ด้านหน้ากู้เจิงเห็นเงาร่างของนางกำนัลกำลัง นางจึงหยุดฝีเท้าลงและลูบผมตัวเอง นางรีบจัดมวยผมใหม่ จัดเก็บชายเสื้อและหยิบใบไม้แห้งที่ติดเสื้อผ้าออก นางสูดลมหายใจเข้าปอดก่อนเดินเข้าไปสู่สายตาของนางกำนัล
นางกำนัลทั้งคู่กำลังล้างหน้าอยู่ พอเห็นคนเดินเข้ามาก็เหลือบมองอย่างแปลกใจ ทั้งคู่เห็นหญิงสาวแต่งกายด้วยเสื้อผ้ามอมแมม ทั้งยังเดินมาจากส่วนที่รกร้างของวังหลวง
“ข้าหลงทาง และข้ามาร่วมงานวันเกิดของพระชายารัชทายาท ขอถามหน่อยว่าเส้นทางไหนถึงจะกลับตำหนักบูรพาได้?” กู้เจิงแสร้งปั้นหน้าเหมือนไม่มีอะไร
เมื่อนางกำนัลได้ยินว่าเป็แขกของพระชายารัชทายาท ในใจก็คิดว่าหญิงสาวน่าจะเป็ญาติหรือบุตรีของขุนนางคนใดสักคน แต่ตอนนี้ก็ดึกดื่นแล้ว แขกทั้งหลายล้วนกลับไปหมดแล้ว แม้ในใจจะเกิดความสงสัย แต่พวกนางก็ไม่ควรไปยุ่ง พวกนางรีบย่อกายคารวะแล้วเอ่ยขึ้นว่า“คุณหนู ที่นี่คือ ‘ห้องสะอาด’ จากที่นี่เดินกลับไปตำหนักบูรพา ใช้เวลาเพียงหนึ่งก้านธูปก็ถึงแล้วเ้าค่ะ” พร้อมกันนั้น พวกนางก็ชี้นิ้วไปทางประตูกลมที่อยู่ไม่ไกลนัก
ห้องสะอาด? ถ้าเช่นนั้นก็คือสถานที่วางโถปลดทุกข์ และถังอุจจาระ สถานที่แบบนี้มักจะอยู่ในมุมหนึ่งของวัง กู้เจิงคิดไม่ถึงว่าห้องสะอาดของตำหนักบูรพาจะถูกเชื่อมกับพื้นที่รกร้างของวังหลวง
หลังจากถามทางจากนางกำนัลชัดเจนแล้ว กู้เจิงก็เดินไปอย่างมั่นคง นาทีนี้ นางสงบสติอารมณ์ลงและได้ทบทวนเื่ราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดอย่างถี่ถ้วน ในเมื่อคิดต้นสายปลายเหตุของเื่ไม่ออกนางก็จะไม่คิด และยังเื่ของชายสองคนนั้นอีก นางสัญญากับพวกเขาว่าจะไม่แพร่งพรายเื่ที่เจอพวกเขาออกไป ดังนั้นจึงต้องคิดเตรียมการให้ดี
ตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว คนที่อยู่ในงานเลี้ยงน่าจะแยกย้ายกันไปหมดแล้ว เสิ่นเยี่ยนต้องกำลังตามหานางอยู่แน่ ขณะที่กู้เจิงกำลังคิดว่าจะว่าอธิบายอย่างไรหลังจากพบหน้ากัน เสียงใของนางกำนัลคนหนึ่งก็ดังขึ้น “ท่านคือฮูหยินน้อยเสิ่นหรือเปล่าเ้าคะ?”
นางกำนัลหลายคนวิ่งเข้ามายืนล้อมกู้เจิง แต่ละคนมองนางด้วยความตื่นเต้น “เป็ข้าเอง”
“ดีเหลือเกิน รีบไปแจ้งองค์รัชทายาทเร็วเข้า พบฮูหยินน้อยเสิ่นแล้ว”
คนของตำหนักบูรพาพลิกทั้งตำหนักก็หาฮูหยินน้อยเสิ่นไม่เจอ ดังนั้นเมื่อมีนางกำนัลมารายงานว่าพบกู้เจิงแล้ว องค์รัชทายาท พระชายา ตวนอ๋อง และกู้อิ๋งต่างไม่สนใจอะไรอีกต่อไป พวกเขาทั้งหมดรีบออกจากตำหนักไปหานาง
พอเสิ่นเยี่ยนได้ยินนางกำนัลบอกว่าพบกู้เจิงอยู่ในสวนแห่งหนึ่ง เขาก็รีบวิ่งไปหา วินาทีที่เห็นภรรยา จิตใจที่ว้าวุ่นมาตลอดก็ผ่อนคลายลง เมื่อเห็นนางอยู่ในสภาพมอมแมม ใบหน้ายังคงมีคราบน้ำตา ดวงตาดำสนิทที่เดิมทีเ็าอยู่แล้วก็พลันเยียบเย็นขึ้นไปอีก
“ท่านพี่” กู้เจิงคิดจะโผเข้าไปในอ้อมแขนของเสิ่นเยี่ยน แต่เมื่อเห็นคนที่ตามหลังมาก็อดกลั้นเอาไว้ นางจัดท่วงท่าให้สง่างามก่อนจะทำความเคารพ
“เกิดอะไรขึ้น?” เสิ่นเยี่ยนพยายามควบคุมอารมณ์เหมือนกัน เขาถามเสียงเบา
ตวนอ๋องอ้าปากค้าง เขาเอาคำพูดเดียวกันกลืนกลับลงไป
“พี่ใหญ่ ท่านหายไปไหนมากันแน่?” ตอนกู้อิ๋งรู้ว่าพี่สาวหายตัวไป คิดว่านางคงหลงทาง จึงให้คนของตำหนักบูรพาช่วยกันออกตามหา แต่ได้เห็นพี่สาวกลับมาในสภาพเช่นนี้ นางก็รู้สึกว่าไม่ใช่เื่ธรรมดา
“ข้าถูกคนจับไป พวกนางลากข้าไปที่ซากปรักหักพังรกร้างของวัง” กู้เจิงแจ้งแก่ทุกคน
“เหตุใดพวกนางต้องจับท่านไปด้วย?” กู้อิ๋งใ “ที่นี่เป็ตำหนักบูรพา ใครกินดีเสือดาว* ถึงกล้ามาจับตัวฮูหยินของขุนนางไป?”
(*หมายถึง บังอาจกล้าทำการใหญ่ เหมือนกับการกินถุงน้ำดีของเสือดาว เนื่องจากเสือดาวเป็สัตว์ดุร้าย ใครที่สามารถจับได้และได้กินมัน จะถือว่าเป็คนที่กล้าหาญมาก)
ตวนอ๋องและองค์รัชทายาทมองหน้ากัน
“ข้าไม่รู้” กู้เจิงส่ายหน้า “พวกนางจับข้าเดินไปเกือบสองชั่วยามและ จู่ๆ ก็ปล่อยข้าไป”
“ถึงกับมีคนกล้าลงมือในตำหนักบูรพาเชียวหรือ” ดวงตาเมล็ดซิ่งของพระชายารัชทายาทเต็มไปด้วยความกริ้วโกรธ นางรู้สึกว่าองค์รัชทายาทและตนเองนั้นถูกหยามศักดิ์ศรีเข้า “หลังจากสืบหาตัวคนทำได้แล้ว ข้าจะไม่ปล่อยให้รอดเด็ดขาด”
นี่เป็ครั้งแรกที่กู้เจิงได้พบกับพระชายารัชทายาท สิ่งที่เรียกว่า ‘พันสารทไร้ยอดประไพ สะคราญตาคือหญิงงาม*’ ก็คือสาวงามเช่นนี้กระมัง แต่ตอนนี้นางไม่มีอารมณ์จะชื่นชมความงามจริงๆ นางเข้ายืนแนบชิดกับเสิ่นเยี่ยน ก่อนเอ่ยเสียงเบาว่า “ท่านพี่ ข้าเหนื่อยมากเลยเ้าค่ะ”
(*หมายถึง นับแต่สมัยโบราณกาล ไม่มีใครงดงามที่สุดในโลกหล้า มีแต่ใครงามยิ่งกว่า)
องค์รัชทายาทจึงเอ่ยขึ้นว่า “ฮูหยินน้อยเสิ่นต้องเหนื่อยมากแน่ คืนนี้พวกเ้าทุกคนก็พักที่ตำหนักบูรพาแล้วกัน ข้าได้ให้นางกำนัลจัดเตรียมที่พักไว้พร้อมแล้ว ใครก็ได้ รีบมาพาฮูหยินน้อยเสิ่นไปพักผ่อนก่อน”
“ขอบพระทัยองค์รัชทายาทเพคะ” จู่ๆ เสิ่นเยี่ยนก็อุ้มกู้เจิงขึ้นมา แล้วเดินตามนางกำนัลออกไป
การกระทำของเสิ่นเยี่ยน ทำให้ทุกคนตกตะลึง โดยเฉพาะองค์รัชทายาท แม้ว่าเขาจะไม่ได้พบปะกับเสิ่นเยี่ยนมากนัก แต่เขาก็คิดมาตลอดว่าชายคนนี้ดูสุขุมเ็า เขาคิดไม่ออกเลยว่าใต้เท้าเสิ่นจะกล้าทำเื่แบบนี้ต่อหน้าพวกเขา
ตวนอ๋องสีหน้าซับซ้อนยากจะคาดเดา สองมือที่ไพล่อยู่ด้านหลังกำหมัดแน่น
พระชายารัชทายาทกับกู้อิ๋งต้องคอยสงวนท่าทีไว้ บุรุษอุ้มสตรีท่ามกลางฝูงชน ไม่ผิดจารีตประเพณีหรือ? แม้จะเป็สามีภรรยา แต่ก็ไม่ควรทำเช่นนี้
กู้เจิงเองก็ใกับการกระทำของเสิ่นเยี่ยน เขาเปิดเผยความรู้สึกที่มีต่อนางออกมาขนาดนี้ั้แ่เมื่อไหร่กัน? การกระททำของเขาเมื่อครู่ทำให้นางรู้สึกไม่คุ้นชินอยู่บ้าง แต่อย่างไรเสียยามนี้นางช่างเหนื่อยเหลือเกิน นางไม่อยากคิดอะไรอีกแล้ว
หลังจากนางกำนัลพาทั้งสองคนมาที่ห้องพักรับรองแล้ว พวกนางก็ออกไปอย่างเงียบเชียบ
เสิ่นเยี่ยนมองหญิงสาวที่อ่อนเพลียจนหลับใหลอยู่ในอ้อมอก เขาวางนางลงบนเตียงอย่างทะนุถนอมและบรรจงถอดเสื้อตัวนอกและรองเท้าออกให้นาง ตอนที่ถอดถุงเท้าเขาก็พบว่าใต้ฝ่าเท้าอันขาวนุ่มของภรรยาเกิดตุ่มน้ำขึ้น
ั์ตาราบเรียบของเสิ่นเยี่ยนพลันฉายแววดำมืดออกมา เป็เขาที่ประมาทเกินไป คิดว่าในตำหนักบูรพาน่าจะปลอดภัย คิดไม่ถึงว่าจะกล้ามีคนมาลงมือกับภรรยาของตน
หลังห่มผ้าให้กู้เจิงแล้ว เสิ่นเยี่ยนก็เดินออกจากห้อง ตอนนี้องค์รัชทายาทกับตวนอ๋องจะต้องรอเขาอยู่ที่ตำหนักเจี่ยงตู๋แน่
กู้เจิงนอนหลับไม่สนิท ในความฝันนางกำลังวิ่งหนีอยู่ นางเหนื่อยจนแทบขาดใจ จนกระทั่งเห็นเสิ่นเยี่ยนปรากฎตัวขึ้นต่อหน้า นางจึงร้องะโขอความช่วยเหลือจากเขา และเสิ่นเยี่ยนก็ไม่ทำให้นางผิดหวัง เขาพานางหนีออกมา หัวใจของนางจึงสงบลงได้ หลังจากนั้นนางก็รู้สึกตัว
ด้วยเหตุนี้ ยามตื่นขึ้นมา พอกู้เจิงเห็นตัวเองนอนอยู่ในอ้อมแขนของเสิ่นเยี่ยนก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก นางเขยิบชิดเขามากขึ้น
เสิ่นเยี่ยนนอนหลับได้ไม่ถึงครึ่งชั่วยาม ก่อนจะตื่นขึ้นมาเพราะคนในอ้อมแขน “ตื่นแล้วหรือ?”
“ตื่นแล้วเ้าค่ะ ท่านพี่ เมื่อวานมันช่างน่ากลัวเหลือเกิน” นางนึกถึงกลุ่มนางกำนัลที่ตายไปแล้ว และนึกถึงชายสองคนนั้นที่สามารถฆ่าคนอย่างง่ายดาย
“ต่อไปจะไม่เกิดเื่แบบนี้ขึ้นอีกเด็ดขาด” เสิ่นเยี่ยนใช้ชีวิตมาจนถึงทุกวันนี้ยังไม่เคยใจหายขนาดนี้มาก่อน วินาทีที่ภรรยาหายตัวไป เขาก็เกิดอาการกระวนกระวายถึงขีดสุด
“ต่อไปพวกเราออกมาอยู่กันสองคน เราจ้างคนที่มีวรยุทธ์มาไว้บ้างเถอะเ้าค่ะ” กู้เจิงพูดอย่างจริงจัง
เดิมทีเขาคิดว่าภรรยาผ่านเหตุการณ์แบบนี้มา คงหวาดกลัวไปอีกหลายวัน แต่ดูจากลักษณะการพูดตอนนี้แล้วก็คงไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรมาก เขารู้สึกโล่งใจ “ได้สิ”
กู้เจิงยิ้ม “พวกเราควรจะไปหาองค์รัชทายาทไหมเ้าคะ?” นางเกิดเื่เช่นนี้ขึ้น องค์รัชทายาทจะต้องอยากไต่ถามนางแน่
เสิ่นเยี่ยนส่งเสียงอืมเบาๆ อันที่จริงเมื่อคืนพวกเขาตรวจสอบมาแล้ว น่าแปลกที่นางกำนัลถึงสี่คนจับภรรยาเขาไป แต่กลับไม่มีใครสังเกตเห็นสักคน ทุกหนแห่งในวังล้วนมีสายตาจับจ้องอยู่ตลอดเวลา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตำหนักบูรพา ทว่ากลับไม่พบสิ่งที่น่าสงสัยแม้แต่จุดเดียว องค์รัชทายาทได้ให้คนแอบสืบหาว่านางกำนัลที่อยู่ภายใต้อาณัติมีใครหายไปหรือไม่อยู่บ้างหรือไม่ แต่ก็ไม่มี ราวกับว่ามีใครได้ลบร่องรอยผิดปกติทั้งหมดออกไปแล้ว
กู้เจิงร้องโอดครวญด้วยความเ็ปตอนที่ก้าวลงจากเตียง นางยกเท้าขึ้นเห็นตุ่มพองหัวใจก็สั่นไหว นี่เป็ครั้งที่สองแล้วที่ฝ่าเท้านางเจ็บแบบนี้ ครั้งนั้นก็ตอนงานล่าสัตว์ วันนั้นนางก็เดินหลงทางอยู่ทั้งคืนเช่นกัน
“ท่านช่วยทายาให้ข้าหน่อยได้ไหมเ้าคะ?” กู้เจิงเห็นฝ่าเท้าของตนมีเงาลื่นๆ อยู่นิดหน่อย
เสิ่นเยี่ยนสวมเสื้อผ้าเสร็จก็ส่งเสียงอืมเบาๆ “เมื่อคืนข้าทายาให้เ้าไปบ้างแล้ว” เขาหยิบขี้ผึ้งจากโต๊ะมาหมายจะทาให้นาง
“ข้าทำเองดีกว่าเ้าค่ะ” แม้จะนอนร่วมเรียงเคียงหมอนกันมานานแล้ว แต่นี่กลับเป็ครั้งแรกที่ถูกเสิ่นเยี่ยนเห็นเท้าเปลือยเปล่า นางรู้สึกกระดากอายขึ้นมาบ้าง
เสิ่นเยี่ยนไม่ได้พูดอะไร เขาแค่ควักยาขี้ผึ้งออกมาจากขวดกระเบื้องเคลือบแล้วค่อยๆ นวดคลึงบนฝ่าเท้าของนางเบาๆ “พักผ่อนให้สบายสักสองสามวัน ห้ามลงไปเดินกับพื้นเด็ดขาด”
ในเวลานี้เอง มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น นางกำนัลเปิดประตูเข้ามาพร้อมกับเก้าอี้เข็นที่ทำจากไม้
เก้าอี้เข็นในยุคสมัยนี้เรียกกันว่ารถสี่ล้อ กู้เจิงรู้สึกว่าถึงแม้เท้าของนางจะมีตุ่มพอง แต่ก็ไม่ถึงขั้นต้องนั่งเก้าอี้เข็นหรอกกระมัง “ไม่ต้องหรอก ข้าค่อยๆ เดินไปเองได้”
“จะให้ข้าอุ้มไป หรือจะนั่งรถสี่ล้อนี่ไป เ้าเลือกอย่างไหน?”
กู้เจิง “...”
กู้เจิงประหลาดใจมาก ตอนที่เสิ่นเยี่ยนพานางมายังตำหนักปีกข้างของตำหนักเป่าเหอ องค์หญิงสิบเอ็ดก็อยู่ด้วย ยามที่องค์หญิงเห็นนาง สีหน้าขององค์หญิงก็ฝืดเฝื่อนขึ้น
“ข้าเป็ถึงองค์หญิงผู้สูงศักดิ์ จะทำเื่เช่นนี้กับใครได้อย่างไร?” ที่นางสนิทสนมกับฟู่ผิงเซียง ก็เพียงเพราะฟู่ผิงเซียงเป็สหายร่วมเรียนของนางมาั้แ่เด็ก จึงมีมิตรภาพอันดีต่อกัน ทว่าบุตรีอนุผู้นี้ไม่มีความขัดแย้งทางผลประโยชน์กับนาง และอีกฝ่ายก็ไม่ได้เป็ภัยหรือเป็ประโยชน์ต่อนาง อีกทั้งยังเป็ถึงคนของพี่ชายรัชทายาท ฟู่ผิงเซียงนั้นโง่เขลา คิดไม่ได้ ทว่านางไม่ใช่