน้าตรงไปอย่างรวดเร็ว
แบบการจัดงานประมูลของตระกูลเซี่ยยิ่งใหญ่ไม่ได้น้อยหน้าไปกว่าแบบการจัดงานประมูลงานของเมืองเทียนตูเซียนแม้แต่น้อย โดยเฉพาะรายการประมูลที่รวมของชั้นดีไว้มากมาย อีกทั้งยังเป็ของดีหาได้ยาก บรรดาตระกูลใหญ่และสำนักหลักทั้งหมดจึงส่งตัวแทนมาที่นี่
เมื่อบรรดาเซียนได้ยินเื่ที่ตระกูลหลินและตระกูลลู่สองตระกูลขึ้นมาในเวลาเช่นนี้ จึงมีคนจำนวนไม่น้อยวิ่งไปดูอย่างสนใจใคร่รู้
เวทีประลองเป็สถานที่ที่มีอยู่ทุกเมืองเซียน ประโยชน์หลักในการใช้ของมันคือใช้เพื่อแก้ไขปัญหาทะเลาะวิวาทระหว่างผู้บำเพ็ญเพียร
เมื่อคนของตระกูลเมิ่งมาถึงเวทีประลอง ลู่อวี่และหลินเหยาก็ยืนประจันหน้ากันอยู่บนเวทีประลองแล้ว
ลู่อวี่ยืนอยู่บนเวที โบกพัดในมือและพูดอย่างเอื่อยเฉื่อย “สาวน้อย เื่นี้มันเกี่ยวโยงไปถึงชีวิตทั้งชีวิตของเ้า เ้าจะไม่ปรึกษากับคนในตระกูลเ้าหรืออย่างไร? คิดว่าตระกูลหลินของเ้าคงจะมีคนมาเข้าร่วมงานประมูลอยู่เหมือนกัน”
หลินเหยาอยากเอากระบี่ฟันบุรุษสารเลวที่อยู่ตรงหน้าให้ตายเสียเดียวนี้ เขากล้าเรียกนางว่าสาวน้อยได้อย่างไม่อายปาก เขาเพิ่งอายุได้กี่ปี? ยี่สิบคงยังไม่ถึง? นางอายุได้ยี่สิบสามปี อายุมากกว่าเขาเสียอีก นางจึงะโออกมาด้วยความโกรธจัด “หุบปาก คนสารเลวแซ่ลู่ วันนี้ข้าจะผดุงธรรมแทน์ ขอกำจัดความหายนะอย่างเ้าให้ออกไปจากโลกบำเพ็ญเพียรเทียนตู! เริ่มลงมือเถิด!”
ในขณะที่พูด หลินเหยาก็ยังไม่วางใจ เพราะอย่างไรนางก็เคยได้ยินมาว่า บุรุษสารเลวที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ตอนอยู่ขั้นพลังจิตเคยต่อสู้และเอาชนะอัจฉริยะตระกูลเมิ่ง เมิ่งเทียนอวิ๋นที่มีพลังยุทธ์่เริ่มต้นขั้นฟันฝ่ามาได้แล้ว และได้ยินว่าเขามีเคล็ดวิชาลับหนึ่งที่ร้ายกาจนัก นางจะทำแผนที่เตรียมไว้พังไม่ได้ จึงต้องระมัดระวังให้มาก ไม่ทำอะไรบุ่มบ่าม คิดได้ดังนั้นจึงนำอาวุธป้องกันวิเศษระดับสามชิ้นหนึ่งที่ชื่อว่า “กำไลน้ำมรกต” ที่อาจารย์มอบให้ออกมาใช้
เหล่าคนมามุงต่างก็เห็นวงแหวนเรืองแสงสีเขียวออกมาจากข้อมือของหลินเหยา นางบินขึ้นไปบนฟ้าด้วยการััที่ปลายเท้ากับพื้นด้วยแรงเพียงน้อยนิด ก่อนจะมาหยุดอยู่เหนือศีรษะของหลินเหยา พริบตาเดียวแสงเรืองรองก็ขยายวงกว้าง จนกลายเป็วงแหวนเรืองแสงสีเขียวที่มีรัศมีโดยรอบกว้างหลายจั้งห่อหุ้มหลินเหยา และสร้างปราการปกป้องนางไว้ด้านในอย่างแ่า
ลู่อวี่จ้องมองด้วยความตกตะลึงพร้อมทั้งอุทานในใจ โชคดีนักที่เขาเตรียมตัวล่วงหน้าก่อนแล้ว มิเช่นนั้นหากคิดจะเอาชนะศึกนี้คงไม่ใช่เื่ง่าย อย่าว่าแต่วิธีการรับมือที่รวดเร็วฉับไวเลย
เมื่อคิดได้เช่นนั้น เขาไม่รอช้า หยิบยาอายุวัฒนะเม็ดหนึ่งออกมาจากวงแหวนลับแล้วใส่เข้าปากทันที
เหล่าผู้คนที่อยู่นอกเวทีประลองต่างให้ความสนใจกับสถานการณ์ของทั้งสองคน ในเวลานี้ทุกคนสังเกตเห็นลู่อวี่กินยาไปเม็ดหนึ่งก่อนแล้ว ผู้คนส่วนใหญ่แสดงสีหน้าประหลาดใจ เพราะไม่รู้ว่าลู่อวี่นั้นกินยาอะไรลงไป แต่เมื่อคิดๆ ดูแล้วต่างก็มีความคิดที่ว่าต้องเป็ยาอายุวัฒนะบางชนิดที่สามารถเพิ่มพลังได้ชั่วคราวเป็แน่ ทว่าทุกคนย่อมรู้ดีว่า ยาอายุวัฒนะชนิดนี้มักจะมีผลข้างเคียงที่รุนแรงนัก หากไม่าเ็หนักและหลั่งเื ก็ต้องสูญเสียพลังยุทธ์ หรือแย่กว่านั้นคือเป็ยาอายุวัฒนะที่ลดระดับขั้นพลังยุทธ์ชั่วคราวเพื่อเพิ่มระดับพลังยุทธ์ให้สูงขึ้นโดยตรง แต่ไม่ว่าจะเป็ยาอายุวัฒนะชนิดใด มันก็เกี่ยวข้องกับชีวิตและความเป็ความตายทั้งนั้น ผู้ประลองยุทธ์คงตกอยู่ในสถานการณ์ที่สิ้นหวังเสียแล้ว ถึงจะมีคนนำมาใช้ เลือกทุบหม้อข้าว จมเรือ อาศัยเพียงความพยายามครั้งเดียวก็สามารถเอาชนะศัตรูได้โดยไม่ต้องลงแรง และเพื่อตัวเองจะได้่ชิงโอกาสของการอยู่รอดเส้นทางหนึ่ง
แต่ตอนนี้มันอยู่ในสถานการณ์อะไรกัน แค่เพียงการเดิมพันต่อสู้กันกับคุณหนูสามตระกูลหลินเท่านั้นไม่ใช่หรือ ไม่นับว่าอันตรายถึงชีวิต คิดไม่ถึงว่านายน้อยตระกูลลู่กลับเลือกที่จะกินยาอายุวัฒนะ เช่นนั้นแล้ว ไม่นับว่าสุดโต่งเกินไปหรือ เพียงเพื่ออยากเอาชนะ?
มีคนไม่น้อยที่อุทานออกมาด้วยความชื่นชม “ไม่เสียแรงที่เป็นายน้อยตระกูลลู่ เขาช่างเป็แบบอย่างของคนรุ่นเราอย่างแท้จริง เพื่อที่จะรับคุณหนูสามของตระกูลหลินเข้าตระกูล ถึงกับทำร้ายตนเองและกินยาเพื่อกระตุ้นพลังยุทธ์ แม้ว่าจะเป็ฝ่ายได้รับชัยชนะนั้นมา เพราะก่อนหน้านี้ทั้งสองฝ่ายก็ไม่ได้ข้อตกลงกันว่าห้ามกินยาอายุวัฒนะ หากนายน้อยตระกูลลู่จะเป็ฝ่ายชนะก็คงจะไม่ใช่เื่ยาก!”
“อืม สิ่งที่พี่ชายพูดนั้นจริงแท้แน่นอน กระบวนการต่อสู้เพื่อสาวงามของสหายลู่เป็ตัวอย่างให้เราเรียนรู้ได้อย่างแน่นอน ดูเหมือนว่าครานี้ข้าควรจะกลับไปเตรียมตัวบ้างเสียแล้ว เผื่อไว้ใช้ในยามจำเป็ เป็หนทางสู่ชัยชนะแบบไม่เจ็บตัว!”
“ไม่จำเป็ต้องยุ่งยากอะไรถึงเพียงนั้น ได้ยินว่างานประมูลครานี้มีประมูลยาอายุวัฒนะชนิดนี้อยู่ พวกเราไปประมูลมาสักสองสามเม็ดก็ได้ คงไม่แพงนัก แต่น่าเสียดายคุณหนูสามของตระกูลหลินผู้นี้ หากโอกาสตกเป็ของข้าคงดี คุณหนูสามของตระกูลหลินผู้นี้ไม่เพียงแต่หน้าตางดงาม แต่ภูมิหลังทางครอบครัวก็โดดเด่นเช่นกัน และยังมีอาจารย์เป็ถึงระดับปรมาจารย์ ที่ยากจะหาใครเทียบได้ผู้หนึ่งด้วย ไอ๊หยา! นายน้อยลู่ช่างมีความคิดกว้างไกลจริงๆ โชคดีนัก!”
สองสามตระกูลที่มีภูมิหลังครอบครัวแข็งแกร่งเช่นนี้ มาทอดถอนใจ กระซิบกระซาบกันอยู่ตรงนี้ ทำเอาเมิ่งเทียนเจวี๋ยที่เพิ่งมาถึงเกรี้ยวโกรธจนหน้าบึ้งตึง อดสบถด่าออกมาเบาๆ ไม่ได้ “ว่าแล้วเขายังไร้ยางอายเช่นเดิม ครั้งก่อนตอนสู้กับพี่สามก็ทำเช่นนี้ สู้ไปสู้มาก็กินยาอายุวัฒนะ มิเช่นนั้นมีหรือจะเป็คู่ต่อสู้ของพี่สามได้? พวกเ้าช่วยข้าจำเื่นี้ไว้ด้วยเล่า หากวันหลังนายน้อยตระกูลลู่ต่อสู้กับผู้ใดอีก อย่าลืมบอกให้เขารู้ตัว ต้องบอกข้อตกลงล่วงหน้าด้วยว่า ห้ามกินยาอายุวัฒนะช่วย!”
ผู้ใต้บังคับบัญชาหลายคนของตระกูลเมิ่งได้ยินเช่นนี้ก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากพยักหน้าเห็นด้วย แต่กลับพูดในใจ เขาเป็ถึงคนปรุงโอสถขั้นห้ายอมเป็คู่ต่อสู้กับเ้าก็ถือว่าไม่ง่าย แล้วยังจะไม่ให้เขากินยาอีก เพราะคุณหนูสามของตระกูลหลินมีระดับพลังยุทธ์สูงกว่าเขาเช่นนั้นถึงได้กล้ากำเริบเสิบสานท้าทายอย่างไรเล่า! แต่คำพูดเหล่านี้พวกเขากลับพูดออกมาจากปากไม่ได้ ทำได้เพียงคิดในใจเท่านั้น
แม้ว่านักพรตที่เฝ้าดูการต่อสู้อยู่ต่างมีความคิดที่แตกต่างกันไป แต่ทุกอย่างก็ถือว่าเรียบร้อยและปกติดีอยู่ หลินเหยาเองก็สังเกตเห็นลู่อวี่กินยาเช่นเดียวกัน จึงพูดด้วยสีหน้าเหยียดหยาม “หากเ้าไม่อยากถูกกระทืบก็จงแพ้ไปเสีย จากนั้นจงมอบตัวจีชิงรั่วมาให้ข้า แล้วข้าจะไม่ทำให้เ้าลำบากใจ ไม่เช่นนั้น ต่อให้เ้ากินยาไปก็ไร้ประโยชน์!”
ลู่อวี่พูดอย่างเฉยเมย “หากเ้ามี เ้าก็กินได้เช่นกัน เพราะข้าให้เกียรติเ้า ถึงอยากจะรับเ้าเข้ามาอยู่ในตระกูล อย่าทำมาเป็ไม่รู้จักชั่วดี!”
“เ้าคนวิปริตตัณหากลับ ไปตายเสีย!” เมื่อหลินเหยาถูกลู่อวี่ยั่วยุ นางรู้สึกเดือดดาลนัก ไม่มีอารมณ์ที่จะต่อปากต่อคำกับลู่อวี่อีก มือขวาจับกระบี่มั่น มือซ้ายประสานนิ้วทำท่าดรรชนี เส้นสายฟ้ากะพริบช้าๆ ก่อนที่เสียงหวานกังวานจะะโออกมา “กำจัด!”
เกือบจะในเวลาเดียวกันกับที่พูดจบ แสงสายฟ้าสีน้ำเงินเล็กๆ ก็ถูกปล่อยออกจากมือของนางอย่างรวดเร็ว เพียงพริบตาเดียวก็ผ่านสายตาของผู้ชมไปทันใด
เคล็ดวิชาสายฟ้า!
สายฟ้าของหลินเหยายังไม่ทันถูกปล่อยออกมาจนหมดกระบวนท่า ลู่อวี่ก็จดจำมันได้แล้ว เขารู้สึกประหลาดใจเช่นกัน แต่ตอนนี้ไม่มีเวลาคิดเื่อื่น แม้ว่าปากจะดูถูกหลินเหยา แต่จริงๆ แล้วกำลังให้ความสนใจกับทุกการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายอยู่ พลังยุทธ์ทั่วทั้งร่างกำลังตกอยู่ภายใต้ฤทธิ์ของยาอายุวัฒนะ และมาถึง่ปลายขั้นฟันฝ่าชั่วคราว ซึ่งต่างจากพลังยุทธ์หลินเหยาที่อยู่ตรงข้ามไปไม่เท่าไรนัก
เคล็ดวิชาสายฟ้ามีนับพันในโลกใบนี้ ต่างก็มีความเร้นลับในตัวของมันเอง ทว่ามีวิธีควบคุมเคล็ดวิชาสายฟ้าเพียงไม่กี่ประเภทเท่านั้นที่พลังยุทธ์ขั้นฟันฝ่าจะทำได้ ที่ธรรมดาที่สุดและควบคุมง่ายที่สุดคือ สายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ห้าธาตุ แต่ดูจากสีก็รู้เลยว่าหากไม่ใช่สายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ธาตุน้ำเหริน ก็คือสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ธาตุน้ำขุย แต่เดิมน้ำเป็พลังหยิน หากคิดจะเชี่ยวชาญในการใช้สายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ธาตุน้ำเหริน อย่าว่าแต่พลังยุทธ์ขั้นฟันฝ่า แม้แต่ขั้นตงซวนมันก็ไม่ง่ายเลย เช่นนั้นสิ่งนี้จะต้องเป็ สายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ธาตุน้ำขุยแน่นอน
เมื่อเห็นว่าเวลานี้การโจมตีของคู่ต่อสู้ออกกระบวนท่าได้อย่างดุดันเช่นนี้ ลู่อวี่จึงสลัดอาการลังเลใจออกไปให้หมด ตอบโต้ด้วยแสงกระบี่สีแดงแวบวับให้พุ่งเข้าไปรับทันที แต่ลู่อวี่ไม่ได้โง่พอที่จะใช้กระบี่บินไปรับแสงสายฟ้าของอีกฝ่าย แม้ว่าระดับพลังยุทธ์ของหลินเหยาจะยังไม่สูงพอเมื่อเทียบกับพลังของสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ธาตุน้ำขุย อาจไม่สามารถปล่อยออกมาได้ ทว่าต่อให้เป็พลังเพียงน้อยนิด ร่างกายของเขาก็ไม่สามารถทนรับได้แน่นอน
เพราะเคล็ดวิชาสายฟ้าขึ้นชื่อว่าทรงพลังและรวดเร็วรุนแรงในบรรดาเคล็ดวิชาต่างๆ
ระหว่างสายฟ้า แสง ไฟ และหิน กระบี่บินก็พุ่งไปตามทิศทางของสายฟ้าและเปล่งพลังกระบี่ออกมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่เพื่อแค่ต้านทาน แต่เพื่อกระตุ้นเคล็ดวิชาสายฟ้าของคู่ต่อสู้ให้ปล่อยออกมา เพราะสุดท้ายแล้วเคล็ดวิชาสายฟ้าก็ขึ้นชื่อในด้านความรวดเร็ว ต่อให้ลู่อวี่จะมีไหวพริบและเรียนรู้วิธีตอบโต้มากพอ แต่ก็ไม่กล้าเพิกเฉยมัน
หลังจากที่หลินเหยาปล่อยสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ธาตุน้ำขุยออกมา นางก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะสามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ได้ด้วยเคล็ดวิชาสายฟ้าเพียงคราเดียว ไม่นานนางก็โยนกระบี่วิเศษในมือขึ้นไปบนฟ้า กระบี่วิเศษสีน้ำเงินก็กลายร่างเป็แสงสีอ่อนโปร่งแสงทันที หากไม่สังเกตก็เป็เื่ยากมากที่จะถูกค้นพบ เมื่อนางทำท่าดรรชนีเสกคาถากระบี่ในมือ แสงกระบี่ก็พลิกตัวพุ่งฉับพลันไปยังตำแหน่งที่ลู่อวี่อยู่ทันที
เหตุใดในหมู่นักพรตจำนวนมาก แม้จะไม่ได้ฝึกฝนกระบี่ ต่างก็ชอบนำกระบี่บินมาใช้กันนัก? คงเป็เพราะมันไม่เพียงแต่มีความสง่างามเมื่อใช้เท่านั้น แต่ส่วนใหญ่ยังมีพลังโจมตีที่ทรงพลังและรวดเร็วปานสายฟ้าอีกด้วย แม้ว่าจะไม่มีเคล็ดวิชาควบคุมกระบี่ที่ยอดเยี่ยม เพียงรู้ทักษะการควบคุมกระบี่เพียงเล็กน้อย พลังของกระบี่บินก็จะมีพลังมากกว่าคาถาธรรมดาแล้ว
“ฟิ้ว! ฟิ้วฟิ้ว!” แสงกระบี่หลายเส้นฟาดผ่านอากาศ
“เปรี้ยง!” ทันใดนั้นสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ธาตุน้ำขุยก็ะเิออกทันที ไม่เพียงแต่ทำลายพลังกระบี่ที่โจมตีเข้ามาทั้งหมดเท่านั้น แต่ผลที่ตามมาทำให้กลายเป็แสงสีน้ำเงินสาดกระเด็นพุ่งเข้าใส่ร่างลู่อวี่
“เฮ้ย!” และในขณะที่พลังกระบี่และแสงสายฟ้าจะัักัน ลู่อวี่รีบประสานท่าดรรชนี กระบี่บินที่อยู่ไม่ไกลออกไปตรงหน้าถึงกับสั่นไหว รุกล้ำและล่าถอยจนยากที่จะคาดเดาได้ สกัดกั้นแสงสายฟ้าสีน้ำเงินที่สาดกระเด็นพุ่งเข้าใส่ไปทางด้านข้าง ไม่นานก็มีเสียงตามมาดัง “เปรี้ยง” ชนเข้ากับแสงกระบี่สีน้ำเงินที่เพิ่งบินมาทางนี้ ในขณะที่แสงสีน้ำเงินสาดกระเซ็น แต่ลู่อวี่ก็ทำเพียงถอยหลังกลับไปสองสามก้าวแล้วเบี่ยงตัวไปอีกทาง
“ดี เ้าหัวขโมยน้อย มีฝีมืออย่างที่คิดไว้จริงๆ!” หลินเหยาเห็นลู่อวี่สกัดกั้นการโจมตีระลอกแรกของตัวเองได้อย่างชำนาญเช่นนี้ ก็ประหลาดใจ แต่กลับไม่เก็บเอามาใส่ใจเลยแม้แต่น้อย พริบตาก็มีเสียงดัง “ฟิ้ว” ของผ้าแพรต่วนสีน้ำเงินที่ปลิวสะบัดอยู่บนตัวของนาง พลิ้วไหวไปตามแรงลมเช่นกัน
ลู่อวี่จะยอมให้หลินเหยาปล่อยพลังออกมาทั้งหมดได้อย่างไร เขาไม่ได้มาที่นี่เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้กับนาง จึงโยนพัดในมือทิ้งไปอีกด้าน และสั่งการกระบี่บินของตัวเองให้ต่อสู้กับกระบี่บินของหลินเหยา เสียงดัง “ติ๊งติ๊ง ตังตัง” อย่างต่อเนื่อง
ในเวลาเดียวกัน ทั้งมือซ้ายและขวาทั้งสองก็มีแสงเปล่งประกายขึ้นพร้อมกัน แสงเปลวไฟสีแดงและสีน้ำเงินลุกโชนอย่างละดวง ปรากฏขึ้นบนฝ่ามือของเขา ทันใดนั้นมันก็กลายร่างเป็โซ่ผลึกสองเส้นที่หนาเท่ากับนิ้วชี้ สีแดงหนึ่งและสีน้ำเงินหนึ่ง รูปลักษณ์คดเคี้ยวยาวเหยียดออกมา แต่มีความรวดเร็วราวกับสายฟ้าฟาด หากไม่อาศัยไหวพริบในการแยกแยะ ในสายตาของผู้คนที่มามุงดูการต่อสู้ ก็จะแยกออกเป็เพียงแสงเปลวไฟสองดวงที่เป็สีแดงและสีน้ำเงินเท่านั้น
โซ่ผลึกสีน้ำเงินพุ่งเข้าหาหลินเหยา ตรงกันข้ามโซ่ผลึกสีแดงเพลิงนั้นกลับพุ่งเข้ามารับผ้าแพรต่วนสีน้ำเงินของหลินเหยาแทน
หลินเหยาขมวดคิ้ว นางไม่รู้ว่าลู่อวี่ใช้อาวุธวิเศษใด มันดูเหมือนจะเป็เวทมนตร์บางอย่างแต่ก็ดูเหมือนจะไม่ใช่อีก แต่เื่นี้นางไม่ได้เป็กังวลนัก เพราะในตัวมีกำไลน้ำมรกตปกป้องอยู่ แค่การโจมตีคราเดียวของลู่อวี่ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีทางฝ่าทะลวงเข้ามาได้ ในทางกลับกันกระบี่บินของนาง กลับถูกกระบี่บินของลู่อวี่สกัดกั้นไว้อย่างแ่า โดยไม่มีทางเล็ดลอดออกมาได้เลย
คิดไม่ถึงว่าวิชากระบี่ของเ้าบุรุษเสเพลผู้นี้จะเก่งกาจเช่นนี้ ดวงตาของหลินเหยากะพริบถี่และทุ่มพลังยุทธ์ไปที่กระบี่บินทั้งหมด เหลือเพียงพลังยุทธ์บางส่วนที่มีแรงตอบโต้โซ่ผลึกสีน้ำเงินที่บินพุ่งเข้ามาหาเท่านั้น แม้ว่าจะไม่รู้ว่าวัตถุชิ้นนี้เป็อาวุธวิเศษหรือเวทมนตร์คาถา แต่นางมั่นใจว่าอาวุธนี้จะต้องเกี่ยวข้องกับธาตุน้ำ และพลังยุทธ์ในตัวของนางเองก็เป็ธาตุน้ำทั้งหมด อีกทั้งยังฝึกฝนเคล็ดวิชาธาตุน้ำ “เคล็ดวิชาน้ำแท้เสวียนหยวน” มาด้วย ถึงแม้การโจมตีนี้จะรุนแรงเพียงใดนางก็มีความมั่นใจในการรับมือ
ไม่มีใครคาดคิดว่า หลังจากที่โซ่ผลึกสีน้ำเงินพุ่งเข้าหา มันจะไม่เข้าโจมตีโดยทันที แต่กลับพันตัวเองและกำไลน้ำมรกตให้ขดอยู่ด้วยกัน จากนั้นก็พันไปรอบๆ ลมหายใจเดียวก็พันไปเจ็ดถึงแปดรอบเสียแล้ว
ในขณะที่หลินเหยากำลังเกิดสงสัยอยู่นั้น จู่ๆ นางก็พบว่ามีบางอย่างผิดปกติไป ความเย็นะเืหนึ่งได้แทรกซึมเข้ามา ไม่ผิดแน่! นี่คือพลังความหนาวเหน็บ ในเวลาที่กำไลมรกตของตัวเองป้องกันอยู่ก็จะไม่กลัวการโจมตีของศัตรู แต่หากจู่ๆ มันถูกแช่แข็งและถูกตีพ่ายอีก เมื่อคิดจะสร้างมันขึ้นมาใช้ป้องกันใหม่อีกคราคงไม่ง่ายเสียแล้ว
ใบหน้าของหลินเหยาพลันถอดสีขึ้นมาทันที ในขณะที่กำลังจะดิ้นให้หลุดพ้นจากพันธนาการของพลังความหนาวเหน็บนี้ คิดไม่ถึงว่าโซ่ผลึกสีน้ำเงินนั้นจะผูกมัดตัวเองไว้จนรัดแน่น ทำให้พลังความหนาวเหน็บในพื้นที่ที่ตัวเองอยู่ทวีขึ้นอย่างกะทันหันเป็สิบเท่า แม้แต่การขับเคลื่อนลมปราณของตัวเองก็ช้าลงไปด้วยทันที สถานการณ์เช่นนี้ทำให้หลินเหยาหวาดกลัวและตื่นตระหนกนัก นางคิดจะใช้กำไลมรกตทำให้เกิดแรงสั่นะเือย่างบ้าคลั่งเพื่อตนเองจะได้หลุดออกไป ในขณะที่ทำไปแล้ว แต่มันกลับไม่ได้ผล! นางไม่ได้คำนึงว่ามันจะสร้างความเสียหายให้กับจุดกำเนิดของกำไลน้ำมรกต เห็นแต่เพียงกำไลน้ำมรกตที่ถูกแช่แข็งไว้ด้วยพลังของน้ำแข็งะเิพลังหนึ่งออกมาเท่านั้น หลังจากเกิดเสียงะเิดังสนั่น ก็ทำให้พลังของน้ำแข็งที่กักขังตัวเองไว้สั่นะเืและเปิดออกจนหมด หลินเหยาฉวยโอกาสในเวลานี้ รีบหลบหนีและเหาะขึ้นไปบนฟ้าทันที
เมื่อขึ้นมา้านางกลับมองเห็นลู่อวี่ซึ่งอยู่ห่างจากฝั่งตรงข้ามไปเพียงไม่กี่จั้งส่งยิ้มให้นางอย่างภาคภูมิใจ ทำราวกับว่ามีแผนการชั่วร้ายบางอย่าง มันยิ่งทำให้นางรู้สึกไม่สบายใจมากขึ้น หรือว่าคนสารเลวผู้นี้ยังจะมีแผนการอื่นอะไรอยู่อีก? ทันใดนั้น จู่ๆ ก็มีรัศมีสีน้ำเงินมืดสลัวหนึ่งบินกลับเข้ามาในข้อมือของนาง คือกำไลน้ำมรกตนั่นเอง หากเมื่อครู่นี้ไม่อาศัยกำไลน้ำมรกตเปิดพลังน้ำแข็งนี้ เกรงว่าตัวเองคงถูกสังหารไปแล้ว แต่ตอนนี้รัศมีของกำไลน้ำมรกตมืดมน มันทำให้นางปวดใจนัก และต่อมามันก็ใช้การไม่ได้เสียแล้ว
หลินเหยาบำเพ็ญฝึกฝนมามากกว่าสิบปี ย่อมไม่ได้มีฝีมือเพียงเท่านี้แน่ แต่ลู่อวี่จะเปิดโอกาสให้นางได้อย่างไร ทันทีที่ทำท่าดรรชนีร่ายคาถาในมือ กระบี่บินสีแดงที่โรมรันพันตูกับกระบี่บินของหลินเหยาจนเกิดการสั่นไหวเล็กๆ ในทันใดนั้น กระบี่บินก็กลายร่างเป็สอง สองเป็สี่ และสี่เป็แปด ในพริบตาเดียวก็กลายเป็แสงกระบี่แปดแสง ยกเว้นแต่แสงกระบี่เดียวที่ยังคงพัวพันอยู่กับกระบี่บินของหลินเหยา แสงกระบี่ที่เหลืออีกเจ็ดแสงนั้นสั่นไหวไม่น้อย ไม่นานมันก็พุ่งเข้าหานางตามวิถีทางที่ล้ำลึกและมหัศจรรย์ของแต่ละแสงกระบี่
“แสงกระบี่แยกตัวออกจากกัน แยกออกมาถึงแปดส่วน นี่เป็วิธีการของเซียนกระบี่ที่แบ่งแสงออกเป็เงา ขนาดสำนักกระบี่ทลายฟ้ายังไม่มีพร์เช่นนี้เลย!”
“อันที่จริงชนรุ่นหลังก็ไม่เคยได้ยินว่ามีใครฝึกวิชากระบี่นี้มาก่อน ได้ยินว่าเมื่อหนึ่งปีก่อน นายน้อยตระกูลลู่ผู้นี้เคยใช้วิชากระบี่ที่ไร้เทียมทานนี้เดิมพันต่อสู้กับศิษย์ตระกูลเมิ่ง แต่ตอนนั้นแยกกระบี่ออกได้เพียงสองเท่านั้น หากไม่ใช่เพราะระดับขั้นพลังยุทธ์ของศิษย์ตระกูลเมิ่งสูงกว่าไปขั้นหนึ่ง และมีอาวุธวิเศษประจำกายเป็วงล้อชิงหยางอยู่ในมือ คิดว่าคงจะพ่ายแพ้เร็วกว่านี้”
“ได้ยินมานานแล้วว่านายน้อยตระกูลลู่เ้าเล่ห์เพทุบายนัก อีกทั้งยังปลอมตัวเป็คนเสเพลมาตลอด จนกระทั่งได้เป็คนปรุงโอสถขั้นห้าถึงเริ่มเปิดเผยความสามารถของตัวเองออกมา หรือว่าในนี้ยังมีสิ่งใดที่พูดไม่ได้อีก?”
“เช่นนั้นคงมีเพียงตัวเขาที่รู้ พวกลูกหลานของตระกูลใหญ่ที่มีคุณสมบัติไม่เลวเหล่านี้ มีผู้ใดบ้างที่ธรรมดา? น่าเสียดายที่ไม่มีวิธีการฝึกฝนที่เฉพาะเจาะจงสำหรับการแยกแสงกระบี่ในวิชากระบี่ไร้เทียมทานนี้ คงได้แต่อาศัยความเข้าใจเฉพาะตัว ในบรรดาชนรุ่นหลังแห่งเทียนตูที่มีพร์และคุณสมบัติเช่นนี้มีอยู่ไม่มากนัก แม้ว่านายน้อยตระกูลลู่จะอยู่ใน่เริ่มต้นของขั้นฟันฝ่าเท่านั้น แต่พลังการต่อสู้ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ายอดฝีมือคนใดใน่ปลายของขั้นฟันฝ่าแน่นอน”
ในขณะที่ทุกคนวิพากษ์วิจารณ์กันอยู่นั้น จู่ๆ บนเวทีประลองก็มีการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน ฉับพลันโซ่ผลึกสีน้ำเงินที่เดิมทีถูกลู่อวี่สาดกระจายกำลังผลึกตัวอในอากาศอีกครา เพียงแต่มันมีขนาดที่เล็กลง และพลังของมันก็อ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด แต่เมื่อเปลวไฟสีน้ำเงินในมือของลู่อวี่ฝ่าทะลุเข้าไปในห่วงโซ่ผลึก โซ่นั้นก็สั่นไหวเบาๆ ก่อนจะกลับคืนสู่สภาพเดิมทันที ไม่ว่าจะเป็ความยาวหรือระดับความหนา ทั้งยังรวมไปถึงการสลักละเอียดอ่อนต่างๆ พริบตามันก็ตรงไปทางหลินเหยาอย่างรวดเร็ว
เดิมทีภายใต้แสงกระบี่ทั้งเจ็ดของลู่อวี่ อย่างไรหลินเหยาก็ไม่สามารถยืนหยัดอยู่ได้นานนัก และไม่คิดเลยว่าการแยกแสงกระบี่จะถูกเรียกว่าวิชากระบี่ไร้เทียมทาน แต่ใครๆ ต่างก็มีหนทางเอาชีวิตรอดเป็ของตัวเอง จู่ๆ นางร่ายมนตร์อะไรออกมา ถึงได้มีกระแสน้ำสีน้ำเงินเข้มออกมาจากอากาศ และกลายเป็กระแสน้ำวนขึ้นมาในพริบตา ทันใดนั้นกระแสน้ำวนก็ห่อหุ้มตัวนางไว้อย่างแ่าในทันที อีกทั้งสกัดกั้นกระบี่บินที่เขาปล่อยออกมาขวางไว้ด้านนอกอย่างแ่า เหมือนจะไม่ยอมเปิดทางให้แม้แต่นิดเดียว
หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง ลู่อวี่ถึงอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจเบาๆ “น้ำมวลหนักเสวียนหยวน? สิ่งที่หลินเหยากำลังฝึกฝนน่าจะเป็เคล็ดวิชาน้ำแท้เสวียนหยวน มิน่าเล่าถึงได้ต้านกระบี่บินของข้าได้ นี่คือหนึ่งในสิบอันดับแรกของน้ำแท้ในโลกนี้ น่าจะเป็สำนักของหลินเหยาที่ถ่ายทอดให้ มิเช่นนั้นแค่ระดับพลังยุทธ์ของนางหากคิดจะผนึกน้ำมวลหนักเสวียนหยวนให้ได้ภายในระยะเวลาแปดหรือสิบปีสักหยด คงเป็ไปไม่ได้ และตอนนี้นางก็เพิ่งอายุได้แค่ยี่สิบต้นๆ ก็คงได้มาจากสำนักที่อยู่เท่านั้น!”
ทว่าลู่อวี่ก็ไม่ได้เก็บเอามาเป็กังวล หากยืนหยัดอยู่นาน อาจนำไปสู่ความล้มเหลวหรือสูญเสียสิ่งเดิมได้ ฝีมืออย่างหลินเหยา หากคิดใช้พลังทั้งหมดของน้ำมวลหนักเสวียนหยวนมาป้องกันตัว คิดว่าคงจะทนอยู่ได้ไม่นาน
แต่เวลานี้ ทุกคนที่อยู่นอกเวทีประลองก็ตระหนักรู้ว่า คุณหนูสามของตระกูลหลินที่มีฝีมือเหนือชั้นกว่านายน้อยตระกูลลู่ ถูกปราบจนทำได้เพียงใช้กำลังที่มีทั้งหมดปกป้องตัวเอง มันทำให้พวกเขาทั้งหมดใกันไม่น้อย มีเพียงคนที่มีไหวพริบดูออกว่านี่ไม่เพียงแต่ทักษะด้านพลังยุทธ์ของนายน้อยตระกูลลู่จะยอดเยี่ยมเท่านั้น แต่เหตุผลที่มากกว่านั้นน่าจะเป็ยาอายุวัฒนะที่เขาเพิ่งกินไป มันเป็เพียงยาอายุวัฒนะที่ปรับพลังยุทธ์ของคนคนหนึ่งให้สูงขึ้นชั่วคราว ที่มีทั้งข้อดีข้อเสีย หากต่างฝ่ายต่างไม่ยอมอ่อนข้อให้แก่กันและกัน เมื่อนานเข้า รอฤทธิ์ของยาหมด และตอนที่ร่างกายอ่อนแรงลงเมื่อนั้น ผู้คนจะรู้ได้ว่าวิธีง่ายๆ บางอย่างมันใช้การไม่ได้
แต่ตอนนี้ทั้งสองฝ่ายต่างก็มีฝีมือที่พอๆ กัน หากลู่อวี่เปลี่ยนกระบวนท่ากระบี่ตอนนี้และใช้กระบวนท่าที่ทรงพลังมากขึ้น ก็ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสทำลายน้ำมวลหนักเสวียนหยวนนอกร่างของหลินเหยาได้ แต่ตอนนี้เขาก็ฝืนกำลังต่อสู้มากพอแล้ว ไม่อาจควบคุมการต่อสู้และเวทมนตร์คาถาให้ส่งและรับได้ดั่งใจ อีกอย่างเขาและหลินเหยาเองก็ไม่ได้มีความบาดหมางกันแบบเอาเป็เอาตาย ตรงกันข้ามอาจพลาดพลั้งทำร้ายอีกฝ่ายขึ้นมาโดยไม่ทันระวังได้ อาจกลายเป็ว่าวางท่าฉลาดแต่กลับดูขลาดเขลา แต่เวลานี้จะปล่อยไปง่ายๆ ก็ไม่ได้เช่นกัน เมื่อคิดได้เช่นนี้ ถึงได้คิดใช้ไฟแท้หนิงคง ควบคุมคู่ต่อสู้ต่อไป
เวลานี้ ไฟแท้หนิงคงกำลังอยู่ไม่ไกลจากเท้าของหลินเหยา หลังจากที่ถูกลู่อวี่ผนึกขึ้นมาใหม่อีกครามันก็สั่นะเืเบาๆ เหมือนทำให้ัพิโรธแล้วบินทะยานขึ้นฟ้า พุ่งตรงเข้ามาพันหลินเหยาไว้
หลินเหยาที่ซ่อนอยู่ในน้ำมวลหนักเสวียนหยวนรับรู้ถึงสถานการณ์ที่อยู่ตรงหน้าเป็อย่างดี แม้ว่าจะถูกห่อหุ้มด้วยน้ำมวลหนักเสวียนหยวน แต่ก็ยังสามารถมองเห็นทุกสิ่งอย่างกระจ่างชัด เมื่อเห็นโซ่ผลึกสีน้ำเงิน ผลึกแน่นและบินเข้ามาหาอีกครา ใบหน้าที่ซีดอยู่แล้ว ก็ยิ่งแย่ลงไปอีก เดิมทีคิดว่าแค่พลังยุทธ์และฝีมือของตัวเองก็สามารถเอาชนะนายน้อยของตระกูลลู่ ที่มีระดับขั้นพลังใน่เริ่มต้นของขั้นฟันฝ่าได้อย่างง่ายดาย แต่ใครจะคาดคิดว่าคู่ต่อสู้ไม่เพียงแต่จะจัดการได้ยากเท่านั้น แต่ตอนนี้ตนเองกลับเหมือนถูกกักขังไว้ หากไม่ทันระวัง ก็เกรงว่าจะพ่ายแพ้ให้อีกฝ่าย หากมันเป็แค่การต่อสู้กันปกติทั่วไปก็คงดี นี่หากตัวเองพ่ายแพ้ขึ้นมา คงต้องตกเป็ทาสให้คนสารเลวนั่น จะทำได้อย่างไรดี? จู่ๆ ก็คิดอะไรไม่ออกขึ้นมา
ในขณะที่หลินเหยาคิดหาวิธีอย่างหนักอยู่ว่าจะแก้ไขอย่างไร ลู่อวี่ก็คิดจะใช้โซ่ไฟแท้หนิงคงเข้าไปพันรัดตัวนางอีกครา แต่ครานี้มันไม่ง่ายที่จะทะลวงเข้าไปบดขยี้ จึงคิดจะเร้นกายเข้าไปผสานกับน้ำมวลหนักเสวียนหยวนของหลินเหยา
น้ำมวลหนักเสวียนหยวนคือหนึ่งในสิบน้ำแท้ของ์และโลก ถึงแม้พลังของความเย็นะเืของไฟแท้หนิงคงจะรุนแรงไม่น้อย แต่มันยังไม่ใช่เวลาที่ลู่อวี่จะสามารถทำให้เกาะตัวเป็น้ำแข็งได้ในตอนนี้ แต่ในเมื่อทำให้เกาะตัวเป็น้ำแข็งไม่ได้ กลับยังทำให้เย็นและแข็งตัวได้ เพียงไม่กี่ลมหายใจ น้ำมวลหนักเสวียนหยวนที่เดิมทีห่อหุ้มปกป้องหลินเหยาไว้ ก็เย็นตัวลงและแข็งตัวขึ้นมาทันที
เมื่อหลินเหยาเห็นเช่นนี้ ก็พูดด้วยความโกรธ “ลู่อวี่ เ้ากล้าทำกับข้าเช่นนี้ ข้าไม่มีทางปล่อยเ้าไปแน่!” ในขณะที่ะโเสียงดังอยู่นั้น ก็เรียกกระบี่บินและผ้าแพรต่วนบินกลับมาด้วย จากนั้นก็ทุ่มแรงทั้งหมดไปที่น้ำมวลหนักเสวียนหยวน นางจะสามารถยืนหยัดได้มากเพียงใดก็สุดแล้วแต่
ลู่อวี่แสยะยิ้มแต่ก็ไม่สนใจ ทำหน้าชั่วร้ายยิ้มและพูดขึ้น “แม่สาวน้อย อีกไม่นานเ้าก็จะเป็คนของข้าแล้ว ตอนนี้ยังจะดื้อดึงไม่ยอมรับผิดอีกหรือ รอดูเถิด หากกลับไป ข้าจะจัดการเ้าอย่างไร? เ้าคิดว่ามุดอยู่แต่ในกระดองนั้นแล้วจะรอเช่นนั้นหรือ?”
รอจนน้ำมวลหนักเสวียนหยวนหยุดสนิท ลู่อวี่เก็บโซ่ผลึกอีกเส้นที่ควบแน่นไปด้วยไฟแท้บริสุทธิ์ในร่างกาย และทันทีที่ท่าดรรชนีในมือเปลี่ยนไป แสงกระบี่ทั้งแปดก็หันปลายมารวมกันเป็กงล้อแสงสีแดงเข้ม ตามมาด้วยเสียง “วิ้ว” จากนั้นก็เจาะเข้าไปในน้ำมวลหนักเสวียนหยวน ก่อนที่หลินเหยาจะทันรู้ตัว ก็เจาะทะลุเข้าไปเสียแล้ว
หลินเหยากรีดร้องออกมา “ไสหัวออกไปจากข้าเดียวนี้!” เสียงยังไม่ทันขาดคำ น้ำมวลหนักเสวียนหยวนที่กำลังพัวพันกันอุตลุดกับไฟแท้หนิงคงที่อยู่ด้านนอกก็ชะงักงันทันที สีจากสายน้ำสีน้ำเงินอ่อนก็เปลี่ยนกลับไปเป็สีน้ำเงินเข้ม มันหดตัวลงอีกคราจนกลายเป็ก้อนมวลน้ำแท้ ขนาดเท่ากำปั้นจริงๆ ที่กลายเป็สีน้ำเงินดำ เผยให้หลินเหยาที่มีใบหน้าซีดเซียว มีดวงตาฉายแววดื้อรั้นอยู่ภายในนั้น
ลู่อวี่เห็นเช่นนี้ก็หรี่ตาลง เขาเคยผ่านประสบการณ์มาอย่างโชกโชน เดาออกทันทีว่าหลินเหยาคิดอะไรอยู่ ลอบก่นด่าว่านางเป็สตรีวิกลจริตไปคำหนึ่ง แต่ก็ไม่กล้าประมาทเลยแม้แต่น้อย กงล้อกระบี่ที่ยาวไม่ถึงครึ่งฉื่อตรงหน้าหลินเหยา ก็กางออกราวกับเทพเซียนกำลังโปรยดอกไม้ ในขณะที่โซ่ไฟแท้หนิงคงหดตัวเป็ก้อนมวลสารและกลายร่างเป็โล่ผลึกสีน้ำเงินเข้าขวางหน้าน้ำมวลหนักเสวียนหยวนน้ำเงินดำกลุ่มนั้นไว้
ถึงแม้จะเป็เช่นนี้แต่ลู่อวี่ก็ยังคงไม่วางใจ จึงหยิบเอาอาวุธป้องกันระดับสองอีกชิ้นหนึ่งมากั้นไว้ตรงหน้าอีก ในขณะที่กำลังดูว่ายังมีอาวุธป้องกันอื่นอยู่หรือไม่ จู่ๆ ก็มีเสียงคมชัดสะท้อนดังขึ้นราวกับกระจกแตกจากฝั่งตรงข้าม จากนั้นก็ตามมาด้วยคลื่นเสียงกระเพื่อมและระลอกสายฟ้าที่มาพร้อมกับแสงสีน้ำเงินดำ รวดเร็วและกะพริบราวกับฟ้าคำราม ไม่นานก็หายไปในรูปของพระจันทร์ครึ่งเสี้ยว
ห่วงโซ่ไฟแท้หนิงคงที่ขวางหน้าอยู่ถูกทำลายและแตกสลายเกือบจะในทันที จากนั้นแสงสีน้ำเงินดำนั้นก็พุ่งเข้าหาลู่อวี่ อย่างบ้าคลั่ง
“เป็สายฟ้าแท้น้ำมหัศจรรย์จริงๆ ด้วย!” ถึงปากจะพูดเช่นนี้ ลู่อวี่ก็รีบค้นหาของในแหวนลับทันใด ก่อนที่จะหยิบอาวุธวิเศษอีกสองชิ้นออกมา ทั้งหมดคืออาวุธวิเศษระดับสาม ซึ่งเป็อาวุธป้องกันสองชิ้นสุดท้ายของเขาแล้ว แต่จะนำมาต้านทานได้หรือไม่นั้น ค่อยว่ากันอีกที แต่ตอนนี้คงต้องตำน้ำพริกละลายแม่น้ำไปก่อน เพราะหลบไปก็คงหลบไม่พ้น
เห็นได้ว่าปรมาจารย์ของหลินเหยามอบน้ำมวลหนักเสวียนหยวนให้นางและฝึกฝนมาจนถึงระดับเก้าแล้ว หากสูงกว่าระดับห้าเมื่อใด พลังยุทธ์และฝีมือที่มีตอนนี้คงยากที่จะต้านทานได้ หากสูงกว่าระดับสี่ หากลู่อวี่ไม่ตายก็คงได้รับาเ็สาหัส เพราะเป็ที่ทราบกันดีว่าพลังวิเศษและ อาวุธวิเศษโดยทั่วไปจะแบ่งออกเป็เก้าระดับตามพลังที่มี ในเวลาเดียวกันก็จะขึ้นอยู่กับวัสดุและคุณภาพที่แตกต่างกัน พลังก็ต่างกันราวฟ้ากับเหว
ในขณะที่กำลังครุ่นคิด สายฟ้าแท้น้ำมหัศจรรย์ก็โจมตีอาวุธวิเศษป้องกันตัวชิ้นแรกแล้ว อาวุธวิเศษป้องกันตัวชิ้นแรกไม่เสียแรงที่เป็อาวุธวิเศษระดับสอง ในที่สุดก็สามารถยืนหยัดได้ครึ่งลมหายใจ ลดความรุนแรง และผลกระทบลงไปได้ครึ่งหนึ่ง รอจนกว่าผลที่ตามมาทำลายการปกป้องสองชั้นสุดท้าย พลังที่เหลืออยู่ก็เพียงทำให้ลู่อวี่หน้าซีด และถอยหลังไปสองสามก้าวเพียงเท่านั้น
ลู่อวี่ถอนหายใจด้วยความโล่งอก หากเป็ผอื่นที่มีพลังยุทธ์ไม่เพียงพอ ตอนนี้คงถูกสายฟ้าแท้น้ำมหัศจรรย์บดขยี้จนแหลกละเอียดไปแล้วอย่างแน่นอน เพราะท้ายที่สุดแล้ว อาวุธวิเศษระดับสองและสามก็ถือว่ามีค่าในบรรดาตระกูลใหญ่แห่งเทียนตู แม้ว่าจะไม่ใช่สมบัติสำคัญของตระกูลหรือสำนักเล็กๆ แต่ก็ถือเป็มรดกอันล้ำค่าที่สืบต่อกันมา ไม่มีผู้ใดกล้านำมันออกมาใช้ตามใจให้สิ้นเปลืองอย่างลู่อวี่อีกแล้ว?
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้