ที่หลัวเลี่ยพูดไปเช่นนั้นไม่ใช่เพราะเขาอวดดี แต่เพราะเขามั่นใจในตัวเอง!
พลังของเขาเพิ่งก้าวเข้าสู่ระดับเก้าของผู้ฝึกตนได้ไม่นาน แม้ว่าเขาจะแข็งแกร่งกว่าผู้เริ่มต้นในระดับนี้โดยทั่วไป แต่พลังของเขาก็นับว่ายังห่างไกลจากจุดสูงสุดของระดับเก้ามาก นอกจากนี้การก้าวหน้าในเคล็ดวิชาั์ยังเริ่มยากขึ้นจากระดับก่อนๆ อีกด้วย
เมื่อผีเสื้อแห่งรักได้ยินว่าหลัวเลี่ย้าจะไปถึงยอดเขาด้วยพลังในระดับที่เก้าของผู้ฝึกตน นางก็รู้สึกยินดีเป็อย่างยิ่ง
“ไปกันเถิด อย่าให้ใครรู้ว่าตอนนี้พลังของเ้าอยู่เพียงระดับที่เก้าของผู้ฝึกตนเท่านั้น ไม่อย่างนั้นทุกคนคงจะใจนเป็บ้าตาย” ผีเสื้อแห่งรักพูดอย่างมีความสุข
“ขนาดนั้นเลยหรือ” หลัวเลี่ยเดินไปข้างหน้าพร้อมกันกับนาง
“ผู้ที่ฝึกฝนแบบธรรมดาจนมีพลังอยู่ในระดับที่สิบ อย่างมากก็สามารถขึ้นไปถึงขั้นที่ห้าสิบกว่าเท่านั้น แต่หากสามารถขึ้นไปถึงขั้นหกสิบขึ้นไปได้ ก็จะถือว่าเป็อัจฉริยะลำดับต้นๆ ของแคว้นเล็กๆ หากสามารถขึ้นไปถึงขั้นที่เจ็ดสิบได้ ก็จะถือว่าเป็อัจฉริยะในลำดับต้นๆ ของแคว้นขนาดกลาง หากขึ้นไปถึงขั้นที่แปดสิบได้ก็จะถือว่าเป็อัจฉริยะในลำดับต้นๆ ของสองอาณาจักรใหญ่ และหากขึ้นไปถึงระดับแปดสิบสามขึ้นไปได้ ก็จะถือว่าเป็อัจฉริยะในลำดับต้นๆ ของดินแดนเหยียนหวง เหมือนกับเจียงจื่อหยาและเหวินจง ที่ได้ชื่อว่าเป็อัจฉริยะในรอบหลายพันปีของดินแดนเหยียนหวง ตอนที่พวกเขามีพลังอยู่ในระดับสิบของผู้ฝึกตน พวกเขาก็สามารถไปถึงขั้นที่แปดสิบแปดได้ นี่เป็สิ่งที่พิสูจน์ได้ว่าพวกเขาเป็อัจฉริยะอย่างแท้จริง แต่ตอนนี้เ้าที่มีพลังอยู่ในระดับที่เก้าของผู้ฝึกตนกลับไปถึงขั้นที่แปดสิบหกได้แล้ว หากมีคนรู้เข้าพวกเขาคงเป็ลมด้วยความใแน่” เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ ผีเสื้อแห่งรักก็อดไม่ได้ที่จะจับแขนของหลัวเลี่ย “ที่จริงแล้วข้าก็ตื่นเต้นจนจะเป็ลมเช่นเดียวกัน”
เมื่อหลัวเลี่ยได้ยินเช่นนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มกว้างออกมา
จากนั้นคนอารมณ์ดีทั้งสองก็เดินออกจากพื้นทีู่เาแห่งคุกอนธการ
ไม่มีใครรู้ว่าในใจของหลัวเลี่ยได้มุ่งมั่นเอาไว้แล้วว่า เขาจะพิชิตูเาลูกนี้ในเร็วๆ นี้อย่างแน่นอน
พวกเขาออกจากเขตพื้นที่ของูเาแห่งคุกอนธการแล้ว
และในที่สุดพวกเขาก็เริ่มเห็นศพของนักรบปีศาจที่ถูกสังหาร
ความแตกต่างระหว่างนักรบปีศาจและมนุษย์ คือผิวของนักรบปีศาจจะมีสีเขียวอมเทา และไอพลังที่พวกมันส่งออกมาจะมีฤทธิ์กัดกร่อนสิ่งของได้ สิ่งนี้เรียกว่า ไอพิษ
หลังจากเดินมาได้เป็ระยะทางหกสิบลี้ หลัวเลี่ยก็ได้เจอกับนักรบปีศาจตนหนึ่ง
เมื่อนักรบปีศาจเห็นหลัวเลี่ยและผีเสื้อแห่งรัก มันก็ส่งเสียงร้องแหลมเสียดหูออกมา จากนั้นก็สะบัดหอกยาวที่ถืออยู่ในมือ และพุ่งตัวเข้าหาพวกเขา
“ข้ายกนักรบปีศาจพวกนี้ให้เ้า เพราะข้ามีพลังมากพอแล้ว ข้าไม่จำเป็ต้องพึ่งไอพลังที่ได้หลังจากการสังหารพวกมันอีก” ผีเสื้อแห่งรักกล่าว
หลัวเลี่ยไม่ปฏิเสธความหวังดีนี้ เพราะพลังของเขาที่สามารถใช้ได้ตอนเป็ ‘“ผู้มีัอยู่ในเป้า”‘ นั้นถือว่ายังน้อยมากเกินไป
ตอนที่อยู่ในฐานะ ‘“ผู้มีัอยู่ในเป้า”‘ เขาจะใช้ได้เพียงพลังจากเคล็ดวิชามหาสรรพฟ้าดินด้านูเา หมัดัทมิฬ และหมัดพญาัประจัญบานเท่านั้น ดังนั้นเขาจึงต้องเพิ่มพลังวรยุทธ์ของตัวเองให้มากขึ้น
และไอพลังปีศาจนี้ก็เป็ตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมอย่างไม่ต้องสงสัย
นี่เป็เหตุผลสำคัญที่ทำให้เขาตั้งใจเข้ามาที่นี่
หลัวเลี่ยเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้านักรบปีศาจอย่างไม่ทุกข์ร้อน และในตอนที่นักรบปีศาจยกหอกในมือขึ้น ตอนนั้นเองหลัวเลี่ยก็ปล่อยหมัดออกไปจากมือของตัวเองเช่นกัน
ตูม!
พลังจากหมัดของหลัวเลี่ยทำให้หอกนั้นแหลกละเอียด
จากนั้นร่างกายของนักรบปีศาจก็สั่นอย่างรุนแรง เืสีเขียวไหลออกจากมุมปากของมัน มันล้มลงกับพื้นอย่างอ่อนแรง และเห็นได้ชัดว่าอวัยวะภายในของมันแตกเป็เสี่ยงๆ ไปแล้ว
เมื่อนักรบปีศาจเสียชีวิตลงอย่างสมบูรณ์แล้ว ลำแสงไร้สีจางๆ ลำหนึ่งก็พุ่งออกมาจากระหว่างคิ้วของมัน และถักทออยู่รอบๆ ศพโดยไม่จากไปไหน ลำแสงนี้ก็คือ ไอพลังของนักรบปีศาจ
หลัวเลี่ยยื่นมือออกไปเพื่อคว้าลำแสงนั้นมา
ไอพลังของนักรบปีศาจอาจกล่าวได้ว่าเป็สิ่งมหัศจรรย์ที่สุดอย่างหนึ่ง
มันไม่มีความรู้สึกนึกคิด หากไม่มีผู้ใดเก็บมันไป มันก็จะยังคงวนเวียนอยู่รอบๆ ร่างของศพนั้น ไม่มีวันสลายหายไปเอง
นอกจากนี้ความสวยงามของมันยังสามารถใช้เป็วัสดุสำหรับผลิตของวิเศษได้มากมายอีกด้วย
เช่นหาก้าปกป้องตนเอง ก็สามารถใส่ลำแสงนี้ลงไปในสิ่งของวิเศษเพื่อเพิ่มคุณสมบัติได้
แต่ตอนนี้หลัวเลี่ยยังไม่ได้คิดว่าจะใช้ลำแสงนี้ทำอะไร เขาจะรอเก็บให้ได้มากกว่านี้ก่อนแล้วค่อยคิดอีกที
“ข้าให้เ้า สิ่งนี้คือน้ำเต้าพิทักษ์ัที่ทำมาจากหยกั มันไม่เพียงสามารถใช้รวบรวมไอพลังนักรบปีศาจได้เท่านั้น แต่ยังสามารถเก็บรักษาไอพลังนี้ได้อย่างดีที่สุด” ผีเสื้อแห่งรักนำน้ำเต้าพิทักษ์ัออกมาและส่งมอบให้หลัวเลี่ย
หลัวเลี่ยรับมันมาจากผีเสื้อแห่งรัก จากนั้นเขาก็นำไอพลังของนักรบปีศาจใส่เข้าไปในน้ำเต้าพิทักษ์ั
ทั้งสองยังคงเดินต่อไปเพื่อหานักรบปีศาจตัวอื่นๆ
ห้าวันถัดจากนั้น หลัวเลี่ยก็สามารถรวบรวมลำแสงของไอพลังนักรบปีศาจได้ทั้งหมดยี่สิบสามลำ ใน่เวลาดังกล่าวมีบางคนเข้ามาจะต่อสู้กับพวกเขา แต่เมื่อคนพวกนั้นเห็นชื่อที่อยู่เหนือหัวของหลัวเลี่ย พวกเขาก็ถอยกลับไปทันที
และใน่เวลาห้าวันนี้ พวกเขาก็ได้พบศพนักรบปีศาจที่ถูกสังหารไปแล้วประมาณหนึ่งร้อยห้าสิบถึงหนึ่งร้อยหกสิบตน
หลัวเลี่ยไม่รีบร้อน เขารู้ดีว่าจำนวนของนักรบปีศาจยังมีอีกค่อนข้างมาก เพียงแต่พวกเขายังไม่เจอรังของพวกมันเท่านั้น
“หู่!”
ขณะที่พวกเขากำลังเดินอยู่ ทันใดนั้นก็มีเสียงคำรามของสัตว์ร้ายดังขึ้นตรงหน้าจากทางด้านซ้าย เสียงคำรามนั้นทำให้พื้นสั่นะเืเล็กน้อย และเกือบทำให้ต้นไม้โบราณพังลงมา
เสียงนี้ฟังดูคล้ายเสียงคำรามของั
“ช่วยด้วย!”
“มีใครอยู่ไหม รีบมาช่วยข้าที ข้าชื่อจั่วซุน จากตระกูลจั่วแห่งแคว้นเหยียนหลง หากช่วยข้า ข้าจะตอบแทนท่านอย่างดีเป็แน่”
เสียงะโที่วุ่นวายของคนหลายๆ คนดังขึ้น
เท่าที่ฟังดูแล้วมีเสียงะโปะปนกันประมาณเจ็ดถึงแปดคน
หลังจากได้ยินเสียงนี้ หลัวเลี่ยและผีเสื้อแห่งรักก็รีบวิ่งตรงไปยังที่มาของเสียง
ทั้งสองคนวิ่งข้ามเนินเขาสองลูก และะโขึ้นไปบนต้นไม้ต้นหนึ่ง จากนั้นพวกเขาก็ะโขึ้นไปบนกิ่งไม้ที่มีขนาดเท่าแขนและสูงจากพื้นมากกว่ายี่สิบจั้ง และมองไปข้างหน้า
สิ่งที่พวกเขาเห็นคือกลุ่มคนจำนวนเจ็ดถึงแปดคนกำลังวิ่งหนีเอาชีวิตรอด แต่ละคนพุ่งไปข้างหน้าอย่างสิ้นหวัง และหลบหลีกคลื่นลมที่โหมกระหน่ำ
ข้างหลังของคนกลุ่มนั้นปรากฏสัตว์ประหลาดที่มีปีกกว้างประมาณสามจั้ง มีหัวเป็ั เขาั กรงเล็บั มีลำตัวคล้ายนกอินทรี และทั้งตัวมีสีเขียวอมเทา มันคอยกระพือปีกขนาดใหญ่เพื่อสร้างคลื่นลมในอากาศ
“อสูรัราตรี!”
เมื่อผีเสื้อแห่งรักเห็นสัตว์อสูรตัวนี้ นางก็อดไม่ได้ที่จะแสดงความประหลาดใจออกมา
ในตอนนั้นเอง อสูรัราตรีตัวใหญ่ก็โฉบลงมา มันอ้าปากเผยฟันแหลมคมที่เต็มไปด้วยเืและเนื้อที่ส่งกลิ่นน่าขยะแขยงออกมา มันกำลังพยายามที่จะเข้าไปงับผู้ที่วิ่งช้าที่สุดที่เป็ชายและหญิงสองคน
เดิมทีชายหญิงสองคนนี้ก็มีกำลังด้อยกว่าอยู่แล้ว เมื่อรวมกับแรงกดดันจากพลังของอสูรัราตรี พวกเขาก็กลัวมากจนไม่รู้ว่าจะต้านทานอย่างไร จึงเซล้มลงกับพื้น พวกเขากำลังจะถูกกินแล้ว
ตอนนี้หลัวเลี่ยยังคงอยู่ห่างจากพวกเขามากกว่ายี่สิบจั้ง
ดังนั้นแม้เขาจะเปิดเผยความลับโดยใช้พลังในวิชาก้าวั แต่เขาก็ยังไม่สามารถตามทันได้อยู่ดี
และเขาก็ไม่ได้คิดจะเปิดเผยมันอยู่แล้ว
ใน่เวลานี้หลัวเลี่ยจึงหยิบคันธนูซวนิออกมาโดยสัญชาตญาณ
ธนูซวนิเป็อาวุธล้ำค่าที่มีพลังอันน่าอัศจรรย์
แต่หลัวเลี่ยไม่รู้วิธียิงธนู และเขาก็ไม่มีลูกธนูอยู่ในมือ ดังนั้นเขาจึงทำการเคลื่อนไหวที่ทำให้ผีเสื้อแห่งรักตกตะลึง นั่นคือเขาเหยียบสายธนูด้วยเท้าทั้งสองข้าง และง้างคันธนูด้วยมือทั้งสองข้าง
พรึ่บ!
หลังจากนั้นหลัวเลี่ยก็ยิงออกไป
เขาใช้ตัวเองเป็ลูกธนู!
ความจริงแล้วเมื่อเทียบความแข็งแกร่งของหลัวเลี่ยที่มีกระดูกวิถียุทธ์กับลูกธนูทั่วๆ ไป ร่างกายของหลัวเลี่ยถือว่าแข็งแกร่งกว่าลูกธนูพวกนั้นมาก
และเมื่อรวมเข้ากับแรงดีดตัวของสมบัติวิเศษอย่างธนูซวนิ เพียงพริบตาเดียวหลัวเลี่ยก็มาใกล้ถึงด้านหน้าอสูรัราตรีแล้ว
เมื่อเห็นเช่นนั้นอสูรัราตรีก็ตอบสนองอย่างรวดเร็วเช่นกัน มันเงยหน้าขึ้นและกระพือปีกเพื่อสร้างลมกระโชกแรงทันที มัน้าจะทำให้หลัวเลี่ยตาย
ในขณะที่อสูรัราตรียังคงกระพือปีกและเงยหน้าขึ้น หลัวเลี่ยก็เข้าถึงตัวมันได้แล้ว
ฉัวะ!
ร่างของหลัวเลี่ยพุ่งทะลุปีกด้านซ้ายของอสูรัราตรีดั่งลูกธนูที่แข็งแกร่งกว่าลูกธนูใดๆ ในดินแดนนี้
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้