สถานีมงก๊ก
จ้าวอี้ก็รับคำสั่งนี้เช่นเดียวกัน เขากวาดตามองรอบด้านเพื่อหาชายสวมหมวกแก๊ป เขาเพิ่งเห็นคนหนึ่งเมื่อครู่และสะดุดคนคนนี้อย่างมาก!
“ผมจ่ายมัดจำให้คุณแล้ว พรุ่งนี้ทำเื่ที่เหลือให้ดี แล้วจะนำเงินที่เหลือ...ที่แท้แกแจ้งตำรวจไว้แล้ว เวรเอ๊ย แกรอการล้างแค้นของพวกเราได้เลย!” ไม่นานอีกฝ่ายก็รู้เื่ทั้งหมดที่เกิดขึ้นที่นี่และวางสายไปอย่างโมโห
จ้าวอี้ไม่ได้สนใจอีกฝ่าย เขารีบเดินไปตรงจุดที่เกิดเื่ เห็นเงาคนสวมหมวกแก๊ปได้จากไกลๆ จ้าวอี้วิ่งตามไปทันที
ไม่ใช่แค่เขา ยังมีอีกสองสามคนตามมาด้านหลัง เคลื่อนไหวพร้อมกัน
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ! อย่าหนี!”
บทพูดที่กี่หมื่นปีก็ไม่เปลี่ยน ถ้าชายสวมหมวกแก๊ปหยุดฝีเท้าก็คงจะแปลกน่าดู กลับกัน เขาวิ่งให้เร็วยิ่งขึ้นเมื่อได้ยินเสียงะโ!
เขาผลักผู้คนที่ขวางทางออกไปราวกับคนบ้า แล้ววิ่งออกไปข้างนอก
จ้าวอี้ตามติดเขาไปโดยไม่ได้พูดอะไร ไล่ตามเขาอย่างดุเดือด
คนคนนี้คุ้นเคยกับพื้นที่มาก ไม่นานก็วิ่งออกมาจากสถานีรถไฟใต้ดิน ต้องบอกเลยว่า ศักยภาพของคนที่อยู่่วิกฤตินั้นแข็งแกร่งมากเลยทีเดียว ชั่วขณะหนึ่ง จ้าวอี้เกือบไล่ตามอีกฝ่ายไม่ทัน
เขาพยายามใช้ผังเมืองอันซับซ้อนเพื่อสลัดตำรวจที่ตามติดอยู่ด้านหลัง แต่จ้าวอี้จะยอมให้โอกาสเขาที่ไหนเล่า? ระยะห่างระหว่างทั้งคู่ก็ค่อยๆ ลดลง
ในที่สุด เมื่อขีดความสามารถถูกใช้จนหมด ระยะห่างของจ้าวอี้กับชายสวมหมวกแก๊ปก็ห่างเพียงก้าวเดียว!
จ้าวอี้เร่งความเร็วทันที ขาหนึ่งถีบไปที่ด้านหลังของเขา
ผลั่ก!
เท้าข้างนี้ถีบอย่างแรงลงบนตัวของเขา ชายสวมหมวกแก๊ปล้มกลิ้งเหมือนขวดน้ำเต้า
“แฮ่กๆ...พี่ชาย ผมไม่ได้ทำอะไรผิดนะ ที่คุณพี่ไล่ตามผมสุดชีวิตเนี่ย…ไล่ตามผมมาทำไมกัน?” ชายสวมหมวกแก๊ปหอบหายใจ ยังคิดหาทางหลบหนีต่อ!
“ไม่ได้ทำผิดแล้ววิ่งหนีอะไรล่ะ? ซื่อสัตย์หน่อย!”
ถ้าไม่ใช่้าพยานที่ยังมีชีวิต ทั้งยังผู้คนที่เดินอยู่บนถนนมีเยอะเกินไป เมื่อครู่จ้าวอี้คงชักปืนขึ้นมายิงไปแล้ว!
เขากดชายสวมหมวกแก๊ปไว้แน่น ลมหายใจของจ้าวอี้ค่อนข้างหนักหน่วงเช่นกัน
เขาไม่ได้โจมตีเต็มกำลัง เพราะให้ทิ้งเงินสดในกระเป๋าเป้ไว้ที่นั่นคงไม่ดีแน่ โชคดีที่เขาเคยฝึกแบกของหนักเป็ปกติตอนที่อยู่ในกองทัพ ดังนั้น จ้าวอี้จึงสามารถจับกุมเขาได้อย่างราบรื่น
ในที่สุดเ้าหน้าที่สนับสนุนก็ตามมาถึง
พวกเขาย่อตัวลง หอบอยู่หลายรอบถึงจะใส่กุญแจมือให้เด็กชายคนนี้ได้ “ไอ้หนูนี่วิ่งเก่งจริงๆ ขอบคุณมากพี่ชาย สุดยอดไปเลย!”
เ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มชูนิ้วโป้งให้อย่างอิจฉา จ้าวอี้ยิ้มน้อยๆ ไม่พูดอะไร ไม่ว่าใครก็ตามที่อยู่ในกองกำลังพิเศษมาหลายปี ให้ไล่ตามคนธรรมดาไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไรเลย
เมื่อพาเด็กหนุ่มมาส่งให้สำนักงานใหญ่ อี้เกอก็เตรียมรับมืออยู่ที่สำนักงานใหญ่เรียบร้อยแล้ว
“เอาตัวผู้ต้องหาไปที่ห้องสอบปากคำ จัดกำลังคนที่มีความสามารถไว้ คืนนี้ต้องได้ผลลัพธ์ที่ชัดเจน!” เขาออกคำสั่งก่อน จากนั้นอี้เกอก็จับมือจ้าวอี้อย่างเป็กันเอง “ลำบากคุณแล้วล่ะ ถ้าครั้งนี้เราสามารถไขคดีได้ ความดีความชอบของคุณต้องมีคนเห็นแน่ นี่ยังไม่เช้าเลย คุณกลับไปพักผ่อนหน่อยเถอะ”
“นี่เป็สิ่งที่ผมควรทำอยู่แล้วครับ ผมขอกลับไปสำนักงานย่อยก่อนนะครับ ตอนนั้นมันฉุกเฉินมาก ผมเลยยืมโทรศัพท์เ้าหน้าที่คนอื่นโทรหาคุณ ตอนนี้ผมต้องกลับไปคืนให้เขาก่อน ส่วนนี่เป็เงินสินบนที่ยึดมาได้ครับ ช่วยตรวจสอบด้วยนะครับ” จ้าวอี้พูดพลางยิ้มกว้างอย่างอารมณ์ดี แม้จะเสียเวลาไปไม่น้อย แต่ที่สุดแล้วเขาก็ได้บางอย่างมานี่นา?
ตอนนี้คนเราไม่อาจอยู่โดยไม่มีโทรศัพท์ได้ จ้าวอี้พบว่าโทรศัพท์ที่เขายืมมานั้นมีสายที่ไม่ได้รับโทรเข้ามาหลายสายแล้ว หลังจากที่อี้เกอเปิดใช้งานอุปกรณ์ดักฟัง โทรศัพท์เครื่องนี้ก็หมดประโยชน์แล้ว
เงินสดในกระเป๋าเป้ใบนี้ แน่นอนว่าจ้าวอี้ไม่กล้าแตะต้องมันหรอก
“เดี๋ยวก่อน ตำรวจนายนั้นที่คุณพูดถึงน่ะ เมื่อครู่เขามาที่นี่เพื่อรายงานสถานการณ์ของคุณให้เราทราบ คุณไปดูเถอะว่าเขากลับไปแล้วหรือยัง มานี่เร็ว แล้วตรวจสอบสิ่งของในกระเป๋าที”
อี้เกอยุ่งมาก ไม่มีเวลาได้ร่ำลาจ้าวอี้ด้วยซ้ำ
จ้าวอี้วนเวียนอยู่ที่สำนักงานใหญ่ และได้พบกับเ้าหน้าที่ตำรวจที่อยู่สำนักงานย่อยคนนั้น เมื่อเขาเห็นจ้าวอี้ ใบหน้าเต็มไปด้วยความยินดี ถูมือไปมา ยังไม่ทันอ้าปากพูด จ้าวอี้ก็เอ่ยขึ้นมาก่อน “ขอบใจสำหรับโทรศัพท์นะ แล้วก็คุณมีหลายสายเลยล่ะที่ไม่ได้รับ”
ทันใดนั้น สีหน้าของตำรวจนายนี้ก็เปลี่ยนไป เขารีบคว้าโทรศัพท์จนเหมือนกับปล้น ปากพึมพำ “แย่แล้วๆ ต้องเป็แฟนผมที่โทรมาเช็คแน่เลย...”
เขากวาดสายตาแล้วรีบโทรกลับทันที “ที่รักจ๋า ผมมีภารกิจเร่งด่วนน่ะ โทรไม่ติดเป็เื่ปกติไม่ใช่เหรอ? อะไรนะ...ฟังแล้วเหมือนติดสายอยู่…ฟังผมพูดก่อน เรามีกฎเื่รักษาความลับอยู่ ผมบอกคุณไม่ได้จริงๆ…ผมรับรองเลยว่าไม่ได้โกหกคุณแน่นอน ตอนนี้ผมอยู่ที่สำนักงานใหญ่ โอเค ผมจะถ่ายวิดีโอเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของผม...”
ไม่ต้องดูจ้าวอี้ก็รู้ ตอนนี้ตำรวจหนุ่มคนนี้คงประจบประแจง พูดง้อแฟนสาวของตนอยู่แน่
พอย้อนนึกถึงประสบการณ์ของตนเอง จ้าวอี้ก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบว่า เขาโตจนป่านนี้แล้วแต่ยังไม่เคยคบหากับใครซึ่งมันผิดปกติ เขาคิดอย่างละเอียด ตนไม่เคยคบหาใครนั้นเป็เื่ปกติ เพราะกองทัพค่อนข้างพิเศษและมีผู้หญิงอยู่ไม่กี่คน ตอนแรกในกองทัพมีเพื่อนร่วมหน่วยเป็ผู้หญิงเพียงคนเดียว เขามองทุกคนเป็เพื่อนร่วมรบ ไม่ได้มองว่าเป็ผู้หญิงเลย ไม่ได้ให้สิทธิพิเศษใดๆ กับอีกฝ่ายในการฝึกฝนด้วย คิดดูตอนนี้แล้ว คาดว่าในใจของอีกฝ่ายคงด่าเขาอยู่ไม่น้อยทีเดียว
คิดถึงตรงนี้ มุมปากของจ้าวอี้ยกขึ้นอย่างไม่รู้ตัว
ส่วนเพื่อนนักเรียนหญิงตอนมัธยมต้นและมัธยมปลาย จ้าวอี้นึกย้อนกลับไปคล้ายมีเพียงความคิดเดียว คือระยะห่างของพวกเธอกับตนเหมือนอยู่คนละยุค
นี่อาจเป็ภาพลวงตาหลังจากไปออกรบมา
ระหว่างที่คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย หลังพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนเสร็จแล้ว ตำรวจหนุ่มคนนั้นก็ไม่ได้ชักช้า อย่างไรเสีย ตอนนี้ก็ยังเป็เวลางาน ไม่อาจคุยโทรศัพท์เป็เวลานานได้
“คุณไม่มีธุระอะไรแล้วใช่ไหม? พวกเรากลับสำนักงานย่อยด้วยกันไหม? แล้วคุณพอจะรู้จักอาหารอร่อยๆ แถวนี้บ้างหรือเปล่า? เดี๋ยวผมเลี้ยงคุณเอง!”
ตอนนี้เป็เวลาเที่ยงคืนแล้ว และจ้าวอี้ก็หิวนิดหน่อย เขาอยากแสดงความขอบคุณสำหรับโทรศัพท์มือถือที่ให้เขายืมมาใช้ แม้ว่าจะเป็เื่งาน แต่ก็ไม่สามารถใช้ปากเปล่าพูดได้เพียงอย่างเดียว
“ทำแบบนั้นได้ยังไงกันล่ะครับ? พวกเราหารกันดีกว่า ผมพอจะรู้จักร้านเจ๋งๆ แถวนี้อยู่” ตำรวจหนุ่มเตรียมกลับไปที่สถานี เมื่อได้ยินคำพูดของจ้าวอี้ ดวงตาของเขาก็เป็ประกาย
“ให้ผมเลี้ยงเถอะน่า ยังไงผมก็จ่ายค่าโทรศัพท์คืนให้คุณไม่ได้นี่นา”
จ้าวอี้พูดหยอก ยืนยันจะเลี้ยงอาหาร
ค่ำคืนอันยาวนาน พวกจ้าวอี้พักผ่อนได้ แต่พนักงานสอบปากคำที่สำนักงานใหญ่ยังคงยุ่งอยู่
“ชื่อ...”
“เฉินเผิง”
“เพศ...”
“คุณท่าน คุณมองเองไม่ได้เหรอ? จะตรวจดูสักหน่อยไหมล่ะ?”
ชายสวมหมวกแก๊ปพูด แถมยังแสดงท่าทางร้ายกาจอีกด้วย จากนั้นก็หัวเราะลั่น
“จริงจังหน่อย แล้วเริ่มอธิบายเื่ของแกมา!”
“คุณท่าน ผมทำอะไรผิดเหรอ ทำให้พวกคุณทะเลาะกันเหรอ แบบนี้ไม่สบายใจเลย เปิดคุณตรงนี้แทนไหม?” ชายสวมหมวกแก๊ปพูดด้วยใบหน้าทะเล้น ราวกับไม่ได้ใส่ใจเหตุการณ์ที่อยู่ตรงหน้า
“ตอนนี้เราสงสัยว่าแกจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการฆาตกรรม! แกควรสารภาพอย่างซื่อสัตย์และสลดซะบ้าง!” เ้าหน้าที่สอบปากคำตบโต๊ะ จ้องไปที่เขาอย่างหงุดหงิด
ชายสวมหมวกแก๊ปยังคงมองเขาอย่างเกียจคร้าน เขาหัวเราะเยาะก่อนจะพูด “ไม่ต้องทำให้ผมใก็ได้ ผมไม่ได้ขี้กลัวขนาดนั้น ผมทำอะไรไปเหรอ? มีหลักฐานมามัดตัวผมเหรอว่าผมเกี่ยวข้องกับคดีฆาตกรรมบ้าบอนั่น?”
“แกยังไม่ยอมรับอีกเหรอ? วันนี้แกโทรหาจ้าวอี้ ตอนแรกแกนัดเขาไปที่วิกตอเรียพาร์ค แล้วให้เขาวนไปวนมา สุดท้ายแกก็นัดมาที่สถานีมงก๊ก เงินสดพวกนี้คือหลักฐานไงล่ะ!”
เ้าหน้าที่สอบปากคำมั่นใจมาก เขาคิดว่าอีกฝ่ายถูกจับได้คาหนังคาเขาแบบนี้ ไม่มีทางปฏิเสธได้อย่างแน่นอน
“ฮ่าๆ พวกคุณมีหลักฐานอะไรพิสูจน์ว่าผมเป็คนทำเื่พวกนี้ล่ะ? ผมแค่ให้ทิปแล้วให้เขาช่วยโยนกระเป๋าเป้แทนผม การให้ทิปคนอื่นมันผิดกฎหมายด้วยเหรอเนี่ย? หรือการให้คนอื่นโยนของแทนมันผิดกฎหมายกันนะ? ฉันมีเงินเยอะแยะ ฉันจะโยนทิ้งไม่ได้หรือไง? ผิดกฎหมายเหมือนกันเหรอ? คุณท่าน ถ้าไม่มีหลักฐานก็อย่าพูดจาซี้ซั้วสิ ระวังผมจะฟ้องิ่ประมาทเอาได้นะ!” ชายสวมหมวกแก๊ปมีพร์ในการพูด สามารถพูดบ่ายเบี่ยงได้ทั้งหมด ทำให้เ้าหน้าที่สอบปากคำพูดไม่ออก
เ้าหน้าที่สอบปากคำรู้สึกแค่ว่าคำพูดของเขามีบางอย่างผิดแปลกอยู่ แต่เขาคิดไม่ออกว่ามันผิดแปลกตรงไหนกันแน่
ผู้จดบันทึกที่อยู่ข้างๆ เตือนเขาหนึ่งประโยค เขาถึงได้เข้าใจ “จริงจังหน่อย นายบอกว่าไม่มีปัญหา แล้วทำไมมันได้บังเอิญสอดคล้องกับการติดตามของเราล่ะ? อายุนายก็ไม่มาก ยังเป็วัยรุ่นอยู่เลย นายอยากติดคุกเพราะเื่แบบนี้เหรอ? ฉลาดหน่อย เป็พยานให้กับทางเ้าหน้าที่ตำรวจเถอะ ฉันรับรองเลยว่าศาลจะปฏิบัติกับนายอย่างใจกว้างเลยทีเดียว”
เ้าหน้าที่สอบปากคำเกลี้ยกล่อมไม่หยุด นี่เป็ทักษะการสอบปากคำอย่างหนึ่ง
ใครจะรู้เล่าว่าชายสวมหมวกแก๊ปไม่มีท่าทีหวั่นไหวแม้แต่น้อย เขายักไหล่อย่างไม่แยแส “แล้วแต่เลย! ผมเชื่อว่าผู้พิพากษาจะตัดสินอย่างเป็ธรรมแน่ คุณบอกว่ามันเป็เื่บังเอิญนี่ ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันเกิดอะไรขึ้น แล้วก็นะ การติดคุกสำหรับผมก็เหมือนได้กลับบ้านนั่นแหละ ฮู้ คุณอย่าพูดอีกเลย ผมคิดถึงบ้านจริงๆ นะเนี่ย”
น้ำเสียงของเขากระตุ้นความโกรธของเ้าหน้าที่สอบปากคำทันที เขาอยากแต้มสีให้ชายสวมหมวกแก๊ปเสียหน่อย เพียงแต่ถูกเพื่อนร่วมงานรั้งเอาไว้ แล้วชี้ไปที่กล้องวงจรปิดที่มุมห้อง
“อ๊า คุณท่านจะทำร้ายผมล่ะ มาสิ มาเลย…ต่อยเลย...ต่อยผมเลย!” ชายสวมหมวกแก๊ปเห็นท่าทางของเ้าหน้าที่สอบปากคำก็ดีใจทันที ไม่รอให้อีกฝ่ายลงมือ ตัวเขาก็ลงไปนอนรออยู่ตรงนั้นเอง ปากก็ร้องะโออกมา
“ไม่มีใครแตะแกแม้แต่ขนสักเส้น แกเห่าทำบ้าอะไร!” เ้าหน้าที่สอบปากคำตบโต๊ะอย่างหัวเสีย
“เมื่อกี้คุณคุกคามผม ผมกลัวมากเลย ผมจะรายงานผู้ตรวจการ!” ชายสวมหมวกแก๊ปลุกขึ้นมาจากพื้นแล้วนั่งลงเหมือนเดิม พลางเหล่ตามองอีกฝ่าย
ตอนนี้เอง เ้าหน้าที่ตำรวจอีกคนก็เดินเข้ามา กระซิบบอกสถานะที่แท้จริงของชายสวมหมวกแก๊ป
เฉินเผิง เพศชาย อายุ 30 ปี เคยก่อคดีหลายครั้ง ทั้งก่อเหตุทะเลาะวิวาท กระทำการผิดกฎหมายเล็กๆ น้อยๆ หลายอย่างอยู่เป็ประจำ ห้องกักกันและคุกสำหรับเขานั้น เขาเหมือนเป็แขกประจำ คนแบบนี้ยากที่จะจัดการ ถือเป็คนเจนโลกคนหนึ่ง
พอมองแฟ้มคดี เ้าหน้าที่สอบปากคำก็รู้สึกปวดหัวอย่างหนัก
ในห้องทำงานของอี้เกอ ไฟสว่างจ้า
ฉือผิงฮุยยืนอยู่ด้านหน้าโต๊ะ ไม่กล้าหายใจแรง เห็นได้ชัดเลยว่าที่หน้าผากมีเม็ดเหงื่อผุดออกมา
อี้เกอมองฉือผิงฮุยอย่างเคร่งเครียด “คุณเป็อะไรของคุณกัน? ผมแจ้งคุณไปนานแล้ว แต่คุณเพิ่งมาเนี่ยนะ? รู้หรือเปล่าว่านี้คดีสำคัญมากขนาดไหน? นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมเน้นย้ำเื่นี้นะ คุณทำอะไรอยู่?”
เขาโกรธมากๆ!
เป็เื่ปกติที่พอเลิกงานแล้วก็กลับบ้านพักผ่อน แต่ลักษณะเฉพาะของอาชีพกำหนดให้พวกเขาต้องเตรียมพร้อมที่จะทำภารกิจอยู่ตลอดเวลาไม่ว่าที่ไหนเมื่อไร ซึ่งเป็สิ่งที่ควรทำ ตอนนี้คดีอยู่ใน่ที่ตึงเครียด อี้เกอรออยู่หลายชั่วโมงกว่าฉือผิงฮุยจะมาถึงสำนักงานใหญ่ แล้วจะไม่ให้เขาโกรธได้อย่างไร
ฉือผิงฮุยยิ้มขื่นในใจ เขาเป็หัวหน้าสำนักงานย่อยคนหนึ่ง ไม่อาจให้ความสนใจกับคดีเพียงคดีเดียวได้ เขตใต้ใหญ่ขนาดนี้ ไม่รู้ว่ามีเื่เกิดขึ้นมากแค่ไหนในทุกๆ วัน วันนี้มีแขกสำคัญซึ่งเขาต้องไปด้วย ดื่มเหล้าและหลับลึกจึงเป็เหตุผลหลัก
แต่เหตุผลนี้ไม่อาจพูดกับอี้เกอได้ ไม่รู้ว่าอี้เกอมีเหตุผลมากพอหรือเปล่า? ไม่ ในใจเขาชัดเจน สิ่งสำคัญคือเมื่อเบื้องบนมาถึงแล้วคุณยังไม่มา นี่เป็ความผิด!
“โอเคๆ งั้นคุณต้องมีส่วนร่วมกับคดีให้มากกว่านี้นะ อย่าให้คนทางนั้นได้เบาะแสสำคัญไปจนหมด ถึงตอนนั้นเราจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนล่ะ เราจับกุมได้ทั้งหมดสามคน คุณพากลับไปสอบปากคำที่สำนักงานย่อยเถอะ ต้องได้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจด้วย!”
“เข้าใจแล้วครับ! ผมรับรองจะทำภารกิจให้สำเร็จ”
ฉือผิงฮุยรู้ว่าอี้เกอรักษาศักดิ์ศรีของตนไว้ ทุกคนถูกจับกุมแล้ว และให้เขามาสอบปากคำ เห็นได้ชัดว่าเป็การยกความดีความชอบให้เขา
ความดีความชอบนี้ต้องยึดมาให้ได้!