หลินลั่วหรานหลบลงใต้น้ำ ในมือจับดาบเอาไว้แน่นหยาดน้ำจากเรือนผมที่เปียกชุ่มไปด้วยน้ำหยดลงบนใบหน้าของเธอ เข้าไปยังดวงตาทำให้รู้สึกระคายเคือง แต่เธอก็ยังคงพยายามที่จะลืมตาขึ้นและจ้องมองไปยังร่างของคนที่ลอยอยู่้า จะว่าไปแล้ว ร่างที่เหยียบอยู่บนเมฆหนานั่นดูไม่เหมือนกับคนเสียเท่าไรนัก
เธอคือผู้หญิงคนหนึ่งที่มีรูปร่างผอมเพรียวเรือนผมของเธอถูกรวบเอาไว้เป็มวยอยู่้า สวมใส่เสื้อผ้าโบราณสีเหลืองสดมันแตกต่างจากเสื้อผ้าราชวงศ์ถังแบบที่หลีซีเอ๋อร์ชอบใส่เพราะนี่เป็เสื้อผ้าแบบราชวงศ์ที่ให้ความรู้สึกสง่างามและเคร่งขรึมและเมื่อรวมเข้ากับดอกโบตั๋นสีสดส่งกลิ่นหอมที่ประดับอยู่บนมวยผมของเธอทำให้ทั่วร่างของเธอดูนุ่มนวลและสง่างาม ถ้าบอกว่าหลีซีเอ๋อร์ดูเหมือนภาพวาดของสาวสวยผู้หญิงคนนี้ก็คงจะเป็สาวสวยโบราณ ที่เพิ่งจะออกมาจากรูปภาพที่ถูกเก็บรักษาเอาไว้หลายปีเรือนร่างของเธอประดับไปด้วยความงามที่กาลเวลาไม่อาจจะทำอะไรได้เอาไว้
“คุณเป็ใคร?” ไม่ใช่ว่าหน้าตาสวยงามแล้วจะเป็คนดีทุกคนและไม่ใช่ว่ายืนอยู่บนเมฆจะแปลว่าเธอเป็เทพสาวหลินลั่วหรานไม่ได้เป็เด็กน้อยที่เมื่อพบคนสวยแบบนี้ ก็ยอมที่จะคุกเข่าคำนับเธอไม่ได้ลดความระแวงลงเลยแม้แต่น้อย
“เป็เพียงนักปราชญ์ระดับฝึกลมปราณยังกล้าที่จะทำตัวก้าวร้าวต่อหน้าเทพ! อาจารย์ไม่เคยสอนเื่มารยาทให้หรืออย่างไร?” ดวงตาของหญิงสาวสวมชุดโบราณเต็มไปด้วยความโมโหดูเหมือนว่าเธอจะไม่พอใจกับท่าทางไม่เคารพของหลินลั่วหรานเป็อย่างมาก
หลินลั่วหรานไม่ได้สนใจอะไรเธอตกลงมาที่นี่ตั้งสักพักแล้ว ทำไมผู้หญิงคนนี้ถึงไม่ออกมาั้แ่แรกแต่รอจนเธออาบน้ำถึงได้ออกมา ถ้าหากว่าเป็ผู้ชายเธอคงจะคิดว่าตัวเองถูกถ้ำมองเข้าแล้วด้วยซ้ำ
“เทพเหรอ?”
มุมปากของหญิงสาวถูกยกขึ้น “ใช่แล้ว วันวานในโลกแห่งการฝึกศาสตร์ไม่มีใครไม่รู้จักเทพป๋าย เ้าเป็ลูกศิษย์จากสำนักไหนเหตุใดฝึกศาสตร์ได้ระดับต่ำขนาดนี้ แล้วยังกล้าเข้ามาในสถานที่ลึกลับอีก?”
การที่สามารถยืนค้างอยู่บนเมฆได้แบบนี้เป็ศาสตร์แบบไหนกันนะ? เหวินกวนจิ่งไม่ได้บอกว่ามีเพียงนักปราชญ์ระดับฝึกลมปราณจึงจะสามารถเข้ามาได้เหรอแล้วแบบนั้นผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้านี่คืออะไรกัน? ในที่สุดหลินลั่วหรานก็รู้สึกได้ถึงบางอย่างที่มีปัญหาในคำพูดของเหวินกวนจิ่งก่อนหน้านี้แล้วเขาบอกว่าด้านในมียาระดับพื้นฐานอยู่...แต่ว่าในตอนที่เพิ่งเข้ามาต่างก็เป็นักปราชญ์ระดับฝึกลมปราณทั้งนั้นพวกเขาไปหายาระดับพื้นฐานมากขนาดนี้มาจากไหนกัน?
ไม่ว่าอย่างไรหลินลั่วหรานต้องออกไปเมื่อครบหนึ่งเดือนโดยไม่ต้องสงสัยอย่างไรก็ตาม โลกนี้เป็โลกแห่งจิติญญาและความบริสุทธิ์ ซึ่งน่าจะเป็พื้นที่แห่งความบริสุทธิ์ที่สุดท้ายของโลกแห่งการฝึกศาสตร์ถ้าหากสามารถอยู่ที่นี่ได้ในระยะยาว ท่านกัวก็คงจะไม่ต้องตามหาหยกของเธอเพียงแค่มาพักฝึกศาสตร์อยู่ที่นี่ก็พอแล้วไม่ใช่หรือไง?
ความจริงแล้ว มันมีตัวแปรอะไรบ้างกันแน่? แล้วทำไมผู้หญิงคนนี้ถึงอยู่ที่นี่ได้?
หลินลั่วหรานกะพริบตาปริบๆ “โลกฝึกศาสตร์ในวันวานท่านเทพ ท่านอยู่ที่นี่มานานแค่ไหนแล้ว ไม่เคยออกไปด้านนอกเลยอย่างนั้นเหรอ?” ความจริงหลินลั่วหรานนั้นอยากจะพูดอีกว่า ท่านเทพ มีอะไรที่อยากจะพูดก็ให้ฉันได้ใส่เสื้อผ้าก่อนแล้วค่อยคุยกันได้ไหม แต่ว่าด้วยพลังที่แตกต่างกันมากเธอจึงไม่กล้าที่จะหุนหันอะไร มองดูแล้ว “ท่านเทพ” ก็ดูไม่น่าจะอารมณ์ดีเท่าไรนัก!
ดูเหมือนว่าท่านเทพจะี้เีตอบคำถามของหลินลั่วหรานแล้วเธอจึงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เด็กน้อยสวมเสื้อผ้าให้เรียบร้อยแล้วค่อยว่ากันเถอะ”
ท่านเทพผู้สูงศักดิ์ท่านช่างเข้าใจจิตใจคนอื่นเสียจริงหลินลั่วหรานจัดการนำดาบเก็บเข้าไปในพื้นที่ลึกลับ เธอไม่แน่ใจว่า “ท่านเทพป๋าย” ตรงหน้านั้น ฝึกศาสตร์มาอย่างลึกล้ำถึงเพียงใดจะสามารถมองออกถึงความลับของไข่มุกหรือเปล่า เธอนั้นเป็เพียงจอกแหนในการฝึกศาสตร์หน่วยพิเศษเห็นประโยชน์ในตัวของเธอจึงได้เข้าหาที่พวกคุณปู่ตระกูลมู่ดีกับเธอในตอนนี้ หากพูดแล้วไข่มุกต่างหากที่เป็สิ่งยึดเหนี่ยวชีวิตของหลินลั่วหรานเอาไว้จะต้องกุมมันเอาไว้ให้แน่น ห้ามให้หลุดแพร่งพรายออกไปเด็ดขาด
แน่นอนว่าท่านเทพป๋ายนั้น ไม่มีทางที่จะแอบหันมามองเธออยู่แล้วหลินลั่วหรานพยายามควบคุมบังคับพลังขึ้นมา ก่อนจะร่ายมันให้เป็ม่านน้ำง่ายๆไม่ว่ามันจะมีประโยชน์หรือไม่อย่างน้อยก็ทำให้ตัวของเธอรู้สึกปลอดภัยขึ้นมาได้บ้าง
หลินลั่วหรานสวมชุดกระโปรงยาวด้วยความรวดเร็วในสถานที่แบบนี้ เธอคงไม่อาจจะสวมรองเท้าส้นสูงได้อีกต่อไปเธอดีใจเป็อย่างมากที่เธอได้เตรียมรองเท้าส้นเตี้ยๆ เอาไว้ก่อนแล้วเพียงเวลาไม่กี่นาที เธอก็แต่งตัวเรียบร้อย เรือนผมที่เปียกชุ่มและหยาดน้ำทั่วตัวของเธอ เพียงแค่ใช้ “เวทดูดน้ำ” ออกไปก็สามารถทำให้แห้งได้แล้ว การฝึกศาสตร์นี่ช่างสะดวกสบายเสียจริง
ส่วนดาบฟีนิกซ์นั้น การที่ถืออาวุธเอาไว้ในมืออาจทำให้เกิดการหุนหันพลันแล่นขึ้นมาได้ง่ายหลินลั่วหรานจึงทำให้มันกลายเป็ปิ่นปักผมอีกครั้ง ก่อนจะเสียบเอาไว้ในมวยผมหลวมๆของเธอ
ท่านเทพป๋ายหมุนตัวกลับมาเมื่อเห็นหลินลั่วหรานที่แต่งกายเรียบร้อยแล้วก็เห็นได้ถึงรูปลักษณ์ที่งดงามของเธอและก็ต้องยอมรับว่าเ้าเด็กระดับฝึกลมปราณคนนี้ หน้าตาสวยสดงดงามอย่างช่วยไม่ได้ในตอนที่เหลือบสายตาไปเห็นปิ่นปักผมบริเวณมวยผมของหลินลั่วหราน สายตาของท่านเทพป๋ายก็สะดุดหยุดลงเป็เวลาสั้นๆหลินลั่วหรานจึงไม่อาจจะทันได้สังเกต
“ขออภัยท่านเทพ” หลินลั่วหรานแสดงความขอโทษในการเสียมารยาทออกไปเหวินกวนจิ่งเองก็เคยทำอะไรแบบนี้กับเธออยู่ แต่ว่านั่นก็เป็คนในระดับเดียวกันตอนนี้หลินลั่วหรานไม่กล้าที่จะทำตัวดื้อดึงนักได้แต่ทำตัวให้มีความเคารพอีกฝ่ายเอาไว้
ท่านเทพป๋ายไม่ได้พูดอะไรอาจจะเป็เพราะเห็นท่าทางให้ความเคารพของหลินลั่วหรานแล้วเธอปัดเป่าให้เมฆหมอกใต้เท้าหายไป ก่อนจะลงมายืนอยู่บนหินทรงกลมด้านข้างและใช้สายตาที่ให้ความรู้สึกไม่อาจขัดขืนมองลงมายังหลินลั่วหราน
หลินลั่วหรานรู้สึกว่าตัวเองโดนจ้องมองจนเริ่มคันขึ้นมาในคอท่านเทพป๋ายถึงได้พูดขึ้น “เ้ายังไม่ได้ตอบคำถามข้าด้วยระดับฝึกศาสตร์เพียงแค่นี้ เหตุใดจึงกล้ามายังพื้นที่สาบสูญแห่งนี้?”
พื้นที่สาบสูญ? มันคือชื่อเรียกของสถานที่ลึกลับในโลกของการฝึกศาสตร์อย่างนั้นหรือ?
หลินลั่วหรานคิดขึ้นในใจแต่ต่อหน้ากลับทำได้เพียงตอบกลับไปด้วยความเคารพ “ท่านเทพข้านั้นเป็เพียงผู้ฝึกที่แยกตัวออกมา ไม่มีอาจารย์คอยดูแลเพียงแต่ติดมากับนักปราชญ์คนอื่นๆ เท่านั้น” สำนักที่หลินลั่วหรานรู้จักนั้นถ้าไม่นับในนิยาย ในความเป็จริงแล้ว เหวินกวนจิ่งเป็คนจากตระกูลเหวินแห่งชู่ชานดูเหมือนว่าบนเขาชิงเฉิงก็จะมีอีก แต่ใครจะรู้ว่าท่านเทพป๋ายนี้มาจากที่ไหนหากว่าบังเอิญเป็สองที่นั่นพอดี เมื่อถามออกมาแล้วคำตอบของเธอไม่สอดคล้องกันรู้สึกได้ว่ากำลังโดนหลอก ใครจะรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง อย่างไรการบอกออกไปตรงๆเลยน่าจะดีเสียกว่า ถามอะไรมาก็ไม่รู้เอาไว้ก่อน
“แยกตัว?” ท่านเทพป๋ายเหมือนว่าจะยิ้มก็ไม่เชิง “คนที่ไร้สำนักก็สามารถสืบทอดดาบเจาเสวี่ยนี่ได้อย่างนั้นหรือ?”
เอ๋...ท่านเทพคนนี้รู้จักดาบเล่มนี้อย่างนั้นเหรอ? เจาเสวี่ย เป็ชื่อที่เพราะจังเลยนะ หรือว่าจะเป็ดาบที่มีชื่อเสียงในโลกแห่งศาสตร์? หลินลั่วหรานสงสัยว่าตัวเองจะดวงดีได้ถึงขนาดนั้นเลยหรือการเก็บมาตามใจฉัน ก็สามารถเก็บดาบที่มีชื่อเสียงขึ้นมาได้ เมื่อเทียบกันแล้วเธอคิดว่าหากเป็แบบนั้น การที่ท่านเทพป๋ายคนนี้จะรู้สึกถึงมันได้ก็ดูจะมีเหตุผลขึ้นมาบ้าง
“ท่านเทพไม่รู้เหรอคะตอนนี้โลกของการฝึกศาสตร์นั้นย่ำแย่ลงบางทีดาบเล่มนี้อาจจะหายออกมาโดยไม่ตั้งใจก็ได้ข้าเพียงแค่บังเอิญเก็บมาได้เท่านั้น ไม่ใช่การสืบทอดมาแต่อย่างใด”
ท่านเทพป๋ายดูเหมือนว่าจะไม่เชื่อในคำพูดของเธอนัก “การที่ดาบเล่มนี้หลุดออกมาได้...หรือว่าคนคนนั้นจะไม่อยู่แล้ว?” เธอพึมพำออกมา หลินลั่วหรานฟังแล้วก็ได้แต่มึนงง แต่ไม่คิดว่าอยู่ๆท่านเทพจะเงยหน้าขึ้นมา ก่อนจะพูดขึ้นด้วยอารมณ์โมโหจางๆ “เ้าคิดจะหลอกตัวข้างั้นหรือ บอกมาเ้าเป็ทายาทอันดับที่เท่าไรของเพียวเหมี่ยวเฟิง?!”
หลินลั่วหรานรู้สึกราวกับโดนตบหัวเพียวเหมี่ยวเฟิง เขาไม่ใช่นักดาบที่มีชื่อเสียงในนิยายหรอกเหรอหากว่าไม่ใช่เพราะที่นี่อุดมไปด้วยพลังอันแข็งแกร่งไม่มีใครที่จะสามารถปลอมแปลงขึ้นมาได้ เธอก็คงจะได้แต่สงสัยว่าท่านเทพป๋ายตรงนี่อาจจะเป็นักแสดงที่ถูกใครสักคนเชิญมาท่องบทก็ได้!
“ท่านเทพโลกแห่งศาสตร์นั้นย่ำแย่ลงมาก เมื่อพันปีก่อนเหล่าผู้าุโระดับแยกจิตต่างก็พากันสูญหายไปจนหมด เพียวเหมี่ยวเฟิงที่ท่านพูดถึงข้าไม่เคยได้ยินเลยจริงๆ” หลินลั่วหรานพูดเสริมขึ้นอีกในใจเคยได้ยินในนิยายนี่ไม่นับใช่ไหม?
“ผู้ที่ฝึกอยู่ในระดับแยกจิตต่างพากันสูญหายไปหมด? คนคนนั้นเองก็หายไปด้วยหรือ?” ดูเหมือนว่าจิตใจของท่านเทพป๋ายจะเกิดการสั่นคลอนขึ้นเธอก้มหน้าลงราวกับคิดอะไรบางอย่างอยู่
หลินลั่วหรานลอบคิดพิจารณาเธอได้แต่รู้สึกว่าจังหวะที่ท่านเทพคนนี้ปรากฏตัวขึ้นมานั้นช่างประหลาดหากว่าจะเป็พวกผีปีศาจ ตอนนี้เมื่อแอบๆ มองดูแล้วใบหน้าของท่านเทพนั้นก็ดูสวยสดงดงาม ให้ความรู้สึกราวกับจะปลิวไปในสายลมอยู่เสมอดูบอบบางจนราวกับไม่ใช่คน...เธอนำคำว่า “ราวกับไม่ใช่คน” กลับมาคิดอีกครั้งก่อนที่หลินลั่วหรานจะได้รู้อะไรขึ้นมา เมื่อมองไปยังที่ใต้เท้าของท่านเทพในที่สุดก็รู้ว่า จุดที่เธอมองข้ามไปอยู่ที่ตรงนี้นี่เอง!
หลินลั่วหรานยังไม่ได้ทำอะไร ดูเหมือนว่าท่านเทพป๋ายจะใช้ความคิดเสร็จเรียบร้อยแล้วอยู่ๆ เธอก็เงยหน้าขึ้น ใบหน้าสวยงามดูดุร้ายราวกับปีศาจ “เด็กน้อยถ้าเ้าหลอกข้าล่ะก็ ขอให้จิติญญาของเ้าพังทลาย!”
หลินลั่วหรานขยับตัวถอยห่างก่อนจะเหยียดยิ้มหวานออกมา “จิติญญาพังทลายเหมือนกับท่านเทพน่ะเหรอ?”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้