ลึกเข้าไปในดงป่าผีคร่ำครวญ หมอกขาวหนาทึบปกคลุมจนมองไม่เห็นทาง
หน้ากองไฟมีบุรุษยืนอยู่สองคน บุรุษผู้หนึ่งนามว่า ซุนเหอ ซึ่งตาบอดข้างซ้าย ศีรษะพันผ้าเปื้อนเื และบุรุษผู้คุมิญญาอีกคนที่ใบหน้ามีรอยแผลเป็กากบาททั้งหน้า มีนามว่า จู้หลง ในมือพวกเขาถือขวดกระเบื้องขาวเล็กที่ผนึกปีศาจระดับหนึ่งดาราเอาไว้ เหมือนทั้งสองกำลังรอสหายผู้หนึ่งอยู่
จู้หลงเดินกระวนกระวายไปมาอยู่ข้างกองไฟ ในที่สุดเขาก็อดทนไม่ไหว หยุดเดินและสบถออกมา “จางเฟิงกับเ้าเว่ยตงหายหัวไปไหนกัน ทั้งที่เป็คนนัดแนะให้มาเจอกันที่นี่แท้ๆ!”
“หรือว่าจะเจอเื่ยุ่งยากอะไรเข้าให้แล้วกระมัง” ซุนเหอพูดด้วยท่าทีไม่ใส่ใจ พลางลูบขวดหยกในมืออย่างทะนุถนอม “เอาอย่างนี้ดีหรือไม่ ไม่ต้องรอพวกมันแล้ว กลับไปรายงานภารกิจกันเถอะ”
แท้ที่จริงแล้ว ครั้งนี้พวกเขาได้รับคำสั่งสังหารจากท่านเ้าสำนักเพื่อฝึกฝนภูตผีปีศาจ ทุกๆ คนจะต้องมีปีศาจอย่างน้อยระดับหนึ่งดาวกลับไปด้วยถึงจะไม่โดนโทษทัณฑ์ ส่วนผู้ที่นำกลับไปได้ก็จะได้รับรางวัลตามระดับของภูตผีปีศาจที่เอากลับไป
“ถึงแม้ในบรรดาปีศาจระดับหนึ่งดาว พลังของอสูรกระดูกจะอยู่เพียงระดับกลางๆ แต่มีศักยภาพในการเลื่อนระดับสูง ขอแค่ฝึกฝนดีๆ สักวันหนึ่งมันจะต้องกลายเป็ขุนพลปีศาจได้แน่นอน!” ซุนเหอ ผู้ควบคุมิญญาตาเดียวหยิบตาปลอมที่ทำจากไม้ออกจากเบ้าตาข้างซ้าย ใช้ดวงตาข้างขวาที่ยังใช้งานได้ดีมองดวงตาปลอมในมืออย่างตื่นเต้น “ในที่สุด ข้าจะได้แลกอาหาริญญาจากท่านเ้าสำนักที่ช่วยทำให้ดวงตาของข้างอกขึ้นมาใหม่อีกครั้งแล้ว!”
จู้หลงที่ยืนหันหลังให้เขาอยู่พลันหยุดฝีเท้า แล้วสบถด่าซุนเหอเบาๆ ด้วยสีหน้ารังเกียจ “ไอ้บ้านี่แค่ทำตามภารกิจถูๆ ไถๆ ก็ทำอวดดีแล้ว...”
ทันใดนั้นก็มีเงาร่างหนึ่งปรากฏขึ้นในหมอกขาว เดินตรงเข้ามาหาผู้ควบคุมิญญาทั้งสอง เมื่อหมอกจางหายไปจากใบหน้าเงาดำนั้น ก็เผยให้เห็นใบหน้าเหน็ดเหนื่อยของจางเฟิง
เมื่อจู้หลงเห็นสภาพอิดโรยของจางเฟิง เขาก็รู้ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายคงไม่ได้อะไรกลับมา จึงเดินเข้าไปตบบ่าเขาพลางกล่าวว่า “ดูท่าทางแล้ว เ้าคงจะไม่ได้อะไรเหมือนกับข้าสินะ”
จู้หลงมองไปด้านหลังจางเฟิงแล้วเอ่ยถามด้วยความสงสัย “เอ๊ะ ทำไมถึงมีแต่เ้าคนเดียวกัน เว่ยตงเล่า”
จางเฟิงเอ่ยอย่างเ็า “เขาตายแล้ว”
“หืม?” เมื่อจู้หลงได้ยินก็ถามกลับด้วยใบหน้าตื่นเต้น “ตายเยี่ยงไร”
จางเฟิงไม่ได้รู้สึกประหลาดใจกับท่าทางเช่นนี้เลยสักนิด ในหมู่ผู้ฝึกตน วิถีมารจะมีความสัมพันธ์ฉันพี่น้องกันได้อย่างไร จะมีก็เพียงการร่วมมือเพื่อผลประโยชน์เท่านั้น
เหตุผลที่เขากลับมาก็เพื่อยืมมือสองคนนี้จัดการกับลู่เต้า แต่บนโลกนี้ไม่มีขนมที่หล่นลงมาจากฟ้า หากเขาบอกเื่ขลุ่ยสะกดมารออกไป สุดท้ายคงไม่อาจกอบโกยผลงานนี้ไว้ได้เพียงคนเดียวแน่
หลังจากปะทะกันสองครั้ง จางเฟิงก็รู้ดีว่าตัวเองไม่ใช่คู่มือของลู่เต้าเลย แทนที่จะปล่อยเขาไปเปล่าๆ สู้ร่วมมือกับสหายจัดการเขาเสียเลยดีกว่า อย่างน้อยก็ไม่ต้องกลับไปมือเปล่า
ในใจเขารู้ดีว่าโทษทัณฑ์ของภารกิจที่ล้มเหลวนั้นหาใช่เื่เล่นๆ เมื่อคิดได้ดังนั้น เขาก็เหลือบมองซุนเหอที่สวมดวงตาปลอม
“นี่! ทำไมไม่พูดเล่า” จู้หลงขมวดคิ้วเอ่ยเร่งเร้า
จางเฟิงพลันได้สติกลับคืนมาจึงตอบว่า “ถูกนักพรตฝึกหัดที่เพิ่งทะลวงจุดชีพจรได้คนหนึ่งฆ่าตาย แถมยังทำลายเงากวนอิมกับอสูรกาลพระโพธิสัตว์ที่พวกเราใช้เวลาสามเดือนกว่าจะสร้างขึ้นมาได้ไปด้วย”
“นักพรตฝึกหัด?” จู้หลงคิดว่าตัวเองหูฝาด “เป็แค่นักพรตฝึกหัดที่เพิ่งทะลวงจุดชีพจรได้อย่างนั้นหรือ”
“ใช่แล้ว” จางเฟิงกัดฟันกรอด “ไอ้บ้านั่นมีศัสตราวุธิญญาหายากที่มีสองทักษะในศัสตราวุธเดียว มันสังหารเงากวนอิมที่พวกเราเลี้ยงไว้แถวเขายักษาตาย จากนั้นเว่ยตงก็ถูกมันบดขยี้จนกลายเป็เนื้อบดภายในกระบวนท่าเดียว สุดท้ายแม้แต่อสุรกายพระโพธิสัตว์ที่ข้าฝึกฝนสร้างขึ้นมาก็ถูกมันจัดการเรียบร้อยในคราเดียว”
“โอ้?” เมื่อจู้หลงรู้ว่าอีกฝ่ายมีศัสตราวุธิญญาหายาก ดวงตาก็เป็ประกายพร้อมกับเอ่ยด้วยรอยยิ้มทันที “เ้าแน่ใจหรือ”
“เว่ยตงก็ตายไปแล้ว จะไม่จริงได้อย่างไร!” จางเฟิงเอ่ยด้วยเสียงไม่พอใจ
จู้หลงหรี่ตามองจางเฟิงด้วยรอยยิ้มเ้าเล่ห์ สายตานั่นราวกับจะสื่อว่า ‘ใครจะไปรู้ว่าเ้าเป็คนสังหารเขาเอง แล้วกุเื่ศัตรูขึ้นมาหรือเปล่า’
จางเฟิงย่อมเข้าใจความหมายจากั์ตาอีกฝ่ายเป็อย่างดี แต่เขาก็ี้เีโต้เถียง จึงเชิดหน้าขึ้นแล้วเอ่ยว่า “พูดตรงๆ เลยดีกว่า ในพวกเ้ามีผู้ใดเต็มใจช่วยข้าจัดการไอ้เด็กนั่นบ้าง หลังเอาศัสตราวุธิญญาไปส่งแล้ว ผลงานข้าเอาหกส่วน พวกเ้าสี่ส่วน”
จู้หลงครุ่นคิด หากพวกเขาเอาศัสตราวุธิญญาชนิดสองทักษะไปส่งมอบได้จริง คงจะรอดพ้นจากโทษลงทัณฑ์ได้แน่นอน แค่ความหายาก ผลตอบแทนสองส่วนก็คู่ควรให้ขบคิดแล้ว
จู้หลงยิ้มเล็กน้อย “ได้ หากมีคนผู้นั้นจริง ข้าเต็มใจช่วยเหลือ”
“บัดซบ... อะไรคือ ‘หากมีคนผู้นั้นจริง’ เล่า” จางเฟิงบ่นพึมพำ แล้วหันไปถามซุนเหอที่กำลังเช็ดขวดหยกอย่างตั้งอกตั้งใจ “แล้วเ้าเล่า”
ซุนเหอมองทั้งสองคนแวบหนึ่งแล้วพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “ข้าไม่ไป”
จางเฟิงได้ยินดังนั้นก็เอ่ยถามด้วยสีหน้าประหลาดใจ “ทำไมหรือ ศัสตราวุธิญญาสองทักษะเชียวนะ เ้าไม่สนใจหรือ”
ซุนเหอขมวดคิ้วลุกขึ้นยืน “ข้าทำภารกิจสำเร็จแล้ว จะให้ข้าเสี่ยงไปกับพวกเ้าอีกทำไม ยิ่งไปกว่านั้น แค่ฟังๆ ดู ไอ้เด็กที่ว่านั่นก็ใช่ว่าจะธรรมดา นักพรตฝึกหัดที่เพิ่งทะลวงจุดชีพจรได้คนหนึ่งจะสู้กับพวกเ้าจนตกระกำลำบากเช่นนี้ได้อย่างไร ใครจะไปเชื่อ เื้ัมันจะต้องมีผู้เก่งกาจคอยชี้แนะอยู่แน่!”
ซุนเหอไม่มีทางลืมภารกิจครั้งที่แล้ว มีเพียงแค่เขาคนเดียวที่นำปีศาจกลับไปไม่ได้ ส่วนสหายอีกสามคน หรือจางเฟิงและพรรคพวกก็ไม่คิดจะช่วยเหลือเขาเลยแม้แต่น้อย ยิ่งไปกว่านั้นยังเมินเฉยคำขอร้องอ้อนวอนของเขาอีกด้วย สุดท้ายโทษทัณฑ์ที่เขาได้รับก็คือ ถูกควักตาข้างซ้ายออกไปทั้งเป็
ในเมื่อพวกเ้าไร้เมตตา ก็อย่าหาว่าข้าไร้ความปรานี
ซุนเหอส่งเสียงฮึมดังๆ แล้วนั่งข้างกองไฟอีกครั้งโดยไม่เอื้อนเอ่ยวาจาใดอีก
จางเฟิงครุ่นคิด ก็จริงอย่างที่ซุนเหอพูด ในเมื่อทำภารกิจสำเร็จแล้วก็ไม่จำเป็ต้องเสี่ยงอีก ส่วนจู้หลงเองก็ไม่เห็นว่าจะเป็อะไร การที่ซุนเหอไม่ไป ก็หมายความว่ามีคนแบ่งผลประโยชน์น้อยลงไปคนหนึ่ง
“ได้ผลตอบแทนสี่ส่วนเพียงคนเดียวงั้นหรือ” จู้หลงยิ้มหน้าบาน
จู้หลงยื่นมือไปหาซุนเหอ แล้วเอ่ยว่า “เ้าไม่ไปก็ไม่เป็ไร ถ้าอย่างนั้นข้ายืมอสูรกระดูกขาวของเ้ามาใช้หน่อยสิ”
ซุนเหอคิดว่าตัวเองฟังผิดไป จึงเบิกตาโพลงด้วยความตกตะลึง “อะไรนะ”
จู้หลงกล่าวซ้ำอย่างไม่สบอารมณ์ “ยืมอสูรกระดูกขาวของเ้ามาใช้อย่างไรเล่า อีกฝ่ายมันร้ายกาจขนาดนั้น ยิ่งมีไม้ตายมากเท่าไรก็ยิ่งดี”
“ไม่มีทาง!” ซุนเหอลุกขึ้นยืนพรวด กำขวดหยกที่ผนึกอสูรกระดูกขาวแน่น และหันหลังเตรียมจะหายลับเข้าไปในหมอก
จู้หลงที่อยู่ด้านหลังพลันแสยะยิ้ม แล้วชูนิ้วพร้อมกับพึมพำบางอย่าง จู่ๆ ใต้เท้าของซุนเหอก็ปรากฏค่ายกลสีเืขึ้น กำแพงเปล่งแสงสีแดงบางๆ ได้พันธนาการเขาไว้แล้ว ไม่ว่าจะทำเช่นไรก็มิอาจออกไปจากค่ายกลนี้ได้
ซุนเหอทุบตีกำแพงอย่างตื่นตระหนกพร้อมกับเอ่ยถามว่า “จู้หลง! เ้า้าอะไรกันแน่!”
ดวงตาของจู้หลงเหี้ยมเกรียม “ไม่มีอะไร ก็แค่อยากยืมอสูรกระดูกขาวของเ้ามาใช้หน่อยเท่านั้นเอง”
“เ้า... เ้าอยากยืมก็เอาไปสิ!” ซุนเหอรู้ว่าค่ายกลนี้คืออะไร จึงรีบโอนอ่อนอย่างเร็ว “รีบปลดค่ายกลเดี๋ยวนี้!”
“ไม่ต้องแล้ว ข้าเปลี่ยนใจ ไม่อยากยืมแล้ว” แววตาของจู้หลงโเี้ “ข้าอยากได้มันแทน”
ซุนเหอที่สิ้นหวังรู้ดีว่ามิอาจหนีพ้นจากมัจจุราชได้แล้ว ดวงตาข้างขวาที่ยังใช้งานได้ดีก็หมดสิ้นความมีชีวิตชีวา จู้หลงดีดนิ้ว ซุนเหอที่อยู่ในค่ายกลสีเืกลับกลายเป็กองเืทันที
เสื้อผ้าที่ซุนเหอสวมใส่และดวงตาปลอมที่ทำจากไม้ลอยอยู่บนแอ่งเื สุดท้ายขวดหยกที่ผนึกอสูรกระดูกขาวก็ถูกจู้หลงหยิบขึ้นมาเช็ดเืออก ก่อนจะเก็บมันเข้าไปในอกเสื้อ
จู้หลงที่ยืดเส้นยืดสายราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นเดินผ่านจางเฟิงไป “ไปกันเถอะ ไอ้เด็กที่มีศัสตราวุธิญญาหายากนั่นอยู่ที่ไหน”
จางเฟิงเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง สิ่งที่พรากชีวิตซุนเหอไปเมื่อครู่ก็คือเคล็ดวิชา ‘ค่ายกลสังหาร’ ของจู้หลง ถึงแม้จะมีข้อเสียคือต้องใช้เืสดๆ ในการร่ายค่ายกลล่วงหน้า แต่หากเป้าหมายก้าวเข้าไปในค่ายกลแล้ว ตราบใดที่ความแข็งแกร่งของทั้งสองฝ่ายไม่ต่างชั้นกันเกินไป จู้หลงก็มั่นใจว่าจะเปลี่ยนอีกฝ่ายให้กลายเป็กองเืเช่นนั้นได้
'ไอ้บ้านี่ แอบวางค่ายกลไว้ที่นี่ั้แ่เมื่อไร ดูท่าทางแล้ว ไม่ว่าซุนเหอจะตกลงหรือไม่ จู้หลงก็จะสังหารซุนเหอเพื่อ่ชิงอสูรกระดูกขาวอยู่ดี’ จางเฟิงครุ่นคิดสักพักก็ตอบอีกฝ่ายว่า “ไม่รู้”
จู้หลงมองจางเฟิงด้วยแววตากราดเกรี้ยว “เ้าหลอกข้าหรือ”
“ข้าไม่กล้าหรอก ท่านพี่จู้หลง” จางเฟิงหัวเราะแห้งๆ “วางใจเถอะ ข้าส่งคนไปตามมันแล้ว ไอ้เด็กนั่นหนีไม่รอดแน่”
***
ในขณะที่อันตรายกำลังคืบคลานเข้ามา ลู่เต้าเปลือยท่อนบนหรี่ตามองไปรอบๆ
ไป๋เสียเอ่ยถามด้วยความฉงน “เกิดอะไรขึ้น”
“ข้ารู้สึกเหมือนมีคนจับตามองอยู่ตลอดเวลา” ลู่เต้าเอ่ยอย่างไม่เข้าใจ “หรือว่าข้าคิดมากไปเอง”
ไป๋เสียครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งพลางหลับตาลงเพื่อััทุกสิ่งรอบตัว ในที่สุดเขาก็ััถึงคลื่นพลังิญญาจากอีกาตัวหนึ่ง ผู้ควบคุมิญญาน่าจะใช้อีกาตัวนี้เป็สายลับ คอยจับตาดูความเคลื่อนไหวของพวกเขา
แต่บัดนี้ถูกไป๋เสียรู้ทันแล้วก็ไร้ประโยชน์ เขาจึงเอ่ยถามลู่เต้าด้วยรอยยิ้มเ้าเล่ห์ “เ้าหนู ยังหิวอยู่หรือไม่”
“หิวสิ...” ลู่เต้าเอามือกุมท้องพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงทรมาน “วันนี้ก็เดินมาทั้งวันแล้ว จะไม่ให้หิวได้อย่างไร”
ไป๋เสียหัวเราะเบาๆ สายตาของเขามองไล่ไปตามลำต้น ก่อนจะเห็นอีกาที่อยู่บนกิ่งไม้ ลู่เต้าหรี่ตามองอีกาตัวนั้น ก่อนเอ่ยขึ้นด้วยอารามตื่นเต้น
“โอ้...?”
ทันใดนั้นอีกาที่กำลังจับตาดูลู่เต้าก็รู้สึกถึงความเย็นเยียบ แล้วเงาดำอันน่าสะพรึงกลัวก็ปรากฏขึ้นตรงหน้ามันพร้อมด้วยรอยยิ้มน่าขนลุก
“กา...”
เนื่องจากเหตุเกิดขึ้นกะทันหัน อีกาจึงร้องลั่นด้วยความหวาดกลัวพลางกระพือปีกอย่างบ้าคลั่ง
ครึ่งชั่วยามต่อมา ลู่เต้านั่งร้องเพลงอยู่ใต้ต้นไม้พลางย่างนกเสียบไม้บนกองไฟที่ลุกโชติ่ บนพื้นกลาดเกลื่อนไปด้วยขนนกสีดำ
