ไม่รู้เป็เพราะด้านนอกพระอาทิตย์แดดออกนานไปหรือไม่ ที่พื้นถึงยังมีความร้อนหลงเหลืออยู่ อ๋าวหรานนอนอยู่พักหนึ่งก็รู้สึกอบอุ่นขึ้นมาก ทั้งร่างรู้สึกเหมือนร้อนรุ่มขึ้นมา
เขาพยายามอย่างหนักเพื่อดึงผ้าพันแผลออกไป ไม่รู้ว่าเ้าเด็กคนนี้ยังมีความเป็คนอยู่หรือยังฉลาดไม่พอกันแน่ ยาที่ใช้เป็ยาชั้นดี นอกจากแผลบนบ่าที่ถูกเขาทำให้เปิดออกอีก แผลอื่นๆ ก็ล้วนสมานกันดีแล้ว หวังแค่ว่าเ้าหญ้าซุ่ยสิ่งนี่จะไม่ซึมลงไปทั้งหมด
อ๋าวหรานเคลื่อนย้ายลมปราณภายในร่างกายซัดไปที่แผ่นหินอีกครั้ง แผ่นหินหนาๆ นั่นเหมือนจะสั่นขึ้นมาสองสามที ทำให้ดินโคลนข้างกำแพงร่วงลงมาเล็กน้อย แล้วก็ไม่ขยับอีกเลย อ๋าวหรานรู้สึกว่า้าน่าจะยังมีหินอีกหลายก้อนทับเอาไว้
หรือเป็เพราะใช้แรงมากเกินไป อ๋าวหรานรู้สึกว่าร้อนขึ้นอีกแล้ว ที่ฝ่ามือมีเหงื่อออก จึงอดลูบหน้าผากไม่ได้ ไม่รู้ว่าไข้ขึ้นแล้วหรือไม่ ปรากฏว่าหน้าผากร้อนมาก ทั้งร่างราวกับมีไอร้อนออกมา อาศัยแสงน้อยนิดจากเทียน อ๋าวหรานก็พบว่าตัวเองร้อนจนแขนและหน้าอกกลายเป็สีแดงแล้ว
รุ่มร้อนจนทรมาน ไม่เหมือนอาการไข้ขึ้นแม้แต่น้อย กลับเป็ขึ้นมากะทันหันอย่างน่าประหลาด แล้วจู่ๆ ความคิดหนึ่งก็แล่นขึ้นมาในสมอง อ๋าวหรานนึกถึงคำว่า ‘ตื่นเต้น’ สองคำนี้ที่จิ่งเซิ้งทิ้งไว้ก่อนจะจากไป อดรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีไม่ได้
อาศัยแสงจากเทียน อ๋าวหรานเห็นว่าบนโต๊ะมีผงสีขาวโรยอยู่นิดหน่อย นิ้วมือที่สั่นน้อยๆ หยิบผงนั้นขึ้นมาดอมดม เป็กลิ่นหอมที่จางมากๆ ราวกับสามารถมองข้ามมันไปได้เลย คิดว่าตอนที่จิ่งเซิ้งสาดไปที่เปลวเทียนคงจะร่วงลงบนโต๊ะ
อ๋าวหรานอดทุบโต๊ะไปหมัดหนึ่งไม่ได้ สั่นจนทำให้เทียนที่เดิมทีก็สั่นไหวอยู่แล้วดับสนิทในทันที โต๊ะโทรมๆ นั่นถูกต่อยจนเป็รู ในใจนึกอยากจะจับเ้าเด็กบ้าจิ่งเซิ้งนั่นมาสับแล้วสับอีกนับครั้งไม่ถ้วน หากไม่ขยับก็ถือว่ายังดี พอขยับเืลมทั้งร่างก็เริ่มสูบฉีดอย่างรุนแรง ความร้อนสายนั้นไหลลงไปรวมกันที่ด้านล่าง ขาของอ๋าวหรานสั่นน้อยๆ
ตอนนี้ทั้งร้อน ทั้งหิว ทั้งง่วง ทั้งเหนื่อย แถมนอนไม่หลับ ปากแผลก็เจ็บอีก
อ๋าวหรานรู้สึกว่าตัวเองได้ัักับความรู้สึกที่ว่า ‘ร้อยความรู้สึกพัวพัน’ เข้าแล้วจริงๆ ดั่งคำโบราณว่าไว้ว่า ‘พบเจอความลำบากหนึ่งครั้งก็จะฉลาดขึ้นอีกหนึ่งระดับ’ แต่ตัวเขานั้นไม่รู้จักจำจริงๆ ติดกับดักเข้าให้อีกรอบ เหตุใดตอนนั้นถึงไม่ดมกลิ่นเ้าหญ้าว่านชุนนี่ให้ดี อย่างน้อยในสมองจะได้พอคุ้นเคยบ้าง อย่างน้อยคงไม่ต้องรอให้ผ่านไปนานถึงค่อยค้นพบ
ยังดีที่เขานอนอยู่ที่บันไดนั้นตลอดและอยู่ค่อนข้างห่าง จึงยังไม่ถูกยานี่เล่นงานทำให้ลุ่มหลงจนขาดสติไป อย่างมากก็แค่ทรมานไปสักพัก หอบหายใจแล้วคลานกลับขึ้นไปที่บันไดอีกรอบ เนื่องจากบริเวณนี้มีลมผ่าน คงได้ผ่อนคลายจนสงบลงบ้างไม่มากก็น้อย
...
เวลาผ่านไปนานมากแล้ว ด้านนอกมืดสนิท พระจันทร์ลอยอยู่บนฟากฟ้า
จิ่งฝานยืนอยู่บนกิ่งสูงสุดของไม้ต้นหนึ่งหลังูเา ถึงแม้ต้นไม้ใต้เท้าจะขยับไหว แต่คน้ากลับยืนนิ่งราวกับเขาไท่ซาน ลมฤดูใบไม้ร่วงสายหนึ่งพัดมาทำให้ชุดสีดำยาวของจิ่งฝานโบกสะบัดไปมาพร้อมกับใบไม้ ส่งเสียงดังฮูๆ อยู่พักหนึ่ง
แม้ฟ้าจะมืด แต่ดวงจันทร์กลับส่องสว่าง ตรงก้อนหินหลายก้อนนั้นก็ยิ่งสะท้อนแสงสะดุดตาอย่างยิ่ง จิ่งฝานบินร่อนลงมาที่ข้างก้อนหินเ่าั้ในชั่วพริบตา รอบข้างเงียบสงัด จิ่งฝานได้ยินเสียงคนหอบหายใจอย่างชัดเจนจากด้านล่าง ยิ่งพยายามกดเสียงให้สงบที่สุดก็ยิ่งทำให้ดูเร่งร้อน
จิ่งฝานสงสัยว่าจิ่งเซิ้งทำอะไร? เหมือนว่าจะทรมานเขาหนักมาก
จิ่งฝานดวงตาเ็าขึ้นมาทันใด เตะก้อนหินหลายก้อนที่ทับอยู่้าออก ก้อนหินพวกนั้นจิ่งเซิ้งใช้แรงไปมากถึงยกขึ้นมาวางไว้ได้ แต่ตอนนี้เมื่อเจอเข้ากับเท้าของจิ่งฝานก็ราวกับเป็เต้าหู้อ่อนก็ไม่ปาน ไม่เพียงเตะออกไปได้ในครั้งเดียว ยังแหลกละเอียดเป็ผุยผงอีกด้วย
อ๋าวหรานถูกเสียง้าทำให้ปวดหู แต่ความเ็ปนี้ไม่อาจกดความดีใจของเขาลงไปได้ ในที่สุดก็มีคนมาช่วยแล้ว เป็ผู้ใดกัน?
คำถามนี้เพิ่งผ่านสมองไปก็ได้รับคำตอบ อ๋าวหรานเงยหน้ามองจิ่งฝานที่ยืนอยู่ปากทาง คนผู้นี้ใส่ชุดยาวปลิวไสว เท้าข้างที่เตะหินออกไปค่อยๆ วางบนพื้นแล้วยืนอย่างมั่นคงดุจขุนเขา บนศีรษะเป็พระจันทร์หนึ่งดวงที่แสนจะสว่างไสวส่องให้คนผู้นี้ดูสูงใหญ่ตระหง่าน ดูราวกับผู้เป็หนึ่งในใต้หล้าอยู่หลายส่วน
อ๋าวหรานเหมือนจะเข้าใจแล้วว่าเหตุใดคนทั้งโลกถึงชอบฉากวีรบุรุษช่วยเหลือหญิงงาม ดูเอาเถิด ไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น แค่ความรู้สึกปลอดภัยที่ได้รับการช่วยเหลือก็ไม่มีอะไรต้องพูดให้มากความ เพราะความรู้สึกมันท่วมท้นจนแทบจะทะลักออกมา
อีกทั้งจิ่งฝานผู้นี้เมื่อยืนอยู่ตรงนั้นก็กลายเป็ทัศนียภาพอันงดงาม ทั้งร่างส่องประกายสว่างไสวจับตาสู่ภายในใจเขา น่าเสียดายที่สีหน้าดูดำมืดไปสักหน่อยจนทำให้น่าหวาดหวั่น
อ๋าวหรานไม่สนใจสีหน้าของเขา ทำได้แค่เพียงยิ้มอย่างเริงร่า “ข้าคิดว่าคืนนี้จะต้องนอนที่นี่เสียแล้ว เ้าเป็ดาวช่วยชีวิตเลยนะเนี่ย”
จิ่งฝานยืนนิ่งไม่ขยับ ลดสายตาลงมองเขาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “ออกมา”
อ๋าวหรานเอื้อมมือไปดันกำแพง ค้อมเอวลงครึ่งหนึ่ง พยายามเดินขึ้นบันไดอย่างยากลำบาก แค่ท่าทางง่ายๆ แค่นี้ เขาก็ยังอดหอบหายใจไม่ได้ ทั้งร่างร้อนจนทรมาน รู้สึกอ่อนปวกเปียกไร้เรี่ยวแรง ส่วนพี่ชายที่ยืนอยู่้านั่นก็หาได้ขยับไม่ ไม่มีความคิดที่จะช่วยเหลือกันแม้แต่น้อย
อ๋าวหรานฉีกยิ้มอย่างปลงๆ ถอนหายใจว่า “พี่ชาย ช่วยแล้วก็ต้องช่วยให้ถึงที่สุดสิ อย่างน้อยช่วยประคองข้าหน่อยก็ยังดี”
ั์ตาของจิ่งฝานดำมืด น้ำเสียงเ็าราวกับน้ำแข็ง “ปีนขึ้นมาเองสิ”
อ๋าวหรานอึ้งไป อดเงยหน้ามองไปทางจิ่งฝานไม่ได้ ท่าทางเช่นนี้คล้ายกับครั้งแรกที่เจอกันมาก
คนผู้นี้...วันนี้ไม่ปกติ
ถูกอะไรกระตุ้นมาหรือ?
อ๋าวหรานถอนสายตากลับมาแล้วก้มหน้า แอบซ่อนแววตาของตัวเองไว้ จับพื้นและกำแพงค่อยๆ ปีนขึ้นบันไดมาทีละขั้นจนออกมาข้างนอกได้ รู้สึกว่าความเย็นยามค่ำคืนช่างทำให้เขารู้สึกสบายยิ่ง แต่เมื่อความรู้สึกสบายหายไปแล้วก็กลับมีความร้อนพลุ่งพล่านขึ้นมาอีก อ๋าวหรานพยายามยืนให้มั่นคง แต่ดูเหมือนจะยืนหยัดต่อไปไม่ไหว จึงคุกเข่าที่ข้างเท้าของจิ่งฝาน อ้าปากหอบหายใจ ตอนแรกยังคิดอยู่ว่าจะรับมืออย่างไรดี แต่ตอนนี้ถึงมีใจอยากทำเท่าไร กำลังก็ไม่เหลือแล้วจริงๆ โดยเฉพาะหลังจากที่ล้มลงบนพื้น ลมพัดโกรกมา รู้สึกอยากจะหลับไปทั้งอย่างนั้นจวบจนโลกมลาย
ตอนนี้หน้าผากร้อนราวกับน้ำที่กำลังเดือด อ๋าวหรานคาดว่าคงไม่ใช่แค่หญ้าว่านชุนออกฤทธิ์เพียงอย่างเดียวแล้ว ตอนนี้ตัวเขาเองน่าจะเป็ไข้ด้วย
จิ่งฝานมองคนข้างเท้าที่หอบหายใจ ดูเหมือนแทบจะตายแล้วแต่ก็ยังยืนหยัดมีชีวิตอยู่ คนผู้นี้เมื่อก่อนตอนที่กำลังจะตายก็เหมือนว่าจะเป็เช่นนี้ แต่ว่าก้เหมือนจะมีความต่างอยู่ ตอนนั้นน่าจะน่าอนาถกว่าตอนนี้ ร้องไห้น้ำหูน้ำตาไหล ยื่นใบหน้าแฝงความหวาดกลัวและประจบประแจงออกมา พ่นคำพูดขอร้องวิงวอนอย่างน่าสมเพสออกมา น้ำเสียงแหบแห้ง น่าสมเพสเหมือนก้อนโคลนสกปรกหน้าประตู ทำให้คนรู้สึกขยะแขยงและเคียดแค้น
แต่ตอนนี้ต่างออกไป ท่าทางดูไม่ได้ แต่กลับสงบนิ่งเป็อย่างยิ่ง ดูแล้วน่าจะทรมานมาก ผิวที่ปรากฏด้านนอกเป็สีแดง หางตาก็ยิ่งแดงก่ำ ดูแล้วท่าทางเหมือนทรมานจนอยากร้องไห้ แต่กลับฝืนจนไม่มีน้ำตาออกมาสักหยดเดียว และยิ่งไม่มีท่าทางร้องขอหรือหวาดกลัวราวกับว่าโชคร้ายที่เผชิญมาเป็แค่เื่ธรรมดาเื่หนึ่ง
จิ่งฝานค่อยๆ คุกเข่าลง อยากยื่นมือออกไป แต่ก็อดทนฝืนเอาไว้ ตอนนี้เขายังไม่อยากฆ่าอ๋าวหราน เขากลัวตัวเองจะควบคุมกำลังภายในไม่ได้จนเผลอบีบคอเขาจนตาย
เมื่ออยู่ใกล้ถึงได้เห็นว่าน่าสงสารมากจริงๆ เส้นผมวันนี้คงเป็ฝีมือของสาวใช้คนนั้นที่มาขอกับเขาไปเป็พิเศษเกล้าให้กระมัง เส้นผมไม่ได้ถูกรวบขึ้นไปทั้งหมด ยังคงเหลือไว้เพียงบางส่วนที่ปล่อยลงมาอย่างเป็ธรรมชาติ ตอนนี้กลับถูกทำให้ยุ่งไปหมด อีกทั้งปลายผมก็ยังถูกตัดจนไม่เสมอกัน
บนชุดขาวนั้นหากไม่ใช่รอยเืก็คงเป็รอยเปื้อนโคลน ถูกห่มอยู่บนร่างอย่างยุ่งเหยิง เห็นาแอยู่สองสามรอย ทั้งร่างดูซีดขาวไร้เรี่ยวแรงอยู่หลายส่วน จิ่งฝานจำได้ว่าตอนนั้นดูเหมือนเขาจะใส่ชุดยาวสีทองที่ดูหรูหรา หากยืนอยู่เฉยๆ ก็ยังดูสูงส่งอยู่หลายส่วน แต่เขากลับอยากจะคุกเข่าลงแล้วโขกหัวอยู่ตลอดเวลาจึงทำให้ดูต่ำต้อยลงไป
แต่ว่าตอนนี้เขาแทบจะไม่ใส่เสื้อผ้าที่ดูหรูหรานั่นเลย ส่วนใหญ่มักเป็ชุดยาวเรียบง่าย สีฟ้าบ้าง สีขาวบ้าง ไม่มีเครื่องประดับใดๆ ทั้งที่เป็ใบหน้านี้...เป็คนผู้นี้ แต่กลับต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง ไม่มีความยโสและโง่เขลาแบบเมื่อก่อน ทั้งยังไม่มีท่าทางที่ภายนอกดูร้ายกาจแต่ภายในอ่อนแออีกด้วย วันนี้กลับกลายเป็ความสงบนิ่งหนักแน่น ใบหน้าประดับรอยยิ้มอยู่ตลอดเวลา บางครั้งก็น้อย บางครั้งก็มาก และมักทำให้รอบข้างสว่างไสวขึ้นมาได้ เหมือนกับผู้ใหญ่ที่หนักแน่น แต่บางครั้งก็ยังชอบเล่นไร้สาระกับพวกจิ่งเซียง
คนคนหนึ่ง...เหตุใดจึงเปลี่ยนแปลงไปได้มากถึงเพียงนี้? เริ่มรู้สึกเสียใจขึ้นมาแล้วหรืออย่างไร? หรืออยากจะแก้ไขความผิดพลาด? หรือว่าเสแสร้งได้ดีขึ้นกว่าเดิม
จิ่งฝานกำหมัดแน่น ่นี้เขาอุตส่าห์ควบคุมตัวเองได้ดีแล้วแท้ๆ แต่วันนี้กลับรู้สึกหงุดหงิดร้อนรน
ในตอนแรกเขามักจะควบคุมตัวเองไม่ค่อยได้ ทั้งสีหน้าดุร้ายก็ดี จิตสังหารที่ทำให้ผู้คนหวาดกลัวก็ดี หรือความคิดที่อยากจะจับคนผู้นี้มาสับเป็พันๆ ชิ้นให้เืเจิ่งนองก็ดี มักจะพลุ่งพล่านขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง แต่เขาก็ต้องเสแสร้งทำเป็นิ่งเฉย เสแสร้งเป็นายน้อยตระกูลจิ่งคนเก่าคนนั้นที่แสนบริสุทธิ์ดีงาม
โดยเฉพาะรอยยิ้มแห่งความเมตตาต่อคนทั้งโลกในวัยเด็กนั้น เขาได้หลงลืมไปหมดสิ้นแล้ว และไม่สามารถยิ้มแบบนั้นได้อีกต่อไป ถึงจะพยายามเสแสร้งเป็ตัวเองในอดีต แต่ก็ยังมีหลุดออกมาบ้าง ดีที่ความเปลี่ยนแปลงของคนผู้นี้เองที่ทำให้เขาอดทนขึ้นมาได้บ้าง
อ๋าวหรานไข้ขึ้นจนมึนงงไปเล็กน้อย มองจิ่งฝานที่คุกเข่าอยู่เป็นานไม่ยอมขยับเขยื้อน อดฝืนยิ้มขึ้นมาไม่ได้ “เ้าเป็อะไรไป? วันนี้ไม่...มีความสุขหรือ?” ไอที่พ่นออกมาจากปากล้วนร้อนรุ่ม น้ำเสียงแหบต่ำ ดูเปลี่ยนไปอย่างน่าประหลาด
อ๋าวหรานไอออกมาสองที กดน้ำเสียงที่เปลี่ยนไปลงแล้วยิ้มให้จิ่งฝานอย่างกระอักกระอ่วน
จิ่งฝานราวกับว่าถูกตรึงไว้ก็ไม่ปาน รูม่านตาค่อยๆ หดเล็กลง “จิ่งเซิ้งใส่ยาอะไรให้เ้า?”
อ๋าวหรานถอนหายใจ “หญ้า...ซุ่ยสิ่ง ยังมีหญ้า...ว่านชุน เ้า...เ้าเด็กบ้าผู้นี้ของตระกูลเ้าต้องจัดการเสียหน่อยแล้ว คิดจะฆ่ากันชัดๆ มันน่าโมโหนักเชียว”
จิ่งฝานอึ้งไป มิน่าเล่าตัวถึงแดงไปหมด ตอนแรกคิดว่าเป็ไข้เพียงอย่างเดียว
อ๋าวหรานหอบหายใจ “มี...ยาถอนพิษหรือไม่?”
จิ่งฝานทำราวกับว่าไม่ได้ยิน เพียงแค่หายใจเข้าลึกๆ โดยเฉพาะตอนที่เห็นดวงตาอันแดงก่ำของเขา ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ตอนนี้เขายังไม่อยากให้คนผู้นี้ตาย แต่เขาก็เหมือนจะกดความรู้สึกอยากเห็นเืของตัวเองลงไปไม่ได้ จู่ๆ ก็อยากให้เขาเจ็บ อยากเห็นเขาร้องไห้ อยากให้เขาแสดงท่าทางน่าสงสารออกมาอย่างประหลาด ทันใดนั้นจิ่งฝานก็นึกถึงตอนที่เขาถูกพิษหญ้าค้งแล้วน้ำตาไหลออกมา ตอนนั้นตาของเขาก็แดงก่ำไปหมดแบบนี้ มันทำให้เขากลับไปนึกถึงอยู่บ่อยๆ
อ๋าวหรานเห็นว่านานแล้วเขาก็ยังไม่ยอมตอบ เมื่อคิดดูแล้วคาดว่ายาพวกนี้คงจะไม่มียาถอนพิษ จึงทำได้เพียงยันพื้นฝืนลุกขึ้นนั่ง เตี้ยกว่าคนตรงหน้าที่คุกเข่าอยู่ครึ่งหนึ่งประมาณหนึ่งศีรษะ “ถ้าไม่มียาแก้ก็ช่างเถิด พาข้าโยนลงไปในบ่อน้ำบ้านเ้าได้หรือไม่? ข้ารู้สึก...ร้อนมากจริงๆ”
จิ่งฝานยื่นมือออกไปลูบเส้นผมที่ข้างขมับของอ๋าวหราน ปลายนิ้วโป้งลูบผ่านคิ้วของเขาแล้วหยุดที่หางตา อ๋าวหรานอึ้งจนอยากจะสะบัดศีรษะที่มึนงงนั่น แต่กลับถูกมือนั้นของจิ่งฝานจับยึดหลังศีรษะเอาไว้ “เป็...เป็อะไรไปหรือ?”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้