“เฮ้ยๆ อย่าเป็กังวลไปเลย ลูกพี่เก่งขนาดนี้ คงไม่เป็ไรหรอก” หลี่โม่ฟ๋านพูดอย่างภาคภูมิใจ เขาก็เหมือนกับหยางย่าซิน ล้วนเคยถูกฉันช่วยไว้ ในใจล้วนเลื่อมใสฉันเป็อย่างมาก
แต่เมื่อได้ผ่านประสบการณ์ของเมื่อวานตอนเย็นมา ฉันกลับรู้ซึ้งถึงความไร้ประโยชน์ของตนเอง หากเมื่อว่าตอนเย็นฉันสังเกตให้เร็วกว่านี้สักหน่อย บางทีอาจจะไม่ต้องพบกับประสบการณ์ที่เปรียบดั่งนรกเช่นนั้น เมื่อวานที่ฉันมีชีวิตอยู่ได้ แม้แต่ฉันเองก็ไม่กล้าที่จะจินตนาการอีก
ฉันจะต้องหาทางทำให้ตนเองแข็งแกร่งขึ้น เมื่อวานถือว่าเป็การสั่งสอนที่ยิ่งใหญ่อย่างหนึ่ง หากฉันยังหวังในความฉลาดอันเล็กน้อยของฉันอีก เกรงว่าฉันจะไม่มีทางฟื้นคืนได้ตลอดกาล แต่ทว่าการที่ได้ผ่านนรกเมื่อตอนเย็นมาได้แล้วนั้น กลับทำให้ใจฉันยิ่งแข็งแกร่งและทรหดขึ้น
ตอนที่พวกเรากำลังพูดคุยกัน เฉินิหยางก็ได้กลับมาแล้ว บนหน้าของเขามีรอยตบ 1 รอย ดูแล้วน่าจะถูกครูประจำชั้นตบมาไม่เบา มิน่าล่ะ ครูประจำชั้นถูกเขาจับหน้าอกแล้ว ดังนั้นจะต้องโมโหเป็อย่างมากแน่นอน การที่เขามีชีวิตกลับมาได้นั้น เพื่อนๆ ในห้องเรียนกลับมองว่าเป็เื่ที่ไม่คาดคิด
“เหอๆ ไม่เลวเลย ในที่สุดก็สำเร็จแล้ว” หวางอู่มองเฉินิหยางพลางพูดด้วยความดีอกดีใจ เฉินิก็พูดอย่างภาคภูมิใจว่า “นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว ฉันแกล้งทำเป็ไปถามคำถามในบทเรียนกับครู เธอยังดีอกดีใจมากคิดว่าฉันรักในการเรียน สรุปแล้วในระหว่างนั้นก็ถูกฉันจับเข้าให้”
“นายนี่น่าไม่อายจริงๆ แต่ว่ารูปร่างหน้าตาของครูประจำชั้นก็ถือว่าได้อยู่นะ อย่างน้อยก็ 30 กว่าแล้วแต่ยังสวยสง่าละเมียดละไมอยู่” หวางอู่แสยะยิ้มพูด นักเรียนชายสองสามคนที่อยู่ข้างๆ ก็ยิ้มแบบแปลก ๆ
เฉินิหย่างพูดอย่างไม่ใส่ใจแม้แต่น้อยว่า “เห้อ ผู้หญิงคนนั้นเหรอรู้แค่ว่าจะต้องควบคุมพวกเรา แม้แต่สถานการณ์ของพวกเราตอนนี้เธอก็ยังไม่รู้เลยน่ะ”
“พูดถูกแล้ว ตอนนี้ใครจะมีใจที่จะเรียนล่ะ ไม่รู้ว่าเมื่อถึงวันนั้นอาจจะต้องตายแล้วก็ได้” โต่งเหวินเฟิงพูด
“เชี่ย อย่าได้สนใจเลย นับวันรอเถอะ พวกเราไปสนุกกันดีกว่า” หวางอู่พูดอย่างกล้าได้กล้าเสีย
“อืม คงต้องเป็เช่นนี้แหล่ะ” เฉินิหยางพูด เพิ่งผ่านวิกฤตความเป็ความตายมาแล้วครั้งหนึ่ง ่เวลานี้คือเวลาที่โล่งใจที่สุด นอกจากคนส่วนน้อยที่กำลังสิ้นหวังแล้ว คนส่วนใหญ่ก็ล้วนคิดว่าจะใช้ชีวิตวันนี้ให้ดีอย่างไร
ในเวลานี้กวานเหยาเดินขึ้นไปบนแท่นพูด หวางอู่ จ้าวเฉินเห้อและอีกสองสามคนมองกวานเหยาพลางพูดว่า “หัวหน้าชั้นใหญ่ เธอยังมีอะไรจะแนะนำอีกเหรอ?”
“พวกเราไม่ควรจะนั่งรอความตายอย่างนี้อีกแล้ว ฉันเตรียมที่จะเริ่มสืบหาต่อ” กวานเหยาพูดอย่างจริงจัง
“สืบหา ไปสืบหาที่ไหนล่ะ? ทั้งโรงเรียนก็สืบหาเกือบหมดแล้ว แม้แต่ห้องเอกสารก็ถูกเผาทำลายแล้ว จะไปหาอย่างไรล่ะ?” หวางอู่แสยะยิ้มพูด
ไม่ผิด ซึ่งก็เป็ดั่งที่เขาพูด เบาะแสในโรงเรียนบางส่วนได้ขาดหายไปแล้ว แม้แต่ห้องเอกสารที่สำคัญที่สุด ก็ถูกเผาทำลายไปหมดแล้ว หาก้าที่จะไปหาเบาะแส จริงๆ แล้วมันเป็ไปไม่ได้เลย
“เฉินเฟิงไง น่าจะหาเบาะแสได้จากเฉินเฟิงน่ะ” กวานเหยาพูด
“เฉินเฟิงเหรอ? ไม่ใช่ว่าเขาตายไปแล้วเหรอ?” หวางอู่แสยะยิ้มพูด
“ถึงแม้ว่าเขาจะตายไปแล้ว แต่ทว่าคอมพิวเตอร์ของเขาบางทีอาจจะมีแอคเค้าท์ หากสามารถเข้าแอคเค้าท์เขาได้ ไม่แน่ว่าอาจจะเข้าใช้งานแอคเค้าท์ของเขาได้ แล้วก็เข้าไปยกเลิกกลุ่มของชั้นเรียนได้น่ะ” กวานเหยาพูดขึ้นมาทันที
คำพูดของเธอทำให้คนที่อยู่โดยรอบจุดประกายขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นักเรียนชายหรือนักเรียนหญิงล้วนร้องออกมาอย่างประหลาดใจ
“ไม่ผิด หากเป็เช่นนี้แล้วล่ะก็ ไม่แน่ว่าคำสาปก็อาจจะยกเลิกได้”
“เยี่ยมไปเลย วิธีการนี้ไม่แน่ว่าอาจจะได้ผล”
กวานเหยามองเพื่อนๆ ที่อยู่โดยรอบ แล้วปริปากพูดอย่างช้าๆ ว่า “ฉัน้าคนที่จะเข้าร่วมสืบหากับฉัน ซึ่งสองสามคนนี้ ฉันจะเลือกเอง หวังว่าทุกคนจะยินยอม”
“ไม่มีปัญหา ได้หมด” เพื่อนๆ ในชั้นเรียนพูดเป็เสียงเดียวกัน
“เช่นนั้นก็เอาตามนี้นะ ตวนมู่เซวียน จางเว่ย พวกนายสองคนไปบ้านเฉินเฟิงกับฉัน” กวานเหยาพูด
ฉันตะลึงงันเล็กน้อย แต่กลับไม่ปฏิเสธ และตวนมู่เซวียนก็เช่นกันปริปากพูดอย่างเมินเฉยว่า “ได้สิ ฉันตกลงเข้าร่วมสืบหา แค่เธอไม่เป็ตัวถ่วงให้ฉันก็พอ”
“ไม่มีปัญหา” กวานเหยาพูดพลางยิ้ม และในชั้นเรียนก็เริ่มวุ่นวายขึ้น
“นี่นายจะไปบ้านเฉินเฟิงกับกวานเหยาจริงๆ เหรอ?” เย่รั่วเซวี่ยถาม
“นี่มันแน่นอนอยู่แล้ว ไปดูสักหน่อยก็ไม่เห็นจะเสียหายน่ะ” ฉันพูดด้วยท่าทางที่ยังไงก็ได้
“เห้อ กวานเหยาแค่ดูก็รู้ไม่ใช่คนดีอะไร” เย่รั่วเซวี่ยจับจ้องกวานเหยาพลางพูด
“ไม่ใช่มั่ง ก็แค่เป็ความเข้าใจผิดของเธอเท่านั้นแหล่ะ” ฉันไม่เข้าใจอย่างยิ่ง ทำไมเย่รั่วเซวี่ยถึงมองกวานเหยาเป็ศัตรูเช่นนี้ ปกติแล้วกวานเหยากับเธอก็ไม่ค่อยจะสนทนาอะไรกันอยู่แล้ว
“เห้อ ฉันไม่สน ทางที่ดีนายอย่าไปมีความสัมพันธ์อะไรกับกวานเหยาก็แล้วกัน” พอเย่รั่วเซวี่ยพูดจบ หลังจากนั้นก็กลับไปที่โต๊ะ ฉันยักไหล่อย่างเลี่ยงไม่ได้ ทำได้แค่คุยกับหลี่โม่ฟ๋านต่อ
กวานเหยาเดินเข้ามา แล้วก็พูดกับฉันอย่างเปิดเผยว่า “จางเว่ย นายปรึกษากับตวนมู่เซวี่ยแล้วใช่ไหม ตอนบ่ายพวกเราไปบ้านเฉินเฟิงด้วยกันดีไหม?”
“ไม่มีปัญหา” ฉันพูดไปตรงๆ
“งั้นก็ถือว่านัดกันแล้วนะ” กวานเหยาพูดพลางยิ้ม หลังจากนั้นก็หันหลังจากไป และตลอดทั้งเช้า ไม่มีเื่อะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น ความเป็ระเบียบในชั้นเรียน ตอนนี้ค่อยๆ วุ่นวายขึ้นแล้ว แต่ทว่ายังโชคดี ที่่เวลานี้ยังไม่มีเหตุการณ์อะไรที่เลวร้ายเกินไป
แม้แต่จ้าวิิ ก็มีหลิวเทียนเทียนคอยปกป้อง คิดไม่ถึงว่าตอนนี้ในชั้นเรียนไม่มีใครกล้ารังแกเขาแล้ว แต่ทว่ามองจ้าวิิที่มีท่าทางอึดอัดและลำบากใจ น่าจะไม่มีความสุขที่ได้อยู่กับหลิวเทียนเทียน ใครใช้ให้รูปร่างของพวกเขาสองคนต่างกันเกินไปล่ะ
ในห้องเรียน เย่รั่วเซวี่ยไม่ได้สนิทสนมอะไรกับฉันอย่างเห็นได้ชัด เพราะว่าเธอบอกว่ารู้สึกเขินอายมากที่ต้องพรอดรักกันต่อหน้าคนอื่นๆ จนถึงตอนนี้ ฉันกับเธอก็ได้แค่จับมือกัน ซึ่งมันทำให้ฉันรู้สึกกลัดกลุ้มมาก
แต่ฉันก็ไม่พูดอะไร เพราะจะได้ไม่ต้องถูกเธอเข้าใจว่าเป็ไอ่ลามก
่เวลาตอนเที่ยง ฉับกลับมาที่บ้าน แล้วนั่งอยู่บนโซฟาอย่างกลัดกลุ้ม ฉันมองพ่อที่กำลังยุ่งอยู่ในครัว และถอนหายใจ ฉันไม่มีแม่ั้แ่เล็กๆ แล้ว น่าจะเป็เมื่อตอนอายุ 3 ขวบ ่เวลานั้นฉันยังจำอะไรไม่ได้ ทำได้แค่เห็นใบหน้านั้นอย่างลางๆ ทั้งยังได้รับการโอบกอดที่อบอุ่นนั้น
แต่ทว่าหลังจาก 3 ขวบ แม่ของฉันก็เสียชีวิตแล้ว ต่อมาก็มีเพียงแค่พ่อที่เลี้ยงฉันมาจนโต เขาเป็คนงานทางรถไฟ ปกติจะต้องทำงาน แล้วยังต้องดูแลฉันอีก ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่มีเวลาสนใจฉัน ในวัยเด็กฉันเติบโตมาในความโดดเดี่ยว
ฉันมองพ่อที่อยู่ในห้องครัว แล้วลังเลอยู่พักหนึ่ง หลังจากนั้นเดินเข้าไป
“มีอะไรเหรอ รีบไปล้างมือสิ ใกล้จะทานอาหารแล้ว” พ่อหันมาพูดกับฉัน เขากำลังหั่นผัก ใบหน้านั้นเต็มไปด้วยการผ่านโลกมาอย่างโชกโชน
“พ่อ แม่ของฉันตายยังไงน่ะ?” ฉันถามขึ้นมาทันที ปัญหานี้ทำให้ตัวพ่อมีอาการสั่นเทา และมีดก็เกือบจะหั่นโดนมือแล้ว เขานำมีดหั่นผักวางไว้ข้างๆ ดวงตาคู่นั้นหันมามองฉันอย่างน่าสงสัย “เว๋ยเว่ย ทำไมลูกถึงถามแบบนี้ล่ะ?”
“เมื่อวานตอนเย็นผมฝันเห็นแม่แล้วน่ะ ผมอยากจะรู้ว่าแม่ตายยังไง” ฉันรีบพูด
“แม่ของลูกตายตอนลูกอายุ 3 ขวบ ตอนนั้นแม่เป็โรคปัจจุบันทันด่วนน่ะ” พ่อส่ายหน้าพลางพูด
“งั้นทำไมล่ะ แม้แต่ชื่อแม่ผมยังไม่รู้เลย?” ฉันถามอีก ั้แ่ที่แม่เสียชีวิตไป พ่อก็ไม่เคยพูดถึงแม่อีกเลย รวมทั้งนอกจากแอบไปไหว้หลุมศพใน่เทศกาลเช็งเม้งแล้ว แม้แต่ในสำเนาทะเบียนบ้าน ก็ปรากฏเป็โยกย้าย
และที่ยิ่งน่าเศร้าคือ จนถึงตอนนี้ แม้แต่ชื่อแม่ฉันก็ไม่รู้เลย เหมือนกับว่าแม่เป็คนหนึ่งที่ไม่มีตัวตนอยู่ หากไม่ใช่เพราะความฝันเมื่อวาน บางทีในใจฉันอาจจะไม่มีความคิดที่เกี่ยวกับแม่แล้วก็เป็ได้
“นั่นเป็เพราะว่ากลัวว่าลูกจะเสียใจน่ะ ถึงไม่ยอมที่จะพูดถึง มันก็หลายปีมาแล้ว ลืมแม่เขาไปเถอะ” พ่อส่ายหน้าพลางพูด หลังจากนั้นก็เริ่มหันไปหั่นผักต่อ
“งั้นอย่างน้อยก็ให้ผมรู้ชื่อของแม่หน่อยสิ” ฉันบ่นพึมพำ
พ่อหันมาอีกที และพูดด้วยใบหน้าที่ทนไม่ไหวว่า “เว๋ยเว่ย วันนี้ลูกเป็อะไรเหรอ? ทำไมถึงถามคำถามพวกนี้ล่ะ?”
“มันก็หลายปีมาแล้ว แม้แต่แม่ของผมผมยังไม่รู้เลยว่าเป็ใคร ผมอยากรู้มากจริงๆ” ฉันพูดกับพ่ออย่างจริงจัง พ่อมองฉันแวบหนึ่ง แล้วก็ทิ้งหัวลง ดวงตาคู่นั้นเผยความรู้เศร้าอาดูรออกมา
“ขอโทษด้วยลูก พ่อบอกลูกไม่ได้จริงๆ แต่ขอให้เชื่อไว้ว่า ในโลกนี้ไม่มีใครที่รักลูกได้มากกว่าแม่ของลูกแล้ว” เมื่อพ่อพูดจบก็หันกลับไป ครั้งนี้ไม่ว่าฉันจะพูดยังไง เขาก็ไม่ยอมหันกลับมาอีก
ฉันทำได้แค่นั่งอยู่บนโซฟาด้วยความเสียใจ ฉันรู้ว่าพ่อต้องรู้ว่าแม่ตายยังไงแน่นอน แต่ทว่าเขากลับไม่ยอมที่จะบอกฉัน และก็ไม่ยอมเผยข้อมูลใดๆ เกี่ยวกับแม่ แม้แต่อัลบั้มรูปในครอบครัว ก็ล้วนไม่มีรูปของแม่
เพราะกลัวฉันจะคิดถึงแม่แล้วจะเสียใจเหรอ? ไม่ เหตุผลนี้ไม่ใช่เหตุผลที่พ่อ้าจะปิดบังฉันอย่างแน่นอน นอกจากพ่อแล้ว คุณย่า และคนอื่นๆ ก็เหมือนว่าได้ปิดบังอะไรฉันไว้มากมาย
แม่ของฉัน ไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไปแน่นอน มิฉะนั้นแล้วคงไม่ให้คนตั้งมากมายปิดบัง แม่เป็ใครกันแน่? มีฐานะอะไร? ทำไมไม่ว่าจะเป็คุณย่า หรือว่าพ่อก็ปิดปากเงียบล่ะ?
ข้อสงสัยต่างๆ ได้หมุนอยู่ในหัวของฉัน แต่ทว่าฉันกลับรู้แล้วว่าปัญหานี้จะต้องให้ฉันเป็คนหาคำตอบด้วยตัวเอง
อาหารกลางวันมื้อนี้ทานกันอย่างเงียบกริบ สีหน้าของพ่อหม่นหมอง นอกจากทานอาหารแล้ว เขาก็พูดน้อยมาก เหมือนกับว่าจะเป็เพราะคำถามของฉัน ทำให้เขาคิดถึงแม่ขึ้นมาอีกครั้ง
ฉันไม่ปริปากพูดอีก ก็แค่ในหัวนั้นไม่หยุดที่จะหมุน ั้แ่ฉันเกิดจนถึงตอนนี้ ความทรงจำเมื่ออายุ 3 ขวบเหมือนกับว่าได้เลือนลางไปหมดแล้ว ดูแล้วฉันคงจะต้องไปหาคุณย่าอีกรอบแล้วสิ
ทานอาหารเสร็จ ฉันก็กลับเข้าไปในห้องนอน ผนังกำแพงที่อยู่เบื้องหน้าฉัน รูปภาพก็ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงอีกแล้ว ในรูปหมู่ของนักเรียนในชั้นเรียนรูปนี้ รูปของของมี่เสี่ยวหยู่และซูหย่าก็ได้ปรากฎเหมือนกัน
รวมทั้งพวกเธอก็เหมือนกับพวกเฉินเฟิง ที่มีสีผิวขาวซีด มีรอยยิ้มที่เศร้าโศกเสียใจ ยังมีใบหน้าที่บิดเบี้ยวอีก เมื่อเทียบกับรอยยิ้มของคนที่อยู่โดยรอบแล้วจะเห็นได้อย่างชัดเจน
ตอนนี้มี 5 คนแล้วที่กลายเป็คนตาย สิ่งที่ปรากฏในรูปของพวกเรา รูปทั้งใบมีความหฤโหดเป็พิเศษอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งทำให้ฉันรู้สึกขนหัวลุกอยู่บ้าง
สิ่งที่ทำให้ฉันหวาดกลัวที่สุด ยังคงเป็รอยยิ้มของมี่เสี่ยหยู่ เธอไม่เหมือนกับคนอื่นๆ คอของเธอบิดไปมองฉันที่อยู่ในรูป ในรอยยิ้มนั้นเต็มไปด้วยความอาฆาตพยาบาทและความโกรธแค้น ดวงตาคู่นั้นจับจ้องอย่างไม่ปล่อย แม้แต่แขนก็ชูขึ้นเล็กน้อย
ความแตกต่างที่ยิ่งใหญ่นี้ ทำให้ฉันนึกถึงประโยคที่มี่เสี่ยวพูดก่อนที่ใกล้จะตายขึ้นมาทันทีว่า “จางเว่ย ต่อให้ฉันเป็ผีก็ไม่มีวันปล่อยแกไป!”
หรือว่ามี่เสี่ยวหยู่้าจะแก้แค้นฉันจริงๆ เหรอ? มองมี่เสี่ยวที่แปลกประหลาดในรูป ฉันรู้สึกว่าด้านหลังเย็นวูบขึ้นมาทันที ซึ่งเหมือนกับว่าถูกใครบางคนจ้องเข้าแล้ว ไม่นานฉันก็ส่ายหน้า มองรูปภาพด้วยสีหน้าที่เมินเฉย แล้วบ่นพึมพำว่า “มาแก้แค้นฉันสิ มี่เสี่ยวหยู่ ฉันไม่กลัวเธอหรอก”