กู่อวี้เสวียนโผเข้าไปในอ้อมกอดของกู่หังจิ่น แล้วร้องไห้โฮ
กู่หังจิ่นสั่งการให้กองกำลังองครักษ์ออกค้นหา เพื่อให้แน่ใจว่าจะจับกุมมือสังหารได้อย่างรวดเร็ว ก่อนหันไปปลอบใจพระขนิษฐาเบาๆ “เสี่ยวเสวียน อย่ากลัวไปเลย พี่อยู่นี่แล้ว ไม่เป็ไรแล้วนะ!”
กู่อวี้เสวียนเงยหน้าเปื้อนน้ำตาขึ้นมา “เสด็จพี่ ปลายกระบี่ของมือสังหารผู้นั้น เกือบจะแทงเข้าที่หัวใจหม่อมฉันแล้ว ท่านไม่เห็น คงไม่ทราบหรอกว่าหม่อมฉันรู้สึก... ฮือ...!”
กู่หังจิ่นยกมือขึ้นลูบศีรษะอีกฝ่าย พลางปลอบโยนอย่างอดทน “ตอนนี้เ้าน่าจะกลัวอยู่ ไม่ต้องร้องไห้แล้ว นับจากนี้ พี่จะสั่งเพิ่มกำลังองครักษ์มาคุ้มกันเ้า”
กู่อวี้เสวียนเอ่ยเสียงสะอื้น “ข้าไม่เชื่อใจพวกเขา ข้าอยากให้เว่ยฉีหรานมาปกป้องข้า”
กู่หังจิ่นขมวดคิ้ว “เว่ยฉีหรานเป็ถึงแม่ทัพ มีเื่สำคัญต้องจัดการมากมาย จะมาคุ้มกันเ้าได้อย่างไร การโยกย้ายแม่ทัพให้มาเป็องครักษ์ปกป้องเ้า คงยากที่จะเป็ไปได้!”
กู่อวี้เสวียนผลักมือของเขาออก และทิ้งตัวลงกับพื้นต่อหน้าพระเชษฐา “เสด็จพี่ ก่อนที่หมู่เฟย[1]จะจากไป ได้ขอให้ท่านช่วยดูแลข้าเป็อย่างดี แล้วนี่หรือคือสิ่งที่ท่านรับปากเอาไว้ หากท่านไม่ย้ายเว่ยฉีหรานมาคุ้มกันที่นี่ ย่อมไม่ต่างอันใดกับการทอดทิ้งข้า!”
ไม่ว่ากู่อวี้เสวียน้าสิ่งใด ก็มักจะใช้มารดาที่จากไปแล้ว มาเป็ข้ออ้างในการเอาแต่ใจเสมอ
กู่หังจิ่นถอนหายใจ แล้วกล่าวประนีประนอม “เอาละ... แล้วแต่เ้า ข้าจะพยายามขอร้องให้แม่ทัพเว่ยรับปากก็แล้วกัน”
กู่อวี้เสวียนเช็ดน้ำตา ขณะพูด “ท่านต้องรีบนะเพคะ ข้ากลัวว่ามือสังหารจะย้อนกลับมาอีก”
กู่หังจิ่นส่ายศีรษะ เพราะเห็นแก่สีหน้าออดอ้อนของนาง เขาจึงต้องออกราชโองการเรียกเว่ยฉีหรานเข้ามาพำนักในวังชั่วคราว เพื่อช่วยปกป้ององค์หญิงใหญ่
...
เพราะคราวก่อนไม่พบอะไรในห้องลับ หนีเจียเอ๋อร์จึงอยากจะลองเข้าไปสำรวจอีกสักครั้ง ทว่ายังไม่มีโอกาส จำต้องเฝ้ารออย่างอดทน
และแล้ว เช้านี้โอกาสก็มาถึง...
เมื่อได้ยินว่าไป๋หานกำลังจะออกไปทำธุระ ดังนั้นพออีกฝ่ายแวะมาเยี่ยม หนีเจียเอ๋อร์ก็แสร้งทำทีเป็ป่วยหนัก แต่ก็ยังพยายามกัดฟันลุกขึ้นไปเสนอหน้าที่ประตู
โจวชิงหวาก้าวออกไปช่วยประคอง ‘เพื่อนรัก’ และถามอย่างเป็ห่วงเป็ใย “อาหนี เหตุใดหน้าของเ้าถึงซีดเช่นนี้ เป็อะไรมากหรือไม่?”
ไป๋หานจึงกล่าวว่า “ั้แ่เ้าป่วยก็ยังไม่ได้ออกไปไหนเลย ถ้าไม่ไหวก็ไม่ต้องฝืน เดี๋ยวข้าจะสั่งให้หมอมาตรวจอีกรอบ”
หนีเจียเอ๋อร์ส่ายหน้า และโค้งคำนับด้วยความซาบซึ้ง “ขอบคุณสำหรับความเมตตาของรองหัวหน้าเ้าสำนัก อาหนีแค่ได้รับลมเย็นเล็กน้อย จึง...”
ว่าแล้ว ก็ผลักมือของโจวชิงหวาออกไป แต่ครู่ต่อมากลับสะดุดจนเกือบหกล้ม
“ไม่ต้องมากพิธี กลับไปพักเถอะ” พูดจบ ไป๋หานก็เดินออกไปพร้อมโจวชิงหวากับลูกน้องอีกสองคน
จากนั้น หนีเจียเอ๋อร์จึงฉวยโอกาสลอบเข้าไปในห้องหนังสือ แล้วเดินตรงไปยังรูปปั้นทองแดง หมายจะเปิดประตูลับ
“ห้องหนังสือเป็เขตหวงห้าม ผู้ใดฝ่าฝืนมีโทษโบยสามสิบครั้ง และให้ขับออกจากสำนักโดยไม่ผ่อนปรน!”
เสียงของไป๋หานดังขึ้นที่นอกห้องหนังสือ ฟังดูเืเย็นนัก...
หนีเจียเอ๋อร์ตื่นตระหนก ด้วยไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะย้อนกลับมา เสียงฝีเท้าก้าวเข้ามาใกล้ จนหญิงสาวไม่ทันแม้แต่จะตั้งตัว แล้วมีหรือจะหลบหนีไปไหนได้ จำต้องซ่อนตัวอยู่ระหว่างชั้นหนังสือเท่านั้น
ไป๋หานเดินมายังห้องหนังสือ พร้อมผลักประตูออกกว้าง เผยให้เห็นทุกอย่างภายในห้อง ก่อนก้าวไปที่กลางห้อง พลางเอ่ย “ออกมาเถอะ ข้ารู้ว่าเ้าอยู่ที่นี่...”
จากนั้นก็หยุดพูดไปชั่วครู่ ก่อนเน้นชื่อเสียงเ็า “... อาหนี!”
ดวงตาของหนีเจียเอ๋อร์เบิกโพลงด้วยความใ แต่ยังคงพยายามรักษาท่าทีสงบนิ่ง
ด้วยรู้ว่าไป๋หานกับเว่ยฉีหรานกำลังสงสัยตน หญิงสาวจึงปลอบใจตัวเอง ว่าที่ไป๋หานพูดออกมา ก็แค่จะหลอกล่อให้นางติดกับเท่านั้น
ไป๋หานยิ้ม และพูดพึมพำว่า “เ้าคิดจะย้อนกลับมาทำลายหลักฐาน ที่ตัวเองลอบเข้ามาในห้องหนังสือ ตอนที่แสร้งเป็ลมในวังครานั้นสินะ!”
หนีเจียเอ๋อร์เม้มปากแน่น กำหมัดด้วยความประหม่า นี่หมายความว่าอีกฝ่ายเคลือบแคลงในตัวนางมานานแล้ว วันนี้จึงตั้งใจจะมาจับผิด
หญิงสาวไม่ปริปาก แต่ไป๋หานก็มีความอดทนมากพอที่จะรอ ดวงตาอันเฉียบคมกวาดไปรอบๆ ห้อง และหยุดลงตรงชั้นวางหนังสือติดผนัง
หนีเจียเอ๋อร์หัวใจเต้นกระหน่ำ รู้สึกถึงสายตาที่ทิ่มแทงมาจากไป๋หาน จากนั้นก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเบาๆ ที่ค่อยๆ ก้าวเข้ามาอย่างเชื่องช้า
เสียงฝีเท้าค่อยๆ ใกล้เข้ามา หัวใจของหนีเจียเอ๋อร์ตกไปอยู่ตาตุ่ม คิดว่าตนคงไม่รอดแน่...
“ท่านรองเ้าสำนัก แย่แล้ว อาหวากำลังจะตัดอัณฑะอิ้นฮู่เว่ยขอรับ!”
ไป๋หานชะงัก แล้วถามเสียงเรียบ “ทะเลาะอะไรกันอีก?”
ศิษย์ในสังกัดตอบ “ข้าน้อยก็ไม่ทราบเช่นกัน แต่ก่อนหน้านี้ ยังเห็นว่าอาหวากับอิ้นฮู่เว่ยกำลังคุยกันอยู่ดีๆ ต่อมาไม่รู้ว่าอิ้นฮู่เว่ยพูดอันใด อาหวาถึงได้โมโหไล่ทุบตี ทั้งยังบอกว่าจะตอนเขาด้วยขอรับ”
หลังฟังอยู่นาน แต่ก็ยังมิได้สาระ ไป๋หานจึงโบกมือให้เขาออกไป
จากนั้น ก็มองกลับไปที่ชั้นวางหนังสือด้วยสายตาเรียบนิ่ง รู้สึกว่าตนอาจจะเดาผิด หากอาหนีซ่อนตัวอยู่ตรงนั้นจริงๆ คงต้องหวาดกลัวจนเผยตัวออกมาแล้ว
ดังนั้น นางจึงเดินออกจากห้องหนังสือไป
เสียงฝีเท้าของไป๋หานห่างออกไปเรื่อยๆ รอจนเงียบสนิท หนีเจียเอ๋อร์จึงสูดหายใจเฮือกใหญ่ รีบวิ่งไปแนบหูกับบานประตู เพื่อฟังดูว่ายังไม่คนอยู่ด้านนอกหรือไม่ เมื่อตรวจสอบลาดเลาดีแล้ว นางก็เปิดประตูอย่างเบามือ แล้วลอบหลบหนีออกจากห้องหนังสือไป
ทันทีที่กลับมาถึงเรือน หญิงสาวก็กินยานอนหลับที่ตนทำขึ้น ก่อนทิ้งตัวลงนอนเข้าสู่ห้วงนิทรา
...
อีกด้านหนึ่ง
ไป๋หานเดินตามลูกน้องไปยังสนามฝึกซ้อม พบว่าอาหวากับอิ้นฮู่เว่ยกำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด โดยไม่สนภาพลักษณ์ใดๆ จึงทนดูมิได้ จนต้องตวาดเสียงดัง “หยุด!”
โจวชิงหวาชะงักมือ อิ้นฮู่เว่ยจึงใช้จังหวะนี้โต้กลับราวกับหมาบ้า
แต่โจวชิงหวามิไม่ตอบโต้ เพียงปล่อยให้ตัวเองถูกต่อยซ้ำๆ อยู่เช่นนั้น
อิ้นฮู่เว่ยไม่เคยอับอายเท่านี้มาก่อน โทสะจึงคุกรุ่นเหนือสติ พยายามจะกระโจนเข้าหาโจวชิงหวา แต่ก็ถูกรองเ้าสำนักเข้ามาห้ามเสียก่อน
ไป๋หานยืนขวางระหว่างคนทั้งสอง “คนของข้าทะเลาะกันเองอย่างกับเด็กๆ ไม่รู้สึกละอายใจบ้างเลยหรือ!”
โจวชิงหวายืนเงียบกริบ
ส่วนอิ้นฮู่เว่ย ก็มองอีกฝ่ายด้วยสายตาแข็งกร้าว
“ท่านรองเ้าสำนัก มันเข้ามาทำร้ายก่อน ข้าแค่ตอบโต้เพื่อป้องกันตัวเอง!”
เพราะคิดว่าอาหวาไม่อาจโต้แย้งได้ อิ้นฮู่เว่ยจึงะเิอารมณ์ออกมา
คำพูดของเขาทำให้โจวชิงหวาตกเป็ฝ่ายเสียเปรียบ แต่ชายหนุ่มก็มิได้โต้เถียง เพียงกำมือแน่นด้วยความเจ็บใจเท่านั้น
------------------------------------------
[1] หมู่เฟย (母妃) คือคำเรียกมารดาที่เป็พระสนม
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้