มู่จื่อหลิงรอมาหนึ่งวันเต็มๆ แล้ว ก็ยังไม่เห็นหลงเซี่ยวอวี่กลับมา
มู่จื่อหลิงจิบน้ำชาทีละอึกรอหลงเซี่ยวอวี่ด้วยท่าทางที่ดูเหมือนสง่างามและสบายอกสบายใจ แต่ผู้ใดเล่าจะรู้ว่าภายในใจนางในขณะนี้ร้อนรนนัก!
ฮ่องเต้หารือธุระกับหลงเซี่ยวอวี่ก็มิควรหารือนานถึงเพียงนี้ จะเป็เพราะหลงเซี่ยวอวี่ขัดพระบัญชานำตัวนางออกมาจากคุกหลวง แล้วฮ่องเต้พิโรธขึ้นมาจึงกักบริเวณหลงเซี่ยวอวี่ไปแล้ว?
แต่เช่นนี้ก็เป็ไปไม่ได้ หากเกิดเื่กับหลงเซี่ยวอวี่ นางจะยังอยู่รอดปลอดภัยอยู่ที่จวนฉีอ๋องได้อย่างไร อีกอย่างบุรุษหลักแหลมแข็งแกร่งเช่นหลงเซี่ยวอวี่จะทำเื่ที่อยู่นอกเหนือการควบคุมได้อย่างไร!
เกิดปัญหาตรงใดกันแน่?
วันนี้พอกลับมาถึงมู่จื่อหลิงก็เล่าเื่หลี่เอินให้เสี่ยวหานฟังโดยคร่าวๆ แล้ว เสี่ยวหานเองก็รู้ว่ามู่จื่อหลิงจะต้องคลี่คลายเื่ของหลงเซี่ยวหนานให้ได้ภายในสามวัน จึงจะไปช่วยชีวิตหลี่เอินได้
ตอนนี้นางเห็นฉีอ๋องยังไม่กลับมา นายน้อยก็มิอาจเข้าวังไปสืบคดีได้ นางจึงพลอยร้อนรนไปด้วย
เสี่ยวหานเห็นมู่จื่อหลิงละเลียดชาด้วยท่าทางสบายอกสบายใจ ก็เดินไปเดินมาวนเป็วงกลมอยู่เบื้องหน้ามู่จื่อหลิง
“เสี่ยวหาน เ้าเลิกวนไปมาได้แล้ว วนเสียจนข้าเวียนหัวไปหมดแล้ว” มู่จื่อหลิงวางจอกชาลง เงยหน้ามองเสี่ยวหานอย่างอับจนวาจา
เหตุใดสาวใช้ผู้นี้จึงร้อนรนกว่านางเสียอีก!
เสี่ยวหานเห็นว่าในที่สุดมู่จื่อหลิงก็สนใจนาง จึงกล้าวิ่งขึ้นไปพูดกับนาง “นายน้อย ท่านอ๋องไม่กลับมาหนึ่งวันเต็มๆ แล้ว เหตุใดท่านไม่ร้อนรนแม้แต่น้อย ยังจิบชาอย่างเอื่อยเฉื่อย ท่าทางสบายใจเฉิบได้อยู่อีก”
ใครว่านางไม่ร้อนใจ? แต่ร้อนใจไปแล้วมีประโยชน์หรือ?
“เช่นนั้นเ้าว่าข้าควรทำอย่างไร หรือจะให้เดินวนเป็วงกลมเช่นเ้า แล้วสามารถพาท่านอ๋องเดินวนกลับมาได้หรือ?” มู่จื่อหลิงมองเสี่ยวหานด้วยความขบขัน ทันใดนั้นนางก็ค้นพบว่ามีสาวใช้ผู้นี้อยู่ข้างกาย ต่อให้นางกลัดกลุ้ม ก็สามารถกลับมาอารมณ์ดีได้
“แต่ แต่ว่าถ้าท่านอ๋องยังไม่กลับมาอีก จะไม่ทันเวลาแล้วนะเ้าคะ” เสี่ยวหานขมวดหัวคิ้วกล่าวอย่างใจร้อน
มู่จื่อหลิงยกจอกชาขึ้นมาจิบนิดหน่อย ชำเลืองมองเสี่ยวหานอย่างหดหู่ใจ “เ้าไม่เชื่อมั่นในความสามารถของนายน้อยตระกูลเ้าถึงเพียงนี้เลย?”
“บ่าวต้องเชื่อมั่นในตัวของนายน้อยอยู่แล้ว แต่ว่า” เสี่ยวหานรีบร้อนอยากจะพูดอันใดสักอย่าง
“เลิกแต่ได้แล้ว ท้องฟ้าไม่เช้าแล้ว เ้ากลับไปนอนก่อนเถิด” มู่จื่อหลิงโบกมืออย่างหมดทางเลือก ส่งสัญญาณให้เสี่ยวหานออกไป
“บ่าวนอนไม่หลับ อยู่ที่นี่เป็เพื่อนนายน้อยดีกว่าเ้าค่ะ” เสี่ยวหานร้อนใจเสียจนวิ่งเข้าๆ ออกๆ ไปนอกประตูอยู่หลายครั้ง
จู่ๆ ดวงตาของเสี่ยวหานก็สว่างวาบขึ้นมาราวกับนึกสิ่งใดขึ้นมาได้ จึงวิ่งมาข้างหน้ามู่จื่อหลิง “นายน้อย ท่านไปให้เถ้าแก่เย่ช่วยเหลืออีกดีหรือไม่ เถ้าแก่เย่มากความสามารถ ไม่มีเื่ใดไม่รู้ ให้เขาสืบให้เสียหน่อย พวกเราต้องได้รู้แน่ว่าเหตุใดท่านอ๋องจึงยังไม่กลับมา”
เพียงพูดถึงเย่จื่อมู่ มู่จื่อหลิงก็ขุ่นเคืองขึ้นมา พูดอย่างอารมณ์เสีย “ไปหาเขาทำไมกัน แต่ว่าเ้ารู้ได้อย่างไรว่าพ่อค้าหน้าเืมากความสามารถผู้นั้นสืบหาได้!”
นางจำได้ว่านางเพียงเคยพูดกับเสี่ยวหานว่าเย่จื่อมู่เข้าไปส่งอาหารให้นางในคุกหลวงกลางดึก เื่อื่นๆ นางไม่ได้พูดเพิ่มอีกสักประโยค
ทันใดนั้นสีหน้าเสี่ยวหานก็มีแววหลบเลี่ยงแวบหนึ่ง รวดเร็วเสียจนทำให้คนจับไม่ทัน และมู่จื่อหลิงที่กำลังหัวร้อนอยู่ย่อมมองไม่เห็นเช่นกัน
“นายน้อย ท่านลืมเสียแล้ว ไม่กี่วันก่อนที่ท่านไม่อยู่ เป็ท่านที่ให้เถ้าแก่เย่มาแจ้งบ่าว เถ้าแก่เย่ยังสามารถเข้าออกคุกหลวงได้อย่างอิสระ บ่าวจึงเดาว่าเถ้าแก่เย่จะต้องร้ายกาจแน่ๆ” เสี่ยวหานตอบไปส่งๆ ด้วยสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง
เสี่ยวหานพูดเช่นนี้มู่จื่อหลิงไม่สงสัย ครั้งที่แล้วนางให้เย่จื่อมู่มาแจ้งเสี่ยวหานจริงๆ เย่จื่อมู่เข้าออกคุกหลวงเหมือนบ้านตนเองอย่างไรอย่างนั้น เสี่ยวหานเดาว่าเขาร้ายกาจก็ไม่น่าแปลกใจ
มู่จื่อหลิงเหลือบมองเสี่ยวหานอย่างอารมณ์เสีย พูดอย่างเรียบเฉย “อย่าได้ประเมินพ่อค้าหน้าเืง่ายดายจนเกินไป เอาล่ะ เ้ากลับไปนอนเถิด ข้าก็ง่วงแล้ว”
ครั้งนี้เสี่ยวหานไม่ได้พูดอันใดมากอีก ผลักประตูออกไปอย่างเชื่อฟัง
-
เช้าวันรุ่งขึ้น
มู่จื่อหลิงยากที่จะข่มตาหลับตลอดทั้งคืน หนึ่งวันหนึ่งคืนก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงาของหลงเซี่ยวอวี่ เหมือนดั่งที่เสี่ยวหานพูดว่านางไม่ทันเวลาแล้ว ดังนั้นนางจึงมิอาจนั่งอย่างโง่งมต่อไปได้อีก
มู่จื่อหลิงหวีผมล้างหน้าอย่างง่าย กินมื้อเช้าอย่างเร่งรีบ คิดจะเข้าวังไปดูสถานการณ์ตามลำพัง
นางเพิ่งออกมาตำหนักอวี่หานก็เห็นกุ่ยเม่ยเข้ามา
“ข้าน้อยคารวะหวางเฟย” กุ่ยเม่ยคารวะอย่างนอบน้อม
“เ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร? ท่านอ๋องเล่า?” สีหน้าของมู่จื่อหลิงประหลาดใจ ถามอย่างสงสัย กุ่ยเม่ยมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ หลงเซี่ยวอวี่ก็กลับมาแล้วหรือ?
“นายท่านออกจากเมืองไปเมื่อวาน วันนี้นายท่านให้ข้าน้อยมารับหวางเฟยไปตำหนักหนานเหอตรวจสอบเื่องค์ชายห้า” กุ่ยเม่ยตอบด้วยความนอบน้อมถ่อมตน
“ออกจากเมือง? เมื่อวานเขาไม่ได้เข้าวังหรือ?” มู่จื่อหลิงถามอย่างสับสนยิ่งนัก
กุ่ยเม่ยตอบไปตามความจริง “เมื่อวานนี้นายท่านเข้าวัง ไม่นานก็ออกมาแล้วขอรับ”
หน้าผากของมู่จื่อหลิงพลันปรากฏเส้นสีดำขึ้นสามเส้น [1] นางรอไปหนึ่งคืนเต็มๆ โดยเปล่าประโยชน์ ยังคิดไปว่าหมอนั่นเกิดเื่อยู่เลย ที่แท้เขาก็ออกมาตั้งนานแล้ว
แต่ตอนนี้นางสามารถเข้าวังไปพร้อมกับกุ่ยเม่ยได้ก็แสดงว่าฮ่องเต้เหวินอิ้นต้องอนุญาตให้นางไปสืบเื่หลงเซี่ยวหนานแล้วแน่ๆ
นางอยากถามกุ่ยเม่ยพอดีเลยว่าตอนนั้นเขากับกุ่ยหยิ่งอยู่ที่ตำหนักหนานเหอพบความผิดปกติใดหรือไม่
ระหว่างทาง กุ่ยเม่ยบอกกับมู่จื่อหลิงว่าหลังจากที่หลงเซี่ยวอวี่หารือกับฮ่องเต้เรียบร้อยแล้ว ฮ่องเต้ก็มีบัญชาลงมาทันที ให้ศาลต้าหลี่ให้ความร่วมมือกับฉีหวางเฟยในการตรวจสอบคดี ส่วนฝ่ายตรวจการและกรมราชทัณฑ์ก็ไม่ต้องเข้าร่วมการสืบคดีนี้อีก
มู่จื่อหลิงไม่เคยคิดเลยว่าหลงเซี่ยวอวี่จะมีอิทธิพลมากถึงเพียงนั้น เพียงแค่ไปหารือกับฮ่องเต้ไม่กี่ประโยคก็ทำให้ฮ่องเต้เปลี่ยนความตั้งใจแรก แล้วยังให้ศาลต้าหลี่ร่วมมือกับนางสืบคดี
แต่เพียงครู่เดียวมู่จื่อหลิงก็กลัดกลุ้มขึ้นมา
นางคิดอย่างไรก็คิดไม่ออกว่าทำไมต้องเป็ศาลต้าหลี่มาสืบคดีร่วมกับนาง นางไม่ลืมว่าเซ่าชิงแห่งศาลต้าหลี่สิงกู้เหวินสมรู้ร่วมคิดกับฮองเฮา
ขี้หนูหนึ่งเม็ดทำแกงบูดทั้งหม้อ [2] ศาลต้าหลี่มีสิ่งของเช่นสิงกู้เหวินออกมาได้ แล้วศาลต้าหลี่จะยังมีคนที่ซื่อสัตย์ยุติธรรมอยู่อีกหรือ?
ครั้งนั้นในคุกหลวงให้สิงกู้เหวินดื่มปัสสาวะไปเสียหนึ่งโต่ว ตอนนางจากมา สายตาที่สิงกู้เหวินมองนางนั้นเรียกได้ว่าแค้นเข้ากระดูกได้เลย มีเ้าไม้กวนอุจจาระเช่นสิงกู้เหวินมาผสมโรงด้วย นางจะยังสืบได้อย่างวางใจอยู่อีกหรือ?
กุ่ยเม่ยเล่าให้นางฟังว่าตอนพวกเขาอยู่หลงเซี่ยวหนานพบปะบุคคลเช่นใดบ้าง แม้แต่รายละเอียดเล็กน้อยก็ไม่ตกหล่น
มู่จื่อหลิงถามกุ่ยเม่ยที่บังคับรถม้าอยู่ด้านหน้า “พวกเ้าเคยเห็นผู้ที่ไปพบองค์ชายห้า มีอาการาเ็บ้างหรือไม่? ต่อให้เพียงาแเล็กๆ ก็ตาม”
แม้กุ่ยเม่ยจะไม่เข้าใจว่าเหตุใดมู่จื่อหลิงจึงถามเช่นนี้ แต่เขาก็ยังครุ่นคิดโดยละเอียด ส่ายศีรษะอย่างมั่นใจ “ข้าน้อยไม่เคยเห็นผู้ที่มีาแเลยขอรับ”
“เช่นนั้นนอกจากลี่เฟยและองค์ชายหก มีผู้ััพระวรกายองค์ชายห้าบ้างหรือไม่ แตะต้องเพียงครู่เดียวก็นับ” มู่จื่อหลิงถามต่ออย่างไม่ยอมแพ้
“มีเพียงหมอหลวงหลี่ที่มาเปลี่ยนยาในยามนั้นขอรับ” กุ่ยเม่ยตอบต่อไปอย่างมั่นใจ เขาไตร่ตรองแล้วพูดว่า “ั้แ่แรกนายท่านเป็ผู้ที่สั่งให้หมอหลวงหลี่มาเปลี่ยนยาให้องค์ชายห้าขอรับ”
มู่จื่อหลิงได้ยินคำพูดของกุ่ยเม่ยก็รู้สึกท้อแท้เล็กน้อย หมอหลวงหลี่คือผู้เข้ามาตรวจอาการเป็คนแรกหลังจากนางผ่าตัดให้หลงเซี่ยวหนานเรียบร้อยแล้วในครั้งนั้น และนางก็เข้าใจแล้วว่าหมอหลวงหลี่เป็คนของหลงเซี่ยวอวี่
แต่นอกจากลี่เฟยที่พบหลงเซี่ยวหนานนับครั้งได้ ก็เป็หลงเซี่ยวเจ๋อ กับคนที่เข้ามาส่งอาหารให้หลงเซี่ยวหนานในยามปกติแล้ว ผู้ที่ปรนนิบัติหลงเซี่ยวหนานก็เป็ผู้ที่ลี่เฟยลงมือคัดเลือกด้วยตนเอง ขันทีนางกำนัลตำหนักอื่นล้วนสอดมือเข้ามาไม่ได้
ผู้ที่กุ่ยเม่ยพูดมาเ่าั้ดูแล้วก็ไร้ความน่าสงสัยอย่างสิ้นเชิง อีกอย่างก็มิได้มีผู้ที่ได้รับาเ็ และมิได้มีผู้ที่แตะต้องตัวของหลงเซี่ยวหนานด้วย
ผู้ที่วางพิษกู่ ใช้วิธีใดวางพิษกู่ในตัวหลงเซี่ยวหนานกันแน่?
-
ตลอดเส้นทางนี้พวกมู่จื่อหลิงนั้นเข้าวังมาได้อย่างราบรื่นไร้อุปสรรค รถม้าวิ่งมาจนถึงหน้าประตูตำหนักหนานเหอ
มู่จื่อหลิงเพิ่งลงจากรถม้าก็มีเงาร่างหนึ่งพุ่งเข้ามาหานางอย่างร่าเริง
ทันทีที่หลงเซี่ยวเจ๋อผลักกุ่ยเม่ยผู้ขัดหูขัดตาที่ยืนข้างมู่จื่อหลิงมาแต่เดิมออกไปได้ ทั้งหน้าทั้งตาก็เต็มไปด้วยรอยยิ้มใสซื่อบริสุทธิ์ “พี่สะใภ้สาม ในที่สุดท่านก็มาแล้ว! ข้ารอมานานนัก”
เมื่อมู่จื่อหลิงเผชิญหน้ากับหลงเซี่ยวเจ๋อผู้เปี่ยมไปด้วยความกระตือรือร้น นางก็รู้สึกกลัดกลุ้มเล็กน้อย “เ้ามิได้ถูกฮ่องเต้ขังไว้หรือ ออกมาได้อย่างไร”
หลงเซี่ยวเจ๋อส่งเสียงหึสองครั้งอย่างลำพองใจ เปี่ยมไปด้วยความถือดี “มีพี่สามอยู่ ข้าย่อมสามารถออกมาได้”
มู่จื่อหลิงค้อนใส่หลงเซี่ยวเจ๋ออย่างอารมณ์เสีย เ้าหมอนี่อวดดีขึ้นไปถึง์อีกแล้ว
มู่จื่อหลิงไม่สนใจหลงเซี่ยวเจ๋ออีก เดินมุ่งหน้าเข้าไปในตำหนักหนานเหอ
ทันทีที่เข้ามาในตำหนักหนานเหอมู่จื่อหลิงก็เห็นหลงเซี่ยวหนานหลับใหลอยู่บนตั่งนุ่ม อาการเจ็บป่วยสองสามวันนี้ทรมานหลงเซี่ยวหนานผู้สุภาพอ่อนโยนเสียจนผอมลงไปหนึ่งรอบ ทั่วทั้งตัวดูอ่อนแอไร้เรี่ยวแรง
บนเก้าอี้ไท่ซื่อขนาดใหญ่สองตัวด้านข้างมีคนนั่งอยู่สองคน ผู้หนึ่งคือสิงกู้เหวินผู้ที่เดือดดาลเป็พิเศษเมื่อได้พบมู่จื่อหลิง
ยังมีคนอีกผู้หนึ่งที่นั่งเหนือไปจากสิงกู้เหวิน มู่จื่อหลิงคาดว่าคนผู้นั้นก็เป็คนของศาลต้าหลี่เช่นกัน และมีตำแหน่งขุนนางสูงกว่าสิงกู้เหวิน หากนางเดาไม่ผิดคงจะเป็ซื่อชิงแห่งศาลต้าหลี่
คนผู้นั้นมีใบหน้าเหลี่ยม ใบหน้าซื่อตรงสง่างาม เคร่งขรึมหนักแน่น รูปร่างสูงใหญ่ ร่างกายบึกบึนทรงพลัง ดั่งขุนนางใหญ่สัตย์ซื่อผู้ยุติธรรมเด็ดขาด ดูแล้วรื่นตายิ่งกว่าสิงกู้เหวินนัก
เพียงแค่ทั้งสองคนบนเก้าอี้ไท่ซื่อเห็นมู่จื่อหลิงเข้ามาก็รีบร้อนยืดกายขึ้น
“ผู้น้อย เสิ่นซือหยาง ซื่อชิงแห่งศาลต้าหลี่ คารวะหวางเฟย ขอให้หวางเฟยอายุยืนพันปีพันปีพันพันปี” เสิ่นซือหยางทำความเคารพต่อมู่จื่อหลิงด้วยความเคารพก่อน
ตามมาด้วยสิงกู้เหวินที่เตรียมจะทำความเคารพมู่จื่อหลิงเช่นกัน “ผู้น้อย เซ่าชิงแห่งศาลต้าหลี่ สิง...”
มู่จื่อหลิงมองสิงกู้เหวินด้วยหางตา โบกมืออย่างเปี่ยมไปด้วยความรังเกียจ “พอแล้ว ใต้เท้าสิงอย่าได้ทำร้ายสุขภาพเลย”
เ้าอ้วนนี่ช่างเสแสร้งนัก ยังคิดจะแสร้งทำท่าว่าพบนางเป็ครั้งแรก นางไม่ให้เขาสมปรารถนาเสียหรอก
“พี่สะใภ้สาม ท่านรู้จักกับใต้เท้าสิงผู้นี้หรือ” หลงเซี่ยวเจ๋อเดินเข้ามาใกล้ด้วยสีหน้าสงสัย
มุมปากของมู่จื่อหลิงปรากฏรอยยิ้ม ในรอยยิ้มนั้นแฝงไปด้วยความเสียดสี เอ่ยปากเค้นออกมาทีละคำ “รู้จัก จะไม่รู้จักได้อย่างไร พูดได้ว่าเสียใจที่พบกันช้าไปนัก ท่านว่าใช่หรือไม่เล่า ใต้ เท้า สิง”
“ผู้...ผู้น้อยมิกล้า” สิงกู้เหวินใจนเหงื่อเย็นๆ หลั่งไหล ไขมันในร่างกายล้วนสั่นระริก
เขาคิดอย่างไรก็คิดไม่ถึง ฉีอ๋องพูดว่า้าสอบสวนนางนั้น เขานั้นคิดว่ามู่จื่อหลิงคงจะไม่มีชีวิตอยู่แล้ว ไม่คิดว่ายังผ่านไปไม่ถึงสองวันมู่จื่อหลิงที่สมบูรณ์ไม่บุบสลายจะมายืนอยู่ต่อหน้าเขาตัวเป็ๆ แล้วยังใช้ฐานะฉีหวางเฟยอีกด้วย
ยามนั้นเขาออกมาจากคุกหลวงอย่างหมดสภาพ จนถึงปัจจุบันยังมิกล้าไปรายงานฮองเฮา มาเช้าวันนี้จู่ๆ ก็ได้รับพระบัญชาให้ศาลต้าหลี่ร่วมมือกับฉีหวางเฟยสืบคดีความ กระทั่งตอนนี้เขาก็ยังไม่กล้าเชื่อมาโดยตลอด
มู่จื่อหลิงแค่นเสียงเย้ยหยันอย่างดูถูก
เสิ่นซือหยางเหลือบมองสิงกู้เหวิน แล้วหันมาพูดกับมู่จื่อหลิงอย่างนอบน้อมว่า “หวางเฟย ศาลต้าหลี่ได้รับพระบัญชาให้ร่วมสืบคดีกับหวางเฟยพ่ะย่ะค่ะ!”
มู่จื่อหลิงยิ่งมองเสิ่นซือหยางก็ยิ่งรู้สึกรื่นหูรื่นตา ดูท่านางคงจะคิดมากไป ศาลต้าหลี่ยังนับว่ามีคนที่ซื่อสัตย์ยุติธรรมอยู่
มู่จื่อหลิงถามอย่างเรียบเฉย “ไม่ทราบว่าสองสามวันมานี้ศาลต้าหลี่ตรวจอันใดออกมาได้แล้วบ้าง?”
----------------------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] หน้าผากปรากฏเส้นสีดำขึ้นสามเส้น หมายความว่าสิ่งนี้มันแย่มากจนไม่รู้จะพูดอย่างไร เป็สิ่งที่เห็นบ่อยในอนิเมะหรือมังงะ ใช้ในการแสดงความรู้สึกอย่างหนึ่ง
[2] ขี้หนูหนึ่งเม็ดทำแกงบูดทั้งหม้อ แปลว่าเพราะคนเพียงคนเดียวทำให้คนทั้งกลุ่มเสียชื่อเสียงไปด้วย
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้