“องค์หญิง”
หญิงสาวผู้งดงามคนนี้คือองค์หญิงคนปัจจุบันของราชวงศ์ เป็น้องสาวของต้วนหวู่หยา มีนามว่าต้วนซินเยี่ย
นางไม่เพียงแค่งดงาม แต่ยังมีสถานะสูงศักดิ์ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือตอนนี้ต้วนซินเยี่ยยังไม่มีคนรัก ซึ่งแน่นอนว่ามันทำให้ลูกหลานชนชั้นสูงในเมืองหลวงต่างปรารถนาในตัวนาง หากพวกเขามีความสัมพันธ์กับนางสถานะของพวกเขาจะสูงขึ้น มันคงเป็เื่ที่ยอดเยี่ยมมากสำหรับพวกเขา
อย่างไรก็ตามพวกเขาทุกคนล้วนเกิดในตระกูลใหญ่ และมีพี่น้องหลายคนที่กำลังดิ้นรนเพื่อชิงอำนาจ
ต้วนซินเยี่ยเดินไปข้างหน้าจนมาถึงที่นั่งของนางแล้วนั่งลงอย่างสงบ
ต้วนหวู่หยาก็นั่งลงข้างๆ นาง จากนั้นก็กล่าวว่า “ซินเยี่ย ผู้คนมากมายที่อยู่ที่นี่เ้าอาจเคยเห็นมาบ้างแล้ว แต่ข้าจะแนะนำใครคนหนึ่งให้เ้ารู้จัก”
กล่าวจบต้วนหวู่หยาก็ผายมือไปทางหลินเฟิงทันที “นั่นหลินเฟิง เขาเป็ศิษย์ของสำนักเทียนอี้ ซึ่งมีพร์ยอดเยี่ยม ถึงอายุยังน้อยแต่มีความแข็งแกร่งที่สามารถเอาชนะเนี่ยเอ๋อร์ได้”
ต้วนซินเยี่ยเงยหน้ามองหลินเฟิงอย่างเฉยชา แต่เมื่อนางเห็นเสื้อผ้าที่ขาดรุ่งริ่งของเขา ก็อดไม่ได้ที่จะทำให้นางต้องรู้สึกประหลาดใจ
ภายในศาลาทุกคนล้วนมีสถานะทางสังคมที่สูงศักดิ์ ทุกคนล้วนแต่งตัวดูดีมีชาติตระกูล แต่หลินเฟิงนั้นสวมใส่เสื้อผ้าราวกับผ้าขี้ริ้ว จึงยากที่จะไม่ดึงดูดความสนใจของผู้คนได้
หลังจากนั้นต้วนซินเยี่ยก็หันไปรอบๆ แล้วไม่ได้มองหลินเฟิงอีก
“ซินเยี่ย ดูสิชายหนุ่มหล่อเหลามากมายจากเมืองหลวงมาอยู่ที่นี่ ลิ้มรสเหล้าเซียงซือแล้วมองว่ามีใครถูกใจเ้าบ้าง”
ต้วนหวู่หยากล่าวขณะยิ้ม ต้วนซินเยี่ยเงยหน้าขึ้นมองเขา จากนั้นก็พยักหน้าและกล่าวว่า “พี่รอง ท่านพูดถึงเื่อะไรกัน?”
“ฮ่าๆๆ ซินเยี่ย งานเลี้ยงนี้ข้าเตรียมเพื่อเ้าโดยเฉพาะเลยนะ”
ต้วนหวู่หยายิ้มอย่างเบิกบาน ส่วนต้วนซินเยี่ยได้แต่ก้มหน้าไม่เอ่ยวาจา เพราะนางยังไม่เจอใครที่สามารถทำให้ใจเต้นได้
ในขณะนั้นเยว่เทียนเฉินได้ลุกขึ้นยืนและหยิบแก้วเหล้าส่งให้นาง จากนั้นเขาก็กล่าวว่า “ซินเยี่ย นานแล้วที่เราไม่ได้เจอกัน เ้าเป็ยังไงบ้าง?”
“ขอบคุณพี่เทียนเฉินที่เป็ห่วงข้า ข้าสบายดี” เห็นได้ชัดว่าต้วนซินเยี่ยกับเยว่เทียนเฉินรู้จักกัน แต่สีหน้าของนางยังคงเฉยชา นางก็ยกแก้วขึ้นและจิบเหล้าเซียงซือเล็กน้อย
“เห็นเ้าสบายดีแบบนี้ ข้าก็หายห่วงแล้ว” เยว่เทียนเฉินพูดอย่างอ่อนโยน และกล่าวต่อว่า “เมื่อไม่นานมานี้ ท่านปู่ได้ถามข้าเกี่ยวกับเื่ของเ้า เขาหวังว่าพวกเราจะได้หมั้นหมายกันในเร็ววัน”
เมื่อเยว่เทียนเฉินกล่าวจบ หลายคนก็จ้องมองเขาด้วยสายตาอิจฉา สถานะของเยว่เทียนเฉินสูงกว่าพวกเขามาก
ตระกูลเยว่ ถึงแม้แต่ไหนแต่ไรมาจะทำการอะไรก็จะจัดการเงียบๆ แต่ก็ไม่เคยมีใครกล้าดูถูกตระกูลเยว่ พวกเขาต่างเข้าใจกันดี ถ้าสามตระกูลที่ยิ่งใหญ่จะถูกแบ่งโดยมีตระกูลต้วนและตระกูลเยว่ที่อยู่ในระดับเดียวกัน พวกเขาล้วนมีสิ่งหนึ่งที่น่าหวาดกลัวเหมือนกัน ซึ่งความน่าหวาดกลัวนี้ตระกูลอวี่กลับไม่มี
เมื่อต้วนหวู่หยาได้ยินคำว่า ‘หมั้นหมาย’ จากปากเยว่เทียนเฉิน เขาจึงจ้องมองชายหนุ่มด้วยสีหน้าจริงจังและเยือกเย็น
“น้องเยว่ นั่นเป็เพียงการหมั้นหมาย ไม่ใช่การแต่งงาน” ต้วนหวู่หยากล่าวขณะยิ้ม
“ฝ่าา ด้วยความเคารพ ท่านปู่นั้นไร้บุตร มีเพียงบุตรสาวคนเดียวของอาหญิง ส่วนเื่ความลับของตระกูลเยว่นั้น ฝ่าาน่าจะรู้ดีกว่าใครๆ แม้ว่าข้าจะไม่ใช่ลูกหลานโดยตรงของท่านปู่ แต่อย่างไรก็ตามตอนนี้ตระกูลเยว่ได้ยอมรับข้าว่าเป็ลูกหลานโดยตรงแล้ว และเื่การหมั้นหมายกับซินเยี่ยนั้น ปล่อยให้ข้าจัดการเองเถิด”
เยว่เทียนเฉินมองไปที่ต้วนหวู่หยาขณะกล่าวอย่างไม่สะทกสะท้าน ทำให้ต้วนหวู่หยาถึงกับตกตะลึง ดูเหมือนเยว่เทียนเฉินจะกังวลเกี่ยวกับเื่นี้ เขาจึงเอ่ยต่อหน้าฝูงชนเช่นนี้
“บางทีตระกูลเยว่อาจมีสายเืโดยตรงแล้วก็ได้” ต้วนหวู่หยากล่าวด้วยน้ำเสียงคลุมเครือขณะมองเยว่เทียนเฉิน
“เป็ไปไม่ได้ เหตุการณ์เช่นนั้นไม่มีทางเกิดขึ้นได้ เื่นี้ฝ่าาน่าจะเข้าใจดีกว่าข้า”
เมื่อได้ยินคำพูดของเยว่เทียนเฉินแล้ว ต้วนหวู่หยาได้แต่ยิ้มโดยไร้คำพูดและกล่าวว่า “สรุปแล้วเื่นี้ยังไม่ได้มีการยืนยันมาก่อน แน่นอนว่าเื่การหมั้นหมายก็ยังไม่นับ นางจะชอบใครก็ให้นางเลือกเองเถอะ”
“มาๆ น้องเยว่ มาดื่มกัน”
จู่ๆ ต้วนหวู่หยาก็เปลี่ยนเื่คุย และยกแก้วขึ้นขณะหัวเราะ
เยว่เทียนเฉินไร้หนทางหลีกเลี่ยง ซึ่งเขารู้ดีว่าเื่เช่นนี้ไม่สามารถเร่งรัดได้ เขาจึงดื่มให้กับต้วนหวู่หยาแก้วเดียวรวด
ต้วนซินเยี่ยมีสายเืโดยตรงจากตระกูลต้วนที่เป็ถึงเชื้อพระวงศ์ นางจึงได้รับสืบทอดสายเืที่แข็งแกร่ง และยังจิติญญาทางสายเื ใครที่สามารถแต่งงานกับนางและมีบุตรได้ จะสามารถสืบทอดจิติญญาทางสายเืด้วย
หากชายใดได้แต่งกับนาง ชายผู้นั้นจะได้รับผลประโยชน์มากมาย
ดังนั้นผู้หญิงที่เพียบพร้อมเช่นนี้ จะไม่ให้ชายหนุ่มในเมืองหลวงวิ่งตามนางราวกับฝูงเป็ดเพื่อแต่งงานกับนางได้อย่างไร
แต่น่าเสียดายที่นางไร้หัวใจและเยือกเย็นกับเื่เหล่านี้มาก นางไม่ได้โหยหาความรักแต่อย่างใด แล้วได้ยินมาว่านางไม่เคยให้ความสำคัญกับใครเลย
ต้วนซินเยี่ยมีสถานะเป็ถึงองค์หญิง นางเคยเห็นศิษย์ที่โดดเด่นหลายคน และพี่ชายทั้งสองของนางอย่างต้วนหวู่ต้าวและต้วนหวู่หยา องค์ชายรัชทายาทต้วนหวู่ต้าวมีพร์และสติปัญญาล้ำเลิศ ส่วนองค์ชายรองก็มีพร์ที่ยอดเยี่ยมเช่นกัน และยังเป็คนอ่อนโยนและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ พวกเขาทั้งสองไม่มีใครที่สามารถเทียบได้ คนส่วนใหญ่ต่าง้าให้ต้วนซินเยี่ยมอบใจให้แก่พวกเขา แต่เื่เช่นนั้นอย่างไรก็คงเป็ไปไม่ได้
หลินเฟิงยังคงนั่งเงียบๆ ขณะดื่มเหล้าคนเดียว จนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่เข้าใจว่าต้วนหวู่หยาทำไมถึงเชิญเขามาร่วมงานเลี้ยง ในขณะนั้นต้วนหวู่หยาได้ส่งสัญญาณให้กับหลินเฟิง ทว่าหลินเฟิงกลับไม่เข้าใจมัน
“ที่นี่มีทัศนียภาพที่สวยงามและมีหญิงงามอยู่ด้วย ดูเหมือนว่ายังมีบางอย่างขาดหายไป” ขณะนั้นได้มีเสียงหนึ่งดังขึ้น ทำให้ผู้คนหันไปมองคนที่นั่งข้างๆ เิชงซึ่งเป็คนกล่าว
“พี่เฟิง ท่านหมายถึง...”
เิชงถามเสียงแ่เบา
“พวกเราที่อยู่ที่นี่ล้วนเป็รุ่นเยาว์ ทำไมไม่จัดการประลองเพื่อเพิ่มความสนุกล่ะ แสดงให้องค์หญิงดูและทำให้เอ่ยปากชมให้ได้” คนคนนั้นได้กล่าวตอบ
สิ้นเสียงของคนคนนั้น หลายคนต่างเผยสีหน้าสนใจออกมา ทักษะยุทธ์นั้นถือว่าเป็หัวใจหลักของผู้ฝึกยุทธ์ และการแสดงความแข็งแกร่งของตัวเองต่อหน้าองค์หญิง ช่างเป็ความคิดที่ยอดเยี่ยม
“เพิ่มความสนุกสนาน?” ใครบางคนถามเมื่อได้ยินชายหนุ่มแซ่เฟิงดังนั้น แล้วกล่าวต่อว่า “แน่นอนว่าต้องเป็การต่อสู้ และพวกเราก็สามารถเลือกคู่ต่อสู้ได้”
“ช่างน่าสนใจยิ่งนัก ความแข็งแกร่งของพี่เฟิงก็ไม่ธรรมดา ข้านี่เทียบไม่ติดเลย ไม่รู้ว่าพี่เฟิงจะเลือกใครเป็คู่ต่อสู้ เพื่อทำให้องค์หญิงสนใจได้” เิชงกล่าวขณะยิ้ม จากนั้นหลินเฟิงที่ก้มหน้าและดื่มเหล้าอยู่ก็รู้สึกว่ามีคนกำลังมองตัวเองอยู่ ซึ่งเ้าของสายตานี้ก็คือชายหนุ่มแซ่เฟิง
เมื่อเห็นฉากนี้ั์ตาของผู้คนต่างก็มองไปที่หลินเฟิง ดูเหมือนว่าการตู่สู้ได้เริ่มขึ้นแล้ว
“ได้ยินจากฝ่าามาว่าหลินเฟิงสามารถเอาชนะเฮยม่อได้ ข้าเฟิงเซียวจึงอยากได้คำแนะนำ น้องหลินโปรดชี้แนะด้วย”
เมื่อหลินเฟิงได้ยินคำพูดดังนั้นแล้ว จึงเงยหน้ามองเฟิงเซียวและเิชง เมื่อเห็นว่าเิชงกำลังยิ้มเยาะ หลินเฟิงก็พลันลอบยิ้มอย่างเยือกเย็นในใจ
“ข้าขอยอมแพ้” หลินเฟิงตอบอย่างเฉยชา แล้วก้มหน้าลงไม่ได้มองเฟิงเซียวอีก เขา้าใช้ทักษะยุทธ์ของหลินเฟิงเพื่อเพิ่มความสนุกสนาน และเพื่อดึงดูดหญิงสาวเท่านั้น
แขกทุกคนต่างตกตะลึง ไม่คิดว่าหลินเฟิงจะขอยอมแพ้อย่างไม่ลังเลเช่นนี้ พวกเขาอดเผยสีหน้าเยาะเย้ยไม่ได้ ดูเหมือนว่าเ้าหมอนี่จะมีดีแค่ชื่อเสียง และองค์ชายรองก็แค่คุยโวโอ้อวดไปเท่านั้น แม้แต่ความกล้าหาญในการรับคำท้าของเฟิงเซียวก็ไม่มี และยังขอยอมแพ้อีก ช่างน่าอับอายยิ่งนัก
ต้วนซินเยี่ยมองหลินเฟิงด้วยแววตาประหลาดใจ ผู้ฝึกยุทธ์นั้นต่างกระหายในชัยชนะอย่างบ้าคลั่ง และการยอมแพ้อย่างง่ายดายเช่นนี้ ไม่ใช่วิสัยที่ผู้ฝึกยุทธ์ที่แสวงหาพลังในเส้นทางแห่งนักรบจะทำกัน
“ฮ่าๆๆ หลินเฟิง วันนี้องค์ชายและองค์หญิงต่างก็อยู่ที่นี่ การปฏิเสธคำท้าของพี่เฟิง มันไม่ใช่เื่ที่ควรทำนะ” เิชงกล่าวขณะยิ้มและจ้องเขม็งมาที่หลินเฟิง
“เ้าหมายถึงไม่ว่าใครก็ตามที่ท้าเ้า เ้าก็ต้องยอมรับใช่ไหม?” หลินเฟิงถามขณะจ้องเิชงกลับไป
“เพื่อทำให้องค์หญิงสนุกสนานได้ ก็นับว่าเป็เกียรติของพวกเราที่ได้ทำเช่นนั้นแล้ว” เิชงกล่าวตอบ
“ก็ได้” หลินเฟิงพยักหน้าเล็กน้อย เขามองเิชงและกล่าวว่า “งั้นตอนนี้ข้าก็จะขอท้าเ้า เพื่อเพิ่มความสนุกให้กับองค์หญิง เ้าคิดว่าไง?”
“เ้า… ” เิชงถึงกับตกตะลึงและกะพริบตาอย่างเยือกเย็น ความแข็งแกร่งของหลินเฟิงแม้จะเทียบไม่ได้กับเฮยม่อ แต่หลินเฟิงก็ยังแข็งแกร่งกว่าเขา จากนั้นเขาก็มองหลินเฟิงด้วยแววตาเ้าเล่ห์ หากเขายอมรับคำท้าและสู้กับหลินเฟิง เกรงว่าคงไม่ใช่เื่ที่ดีนัก
“ทำไม? ไม่ใช่ว่าเมื่อครู่นี้เ้าบอกว่าเพื่อเพิ่มความสนุกสนานให้กับองค์หญิง ก็ถือเป็เกียรติสำหรับเ้าหรือ? แล้วทำไมตอนนี้ถึงเงียบไปล่ะ?” หลินเฟิงถามขณะมองเิชงที่กำลังแข็งทื่อ ทำให้แววตาของเิชงยิ่งดูอึมครึม
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้