หนีเจียเอ๋อร์จับจ้องไปยังลายสักรูปดอกบัวที่ข้อมือศพอยู่นาน ก่อนเอ่ย “เ้าบอกว่าคนของเว่ยฉีหรานมีรอยสักดอกบัวที่ข้อมือทุกคน แสดงว่าเื่นี้น่าจะเกี่ยวข้องกับสำนักฝูเซิง ใช่หรือไม่?”
โจวชิงหวาพยักหน้า “ใช่แล้ว! ทั้งรูปร่างและตำแหน่งของลายสักดอกบัวล้วนตรงกัน”
หนีเจียเอ๋อร์เม้มริมฝีปาก ทำท่าทางครุ่นคิด... เป็เช่นนี้นี่เอง!
แบบนี้ก็พอจะยืนยันได้แล้ว ว่าผู้ที่ฆ่าปิดปากคนร้ายกลุ่มนี้ ก็คือเว่ยฉีหราน...
หากเขาเป็ผู้ที่ลงมือสังหารพวกมันจริงๆ แสดงว่าเว่ยฉีหราน ก็คือคนที่อยู่เื้ัการลักพาตัวหญิงสาวในเมือง ใช่หรือไม่?
เมื่อคิดเช่นนั้น หนีเจียเอ๋อร์จึงฝังศพนี้ ก่อนจะขุดศพคนอื่นๆ ขึ้นมา พบว่าที่ข้อมือของคนร้ายล้วนมีรอยสักดอกบัว ชี้ชัดว่าโจรลักพาตัวหญิงสาวเหล่านี้ มาจากสำนักฝูเซิงเป็ที่แน่นอนแล้ว!
หลังฝังศพกลับลงไปแล้ว ทั้งสองก็เดินมาที่ม้าของตน
จนถึงตอนนี้ คิ้วของหนีเจียเอ๋อร์ยิ่งขมวดมุ่น สีหน้าเ็าราวกับน้ำค้างแข็ง จนโจวชิงหวาอดเป็ห่วงมิได้ เขาจึงถามเบาๆ “เสี่ยวเอ๋อร์ คิดอะไรอยู่หรือ?”
หนีเจียเอ๋อร์ตอบกลับแ่เบา “ชิงหวา ข้าคิดว่าจะไปเข้าร่วมสำนักฝูเซิง เพื่อสืบหาหลักฐานจากเว่ยฉีหราน”
นางมิได้เอ่ยถามหรือขอคำแนะนำ เพียงบอกกล่าวเท่านั้น
คิ้วของโจวชิงหวาขมวดเป็ปม ก่อนคลายลง ด้วยรู้ดีว่าภายใต้เปลือกนอกอันนุ่มนวลของนาง ซุกซ่อนเอาไว้ซึ่งความแข็งแกร่ง สิ่งใดที่ตัดสินใจไปแล้ว ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อาจหยุดยั้งได้
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ยกยิ้ม แล้วพูดว่า “ข้าก็จะไปกับเ้าด้วย”
“ไม่ได้! อันตรายเกินไป” หนีเจียเอ๋อร์ปฏิเสธทันควัน จะให้โจวชิงหวาไปเสี่ยงกับนางได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้น เขายังมีเื่มากมายให้ต้องจัดการอีก
คำพูดของหญิงสาว ทำให้หัวใจของโจวชิงหวาอบอุ่น
ชายหนุ่มเอื้อมไปคว้ามือเล็กเอาไว้ “แล้วเ้าคิดว่า ข้าจะนิ่งดูดาย ปล่อยให้เ้าไปเสี่ยงอันตรายคนเดียวหรือ?”
ความกังวลฉายชัดผ่านท่าทีและน้ำเสียงอันลึกล้ำ จากนั้น เขาก็พูดขึ้นอีกว่า “หากเ้าไม่ให้ไปด้วย ข้าก็จะมัดเ้าไว้ ไม่ปล่อยให้เ้าไปเช่นกัน!”
ขาดคำ โจวชิงหวาก็ตวัดแขนโอบเอวนางะโขึ้นม้า แล้ววิ่งควบออกไป
สายลมหวีดหวิวพัดผ่านใบหูและแก้มนวล ชายเสื้อและเส้นผมของพวกเขาพลิ้วไหวไปตามสายลม ราวกับปีกวิหคที่โบยบินอยู่ในความมืดมิด
ผูกมัดเอาไว้ด้วยกัน มิปล่อยมือไปไหนอีก...
ในสมองของหนีเจียเอ๋อร์มีประโยคนี้สะท้อนก้อง จนทำให้แก้มของนางร้อนผ่าว หัวใจเต้นรัว ดวงตาที่ซุกซ่อนในเงามืดเปล่งประกาย ฟันขาวเป็ระเบียบดุจเปลือกหอยมุก ขบริมฝีปากล่างเบาๆ ด้วยท่าทีซับซ้อน
สุดท้าย หญิงสาวก็ไม่อาจต้านทานความดื้อดึงของโจวชิงหวาได้...
ทั้งสองบอกกับนายท่านหนี ว่าต้องเดินทางไปที่เมืองเย่อย่างกะทันหัน และเช้ามืดของวันถัดมา พวกเขาก็รีบออกเดินทางทันที
...
เมืองเย่ สำนักฝูเซิง สังกัดเฟิน
หนีเจียเอ๋อร์ได้ปลอมตัวเป็บุรุษ ส่วนโจวชิงหวาก็ติดหนวดเคราอำพรางใบหน้า และตอนนี้ที่ ตรงหน้าพวกเขา ก็มีกว่านซื่อ ซึ่งทำหน้าที่ดูแลสำนักแทนหัวหน้าสังกัดเฟิน กำลังนั่งจับจ้องอยู่
“เหตุใดเ้าถึงอยากเข้าร่วมสำนักฝูเซิง?”
หนีเจียเอ๋อร์คลี่ยิ้ม ก่อนเอ่ยปากยกยอ ก้มหน้าก้มตาประจบประแจงอย่างลื่นไหล
“เดิมที ข้าน้อยมีพื้นเพเป็คนเมืองฝู เมื่อปีที่แล้ว บ้านเกิดของข้ามีน้ำท่วมใหญ่ บ้านเรือนพังทลายไปมากมาย ครอบครัวแยกย้ายไปคนละทิศละทาง โชคดีที่ข้าได้พบกับอาหวาระหว่างทาง ดังนั้นเราจึงเข้ามาในเมืองหลวงพร้อมๆ กัน พวกเราไปขอทำงานรับใช้ในจวนใหญ่ของสกุลหนึ่ง เพื่อแลกกับอาหารและเสื้อผ้า ตอนแรกข้าก็คิดว่าต่อไปชีวิตคงจะราบรื่น แต่มันกลับไม่เป็เช่นนั้น เพราะพวกเราสองคนบังเอิญไปเห็นฮูหยินกลั่นแกล้งอนุเข้า เกรงว่าหากอยู่ต่อ คงจะตกเป็เป้าถูกนางเพ่งเล็งเป็แน่ สุดท้ายจึงต้องออกมาเร่ร่อนอีกครั้ง”
พอหนีเจียเอ๋อร์พูดจบ ก็มีเสียงหัวเราะดังขึ้น
โจวชิงหวามุ่นคิ้ว มองหนีเจียเอ๋อร์ที่ถูกคนเ่าั้หัวเราะเยาะ
“แค่เื่ทะเลาะเบาะแว้งในจวนระหว่างฮูหยินกับข้ารับใช้ มีเหตุผลอันใดที่สำนักฝูเซิงจะต้องรับพวกเ้าเข้ามา” หัวหน้าสังกัดลุกจากเก้าอี้ เดินเข้าไปหาหนีเจียเอ๋อร์ และพูดจาแปลกๆ “หรือเราควรจะพาเ้ากลับไปที่นั่นดี?”
พูดจบ ดวงตาเฉียบคมของหัวหน้าสังกัดก็ไปหยุดที่ลำคอของหนีเจียเอ๋อร์
แววตาคมของอีกฝ่าย ทำให้หัวใจของหญิงสาวตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม
โจวชิงหวากำหมัดแน่น รีบแทรกขึ้นมาว่า “อันที่จริง พวกเราก็ไม่กล้าย่างกรายเข้ามาที่นี่...”
ด้วยความสนใจใคร่รู้ หัวหน้าสังกัดจึงหันเหความสนใจไปที่เขา และเอ่ยถาม “เช่นนั้น ตอนนี้เ้าก็กล้าแล้วสินะ?”
โจวชิงหวาตอบเสียงนอบน้อม “ข้าเคยได้ยินมาว่า สำนักฝูเซิงเป็สำนักที่เปี่ยมไปด้วยศีลธรรม ผู้คนในสำนักล้วนแล้วแต่มีความกล้าหาญเป็ที่เลื่องลือ พวกเราจึงลองเสี่ยงดวงเข้ามา เพราะหมดสิ้นหนทางก็เท่านั้นเองขอรับ”
เดิมทีสำนักฝูเซิงเป็ที่รู้จักก็เพราะเป็สำนักใหญ่ ซึ่งมีสาวกเป็จำนวนมาก แต่เมื่อเว่ยฉีหรานได้รับการแต่งตั้งจากฮ่องเต้ให้เป็ขุนนางชั้นสูง ทางสำนักกลับตกต่ำลง จากที่มีชื่อเสียงเป็ที่เลื่องลือ กลายเป็ฉาวโฉ่ไปเสียอย่างนั้น
ในสายตาของผู้คน ดูไม่ต่างอันใดกับลัทธิมาร
ซึ่งเื่นี้ ทำให้เหล่าสาวกสำนักฝูเซิงที่เคยโด่งดัง รู้สึกหดหู่เป็อย่างมาก
กว่านซื่อเอง ก็เป็หนึ่งในนั้น
เพราะคำพูดของโจวชิงหวา ทำให้กว่านซื่อตัดสินใจว่าจะยอมรับพวกเขา ตราบใดที่พวกเขาสามารถผ่านอุปสรรคด่านสุดท้ายไปได้
กว่านซื่อกะพริบตา แล้วเบือนมาหน้ามาทางหนีเจียเอ๋อร์
โจวชิงหวาตระหนักได้ว่า สร้อยที่อยู่บนคอของหญิงสาวดึงดูดสายตามากเกินไป หนีเจียเอ๋อร์เองก็เหมือนจะเพิ่งนึกขึ้นได้ จึงยกมือขึ้นปิดทันที แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่หยุดอยู่เพียงเท่านั้น มือใหญ่พลันตวัดขึ้น
หนีเจียเอ๋อร์เกรงว่าแผนจะล่มไม่เป็ท่า จึงรีบไปหลบด้านหลังของโจวชิงหวา แสร้งทำทีเป็หวาดกลัว แล้วโผล่หน้าออกมาครึ่งหนึ่ง
ได้แต่หลบ ห้ามตอบโต้...
ชายหนุ่มจึงชะงักมือทันควัน ทว่าก็ไม่อาจหันหลังให้ฝ่ายตรงข้าม
เขาเป็ผู้ฝึกวรยุทธ์ ย่อมรู้เื่นี้ดี ว่าหากมีอันตรายเข้ามาใกล้ ร่างกายจะตอบสนองไปเองโดยไม่รู้ตัว ด้วยการสั่งให้กล้ามเนื้อเคลื่อนไหวเพื่อตอบโต้หรือป้องกัน โดยมิได้ผ่านสมอง
โจวชิงหวาจึงเกือบจะพลั้งมือไปตอบโต้ ั้แ่ที่กว่านซื่อยังไม่ทันขยับนิ้วด้วยซ้ำ
แม้อีกฝ่ายจะหยุดมือแล้ว แต่ร่างกายโจวชิงหวากลับรับรู้ได้ถึงการเคลื่อนไหวจากด้านหลัง จึงะโหลบไปข้างหน้าเองโดยไม่ทันรู้ตัว ดังนั้น เพื่อมิให้เป็ที่เคลือบแคลงใจ ชายหนุ่มจึงแสร้งทำทีเป็สะดุดสองสามก้าว ไปชนเข้ากับสาวกที่อยู่ฝั่งตรงกันข้าม กำลังตั้งท่าจะลุกขึ้น ก็โดนหมัดกระแทกเข้าที่หน้าอก จนกระเด็นไปกองกับพื้น
หนีเจียเอ๋อร์รู้ดี ว่าโจวชิงหวาจงใจจะดึงดูดความสนใจของผู้คนมาไว้ที่ตัวเอง
นางจึงรีบก้าวเข้าไปช่วยพยุงเขา “อาหวา เ้าเป็อะไรหรือไม่?”
โจวชิงหวาส่ายหน้า พลางพูด “อาหนี ข้าสบายดี!”
หลังจบบททดสอบ ทุกคนก็เห็นพ้องต้องกันว่า พวกเขาไม่มีวรยุทธ์จริงๆ กว่านซื่อจึงหัวเราะลั่นด้วยความชอบใจ
“นับจากนี้เป็ต้นไป พวกเ้าคือสาวกระดับต่ำสุดของสำนักฝูเซิง”
จากนั้น ก็หันหลังไปเอ่ยกับชายผิวคล้ำที่อยู่ไม่ไกลจากโจวชิงหวา “สองคนนี้ ข้ามอบให้เ้าเป็ผู้ดูแลก็แล้วกัน!”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้