หลินฟู่อินพยักหน้ารับอย่างมั่นใจ “ข้ามีวัตถุดิบใหม่ แต่ตอนนี้ยังไม่พร้อม ของจะได้ในฤดูหนาว”
เมื่อเห็นว่าสายตาของเถ้าแก่หลิวมีความผิดหวังเจืออยู่ นางจึงกล่าวต่อ “แต่ตอนนี้ข้าแนะนำเมนูใหม่ๆ ให้ท่านได้ และขอยืนยันเลยว่าด้วยไม่กี่จานนี้ ภัตตาคารหลิวจี้จะขยี้ทุกภัตตาคารในเมืองทิ้งได้หมด!”
และแน่นอนว่าทุกภัตตาคารในที่นี้ย่อมรวมถึงภัตตาคารเยว่เค่อด้วย
หลินฟู่อินหรี่ตาลง ในดวงตาฉายแววมุ่งร้าย ผู้ดูแลฮวา รอโดนภัตตาคารหลิวจี้ขยี้ได้เลย!
“ฟู่อิน นี่เ้าพูดจริงหรือ” เมื่อได้ยินคำพูดของฟู่อินแล้ว เถ้าแก่หลิวก็ดูสนใจขึ้นมา แม้เขาจะยังมิได้เชื่อสุดใจ แต่รายการใหม่นี้ต้องมีคุณค่าไม่ด้อยไปกว่าสูตรประจำตระกูลเป็แน่
ฟู่อินจะยอมแบ่งปันจริงๆ หรือ?
หลิวฉินเองก็มองหลินฟู่อินอย่างตกตะลึง เขามองนางอย่างซาบซึ้ง เด็กสาวผู้นี้ช่างยอดเยี่ยมจริงๆ
นางช่างเป็ผู้มีจิตใจเผื่อแผ่ ราวกับเป็นักบุญก็ไม่ปาน
หลินฟู่อินเห็นว่าเถ้าแก่หลิวยังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง จึงล้วงมือเข้ากระเป๋าแล้วหยิบเอาม้วนกระดาษออกมา
สายตาของเถ้าแก่หลิวถูกตรึงไว้กับม้วนกระดาษนั้นทันที
หลินฟู่อินยิ้มบาง ก่อนจะคลี่มันออก แล้วค่อยๆ ปรายตามองใบหน้าของสองพ่อลูก
“ในนี้มีสูตรอาหารของข้าเขียนไว้หลายอย่าง” หลินฟู่อินกล่าว แล้วเน้นเสียง “แน่นอนว่าเขียนไว้อย่างละเอียด แต่แค่อ่านแล้วทำตามสูตรเฉยๆ ก็ใช่ว่าจะออกมาอร่อยได้”
เถ้าแก่หลิวเข้าใจได้ทันที แล้วรีบลุกขึ้น สีหน้าเปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้น “หมายความว่าฟู่อินจะเป็คนสอนเองหรือ? หากใช่ เดี๋ยวลุงจะเชิญเ้าให้เข้าไปสอนพ่อครัวของเราเดี๋ยวนี้เลย!”
เมื่อเห็นว่าหลินฟู่อินไม่ตอบตกลงกลับมาทันที เขาก็เริ่มกังวลขึ้นมา แล้วกล่าวกับหลินฟู่อิน “ฟู่อิน เ้าไม่ต้องกังวล ขอเพียงเ้ายอมถ่ายทอดสูตรใหม่นี้ให้ลุงพร้อมสอนวิธีทำให้พวกพ่อครัว ลุงจะให้อั่งเป่าเ้าห้าร้อยตำลึงเงินเลย”
ห้าร้อยตำลึงเงิน ก็เป็เงินก้อนใหญ่จริงๆ
หากถอยมาก้าวหนึ่งว่านางเป็คนคิดสูตรนี้ แม้มันจะเป็เพียงการดัดแปลงจากสูตรยุคปัจจุบัน แต่ก็เรียกได้ว่าเป็สูตรของนาง หากจะขายให้หลิวจี้แล้ว นางก็จะคิดถูกๆ
แต่นี่คือราคาเป็มิตร!
นางไม่ขัด แล้วยิ้มน้อยๆ ตอบ “ขอบคุณลุงหลิว”
“ฟู่อิน นี่เป็เพียงค่าสูตรและค่าสอนของเ้าเท่านั้น หากลุงนำไปใช้แล้วทำเงินได้ ลุงจะตบอั่งเปาซองโตเพิ่มให้อีก!”
นับเป็ความใจกว้างของเถ้าแก่หลิว ที่จริงแล้วหลินฟู่อินก็คิดไม่ถึงว่าเขาจะตบอั่งเปาให้นางเพิ่มอีกหลังจากที่จ่ายค่าสูตรมาแล้ว
แต่เสนอมาเช่นนี้แล้ว จะปฏิเสธไปทำไมกัน?
นางเองก็มิได้ชอบปฏิเสธน้ำใจคนอื่นด้วย หากมันทำเงินได้มากกว่าที่คิด ก็มีแต่กำไรทั้งนั้น
“เช่นนั้นข้าคงต้องตั้งตารอวันที่ภัตตาคารหลิวจี้จะแหวกว่ายในกองเงินกองทองเสียแล้ว!” หลินฟู่อินมั่นใจมาก ขอเพียงมีสูตรเหล่านี้ ภัตตาคารหลิวจี้ต้องเติบใหญ่กว่านี้ได้อีกนับพันเท่าเป็แน่!
จนถึงขั้นที่เถ้าแก่หลิวต้องนิ้วหงิกจากการนับเงินกันไปเลย
แต่เมืองชิงหยางนี้ก็มิใช่เมืองธรรมดา ในภายหลังนางจึงได้รู้ว่าเมืองนี้เป็เพียงเมืองเดียวที่เชื่อมต้าเว่ยและเป่ยหรงเข้าด้วยกัน มันเป็เมืองที่ไม่มีทางเลี่ยงได้หากจะข้ามแคว้น เมืองชิงหยางแห่งนี้จึงร่ำรวยกว่าที่นางคิดไว้มากมายนัก
ด้วยทำเลที่ยอดเยี่ยมนี้เอง เป็ผลให้มีพ่อค้าแม่ค้ามากมายมาหยุดพักที่เมืองชิงหยางในระหว่างการเดินทาง ภัตตาคารในเมืองนี้จึงไม่เคยขาดแคลนลูกค้า และลูกค้าคุณภาพสูงก็มักไปรวมตัวกันอยู่ที่ภัตตาคารใหญ่
และภัตตาคารที่ใหญ่ที่สุดในเมืองนี้ก็มีอยู่สองแห่งคือหลิวจี้และเยว่เค่อ และด้วยสูตรอาหารของนาง ลูกค้าจะต้องหลั่งไหลมาหาภัตตาคารหลิวจี้ไม่ขาดสายแน่!
ยิ่งเห็นหลินฟู่อินมั่นใจ เถ้าแก่หลิวและหลิวฉินก็ยิ่งดีใจ
หลินฟู่อินตกปากรับคำที่จะไปเยือนห้องครัวเพื่อถ่ายทอดสูตรให้พ่อครัวของหลิวจี้ เถ้าแก่หลิวและหลิวฉินจึงตามไปด้วยพร้อมความตื่นเต้นที่คับอก
เมื่อมาถึงครัวแล้ว เถ้าแก่หลิวก็แนะนำหลินฟู่อินให้ปรมาจารย์สกุลเถี่ย ผู้ซึ่งเป็คนชอบการศึกษาเรียนรู้เช่นกัน เมื่อเขาได้ยินสาเหตุที่มาก็ดีใจมาก จึงเร่งขอให้หลินฟู่อินสอนเขาเร็วๆ
หลินฟู่อินคิดถึงเื่ที่ลูกค้าในวันนี้กล่าวถึงสุราของเยว่เค่อ นางจึงมองปรมาจารย์เถี่ยแล้วกล่าว “ท่านปรมาจารย์เถี่ย ตอนข้าเพิ่งมาถึงข้าได้ยินพวกลูกค้ากล่าวถึงเื่สุราชั้นเลิศของภัตตาคารเยว่เค่ออยู่ แต่ข้าคิดว่าแม้สุราเราจะเทียบกับเยว่เค่อไม่ได้ แต่อาหารของเรานั้นเหนือกว่า ดังนั้นวันนี้ข้าจึงอยากร่วมทำอาหารกับท่านด้วย ท่านจะว่าอย่างไร?”
ได้ยินคำยกยอเช่นนี้ปรมาจารย์เถี่ยจึงมีความมั่นใจพุ่งพล่าน กล่าวว่า “ได้ ขอฝากตัวด้วย”
หลินฟู่อินพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้มก่อนกล่าว “เช่นนั้นแล้วเรามาเริ่มที่จานแรกของวัน มันมีนามว่าถั่วเซียนร่ำสุรา!”
นางถือวิสาสะนำเอาชื่อของถั่วผีร่ำสุราที่เป็ถั่วแกล้มเหล้าชื่อดังของยุคปัจจุบันมาดัดแปลงเป็ถั่วเซียนร่ำสุรา
เพราะชาวต้าเว่ยให้ความสำคัญกับข้อห้ามเื่ความเชื่อเกี่ยวกับผีและิญญา นางจึงเปลี่ยนจาก ‘ผี’ เป็ ‘เซียน’ แทน
“โอ้ ชื่อดีนี่!” เมื่อได้ยินชื่อของจานนี้แล้ว ทั้งเถ้าแก่หลิวและบุตรชายต่างก็พยักหน้าอย่างพอใจ
ชื่ออาหารเองก็เป็จุดขาย!
ทุกคนในห้องต่างก็ยิ่งตั้งตารอกันมากขึ้น
“เริ่มจากชั่งถั่วมาสิบจิน นำไปผ่านน้ำอุ่น แล้วนำกลับมาล้าง แล้วแช่น้ำอุ่นอีกรอบ ทำเสร็จแล้วมาเรียกข้าด้วย” หลินฟู่อินสั่งการ
ปรมาจารย์เถี่ยส่งสัญญาณให้ผู้ช่วยพ่อครัว เหล่าผู้ช่วยจึงไปจัดการทันที
“รอให้ถั่วเสร็จก่อน ที่เหลือเอาไว้ทีหลัง” เมื่อหลินฟู่อินเห็นสีหน้าอยู่ไม่สุขเพราะอยากเห็นขั้นตอนต่อไปของเหล่าคนในห้องแล้ว นางจึงอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาน้อยๆ “ระหว่างนี้มาทำจานที่สองกัน จานนี้ดียิ่งกว่าถั่วเซียนร่ำสุราเสียอีก”
ไม่ปล่อยให้คนในห้องได้มีโอกาสรู้สึกดีใจ นางสั่งการทันที “ชั่งเต้าหู้ถั่วเหลืองสดมายี่สิบจิน ล้างด้วยน้ำเช่นกัน เสร็จแล้วตัดปลายทั้งสองด้านของเต้าหู้ด้วย เมนูนี้ต้องใช้คนเยอะกว่า”
เต้าหู้ถั่วเหลืองสดเป็หนึ่งในวัตถุดิบไม่กี่อย่างที่มีให้ใช้ได้ในฤดูกาลนี้ นางจึงไม่กังวลว่าภัตตาคารหลิวจี้จะไม่มีของ
“ต้องปอกด้วยหรือไม่?” ปรมาจารย์เถี่ยถาม
“ไม่ต้อง” หลินฟู่อินส่ายหน้า ปรมาจารย์เถี่ยจึงสั่งการทันที “ไปชั่งเต้าหู้มาคนหนึ่ง ยี่สิบจิน”
มีคนไปลงมือทันที โชคดีที่ปรมาจารย์เถี่ยมีลูกมือถึงหกคน งานจึงไปได้อย่างรวดเร็ว
“คุณหนูหลิน จานนี้เรียกว่าอะไรหรือ?”
“จานนี้มิได้มีชื่อเลิศหรูอะไรนัก เรียกมันว่าถั่วขนผัดเจี้ยงไปแล้วกัน” หลินฟู่อินกล่าว “อย่าได้มองแค่ว่าชื่อมันธรรมดา ตัวรสชาตินั้นเรียกได้ว่าอร่อยมาก เป็จานที่คนชอบดื่มแปดในสิบคนต้องชอบ แม้แต่คนที่ไม่ชอบก็ยังทานได้เพลินปาก ไม่ว่าจะเป็บุรุษ สตรี หรือเด็กก็ตาม”
ปรมาจารย์เถี่ยตอบอือๆ ไม่หยุด
สูตรเหล่านี้ หากคุณหนูหลินผู้นี้ไม่มาสอนให้ เขาคงไม่มีวันจินตนาการได้เป็แน่
เขามองหลินฟู่อินอย่างนับถือ แม้นางจะยังเด็ก แต่คำกล่าวที่ว่าอย่าตัดสินคนจากภายนอกนี่เรียกว่าไม่ผิดเลย
เขาไม่รู้ว่าในตัวหลินฟู่อินนั้นอัดแน่นไปด้วยข้อมูลวัฒนธรรมที่สั่งสมกันมาหลายพันปี ซึ่งรวมถึงศาสตร์ด้านอาหารด้วย
เมื่อเห็นว่ามือและเท้าของทุกคนกำลังลงมือเตรียมเต้าหู้อย่างคล่องแคล่วแล้ว นางจึงคำนวณปริมาณที่ต้องใช้ของโป๊ยกั้ก พริกไทย ยี่หร่า พร้อมกับขิงตากแห้งและพริกไทยตากแห้งไปด้วย
“ท่านปรมาจารย์เถี่ย ต่อไปต้มน้ำครึ่งหม้อ แล้วใส่เครื่องปรุงที่ข้าเตรียมไว้พวกนี้ลงไป จากนั้นใส่เต้าหู้ที่ล้างเสร็จแล้วลงไปด้วย แล้วปิดฝาหม้อ” หลินฟู่อินกล่าว แล้วสั่งการต่อ “เริ่มต้มด้วยไฟแรง จากนั้นจึงใช้ไฟอ่อน แล้วทิ้งไว้ครึ่งเค่อ”
ครึ่งเค่อคือเจ็ดนาทีครึ่ง ในความเป็จริงแล้วตั้งไฟกลางห้านาทีเอาก็ได้แล้ว แต่ยุคโบราณมันจับเวลาได้ไม่สะดวกนัก หลินฟู่อินจึงเลือกใช้ไฟอ่อนนานครึ่งเค่อแทน
ปรมาจารย์เถี่ยรับคำทันที แล้วจำคำสั่งแต่ละอย่างของนางไว้ขึ้นใจ เถ้าแก่อุตส่าห์พาเด็กสาวผู้นี้มาสอนเขาถึงที่ หากไม่มีใครจำที่นางสอนได้เลยคงน่าเสียดายมากเป็แน่!
“คุณหนูหลิน มีคำอธิบายเสริมอะไรสำหรับวัตถุดิบนี้หรือไม่?” เมื่อปรมาจารย์เถี่ยจำขั้นตอนได้แล้ว เขาจึงถามเื่วัตถุดิบต่อ
หลินฟู่อินคิดในใจว่าพ่อครัวผู้นี้เอาใจใส่ดีจริงๆ แต่นางเองก็กะเอาเช่นเดียวกัน มันจึงไม่มีตัวเลขที่พอดีให้ แต่เื่นี้ต้องอุบไว้
นางจึงตอบไปแบบกำกวมเล็กน้อย “ปริมาณเท่าที่ข้าใช้ในวันนี้ต่อเต้าหู้ถั่วเหลืองยี่สิบจิน หากครั้งหน้าท่านจะทำมากกว่านี้ ก็ลองคำนวณดู”
ได้ยินเช่นนั้นปรมาจารย์เถี่ยจึงเบิกตากว้างขึ้นมา ในใจคำนวณปริมาณตามที่หลินฟู่อินใช้ไป แล้วจึงพยักหน้าอย่างขอบคุณเมื่อเห็นว่านางไม่ปิดบัง
“ปรมาจารย์เถี่ย ถั่วได้ที่แล้ว” ผู้ช่วยกลับมารายงาน
การแช่ในน้ำอุ่นนั้นมันเห็นผลเร็วกว่า หลินฟู่อินรู้เื่นี้ ปรมาจารย์เถี่ยเองก็รู้ เขาจึงมองนางอย่างเคารพแล้วถามต่อ “ต่อไปต้องทำอย่างไรหรือคุณหนู?”
“ปอกถั่ว” หลินฟู่อินกล่าว แล้วปรมาจารย์เถี่ยจึงสั่งการต่อทันทีโดยไม่อิดออด
ในความเป็จริงแล้ว เวลาทำถั่วเซียนร่ำสุรา หากนำถั่วไปแช่เย็นก่อนก็จะทำให้มันยิ่งอร่อยขึ้นไปอีก แต่เพราะตอนนี้มันทำเช่นนั้นไม่ได้ แต่ก็ยังพอทดแทนรสชาติได้ด้วยรสของถั่วโบราณที่มีรสชาติโดดเด่นกว่าปัจจุบัน
เมื่อปอกเสร็จแล้วให้นำไปล้างอีกครั้ง จากนั้นจึงเทใส่เตาถ่านอิฐที่ตั้งไว้ในครัวเพื่อรีดเอาความชื้นออก หลินฟู่อินสั่งการ “จากนั้นเทน้ำมันงาลงประมาณสองจิน ใส่ถั่วลงไปแล้วทอดซะ ใช้ไฟกลางก่อนเปลี่ยนไปอ่อน”
ขั้นตอนนี้ปรมาจารย์เถี่ยเป็ผู้ลงมือทำด้วยตัวเอง เมื่อหลินฟู่อินเห็นว่าถั่วเริ่มแตกแล้ว จึงบอกให้ปรมาจารย์เถี่ยรีบนำขึ้นจากกระทะทันที
ปรมาจารย์เถี่ยทำตามคำสั่งของหลินฟู่อินอย่างแม่นยำ และเมื่อหลินฟู่อินปรายตาไปมองและเห็นสายตาคาดหวังของพ่อลูกสกุลหลิว ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
“ที่นี้เปลี่ยนไปใช้ไฟแรงเพื่อให้น้ำมันเดือดเร็ว แล้วทอดซ้ำอีกครั้ง”
ปรมาจารย์เถี่ยจัดการให้ในพริบตา
คราวนี้เมื่อหลินฟู่อินเห็นว่าถั่วเริ่มเหลืองแล้ว นางจึงกล่าว “ท่านปรมาจารย์เถี่ย ถั่วเริ่มเหลืองแล้ว เอาขึ้นมาพักน้ำมันได้เลย”
“ได้!” เมื่อได้กลิ่นหอมของถั่วที่แปลกไปจากทุกครั้ง ปรมาจารย์เถี่ยจึงยิ่งตั้งความหวังกับถั่วเซียนร่ำสุรานี้มากขึ้นอีก
“ต่อไปเปลี่ยนกระทะ ใส่น้ำมันลงไปสองช้อนชาที่ก้นกระทะ” กล่าวจบหลินฟู่อินก็หยิบเอาพริกไทยแห้งมาลงหม้อไปสี่หยิบมือ และพริกแดงที่สับไว้ล่วงหน้าแล้วอีกสี่หยิบมือ แล้วผัด จากนั้นกล่าวกับปรมาจารย์เถี่ย “หลังจากนี้ก็ให้เตรียมเครื่องปรุงรสตามที่ข้าใส่ไปเมื่อครู่ด้วยวัตถุดิบปริมาณเท่านี้ ลงไปผัดกับถั่วในกระทะ แล้วกลิ่นมันจะแรงขึ้น จากนั้นจับตาดูกระทะให้ดี”
ปรมาจารย์เถี่ยพยักหน้าไม่หยุด
หลินฟู่อินกล่าวต่อ “ใส่น้ำตาลและเกลือลงไปก่อนตั้งกระทะ ปาดมันไว้ข้างกระทะแล้วรอจนกว่าถั่วจะเย็นลง”
อย่างไรเสียหลินฟู่อินก็เป็เพียงเด็กผู้หญิงร่างเล็ก ข้อมือของนางจึงมิได้แข็งแรงมากนัก ปรมาจารย์เถี่ยจึงเป็คนจัดการผัดเอง
เมื่อมองเข้าไปในกระทะแล้วจึงได้เห็นว่าถั่วเซียนร่ำสุรากระทะนี้ทำออกมาได้ดีมาก ทั้งสีที่ทองอร่ามและกลิ่นที่หอมหวน
“หอมมาก!” หลิวฉินยิ้มออกมาทันทีที่ได้กลิ่น กลิ่นมันน่าอร่อยจนเขาแทบทนไม่ให้พุ่งเข้าใส่กระทะนั้นไม่ไหว
“ยังร้อนอยู่ รอให้มันเย็นก่อนค่อยกิน” หลินฟู่อินมองท่าทางตะกละของเขาแล้วส่ายศีรษะ “ไปลองถั่วขนผัดเจี้ยงก่อน”
ในระหว่างที่ทำถั่วเซียนร่ำสุรา ถั่วขนผัดเจี้ยงก็น่าจะเย็นแล้ว
ได้ยินเช่นนี้หลิวฉินจึงเลิกสนถั่วเซียนร่ำสุราแล้วรีบไปพุ้ยถั่วขนผัดเจี้ยงเข้าปากทันที โดยเผลอชนเข้ากับเถ้าแก่หลิวจนเถ้าแก่เกือบล้มในระหว่างทาง
เถ้าแก่จึงดุด่าเขาทันที
แต่หลิวฉินกลับเมินเฉยต่อเสียงด่า แล้วยื่นมือไปคว้าถั่วมาเข้าปากอย่างเร่งรีบ
ทุกคนในห้องครัวต่างก็มองเขาอย่างประหม่า
หลิวฉินกินเข้าไปแล้วหลับตาลง แล้วทำสีหน้าเกินจริงออกมาจนทุกคนนอกจากหลินฟู่อินต่างก็เริ่มกังวลขึ้นมาว่ามันจะไม่อร่อย และเสียเวลาเปล่าหรือไม่
โดยเฉพาะเถ้าแก่หลิว ที่ถึงกับต้อบภาวนาในใจให้มันอร่อย
มีเพียงหลินฟู่อินที่ยืนอยู่ข้างๆ ด้วยสีหน้ามั่นใจ สายตาหรี่ลงเล็กน้อย
“อร่อย อร่อยมาก อร่อยเกินไปแล้ว!” หลิวฉินกลืนอาหารลงไปแล้วเปิดเปลือกตาขึ้น กล่าวออกมาด้วยเสียงดัง แล้วพุ่งไปกอดผู้เป็บิดาอย่างตื่นเต้น “ท่านพ่อ อาหารจานนี้เลิศรสนัก จากนี้ไปภัตตาคารของเราต้องเติบใหญ่อย่างที่ไม่เคยเป็มาก่อนแน่!”
หลิวฉินพล่ามไม่หยุดจนบิดาของเขาต้องผลักเขาออก แล้วเข้าไปลองทานเอง
หลิวฉินพุ่งไปหาหลินฟู่อินต่อ แล้วก้มหัวให้นาง
หลินฟู่อินรับการทำความเคารพของเขาเอาไว้แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ห้าร้อยตำลึงเงินที่บิดาของท่านลงทุนมา คุ้มค่าใช่หรือไม่?”
หลิวฉินตอบกลับทันที “พูดอะไรของเ้ากัน นี่ไม่ใช่คุ้มค่า แต่มันเกินคุ้ม!” จากนั้นเขาจึงยื่นนิ้วชี้ให้หลินฟู่อิน “ฟู่อิน ข้าขอพูดเลยว่าเพียงด้วยอาหารจานนี้ ห้าร้อยตำลึงเงินที่ท่านพ่อลงไปก็ไม่สูญเปล่าแล้ว!”
ได้รู้เช่นนี้ก็ดี
หลินฟู่อินเม้มปากแล้วคลี่ออกมาเป็รอยยิ้ม
เริ่มด้วยถั่วขนผัดเจี้ยง และเมื่อคนในห้องครัวได้ััความอร่อยของถั่วเซียนร่ำสุราเข้าไป ก็พากันอ่อนระทวยหมดสภาพกันไปจนหมด แล้วสักคนหนึ่งก็ลุกขึ้นคว้าถ้วยมาตักถั่วไปพุ้ยถั่วเข้าปากโดยไม่สนใจจะเหลือให้ลูกค้าเลย และอีกหลายคนเองก็ใช้มือจ้วงเข้าปากอย่างตะกละ
แม้แต่ปรมาจารย์เถี่ยเองก็เช่นกัน
“อะแฮ่ม” หลินฟู่อินยกกำปั้นขึ้นมาป้องปากแล้วกระแอมออกมาสองครั้ง แล้วจึงเตือนพวกเขา “กำลังอร่อยกันอยู่ก็จริง แต่อย่าได้ลืมเหลือไว้ให้ลูกค้าด้วยล่ะ”
หลายคนเมินนาง
หลินฟู่อินมองภาพนี้พลางคิด เกินจริงเกินไปแล้ว มันอร่อยขนาดนั้นจริงๆ หรือ?
นางไม่รู้เลยว่ารสชาติของยุคปัจจุบันนั้นเหนือกว่าสิ่งใดๆ ที่คนยุคโบราณเหล่านี้เคยได้ััมา
“พวกท่านอยากเรียนอะไรเพิ่มอีกหรือไม่?” หลินฟู่อินอับจนหนทาง จึงมีแต่ต้องยอมงัดไพ่ตายขึ้นมาใช้
ปรมาจารย์เถี่ยหยุดมือลงทันที ปาดคราบน้ำมันออกจากปาก แล้วถูมือกับเสื้อผ้าอย่างอายๆ “เรียน เรียนสิท่าน ต้องให้คุณหนูหลินเห็นภาพน่าขันเสียแล้ว!”
แม้เขาจะเป็พ่อครัวที่ค่อนข้างมีฝีมือ แต่เขาก็ไม่เคยได้ััรสชาติระดับนี้มาก่อน ทั้งมันยังทำจากวัตถุดิบทั่วไปเท่านั้น
จานถัดมาที่หลินฟู่อินสอนคือแตงกวาเย็น เพราะใน่นี้ของปียังมีแตงกวาฤดูใบไม้ร่วงเหลืออยู่ในหมู่บ้านหูลู่
แตงกวาฤดูใบไม้ร่วงมีเนื้อนุ่มและกรอบกว่าแตงกวาฤดูร้อน เป็หนึ่งในวัตถุดิบที่ดีที่สุดสำหรับการทำอาหารจานเย็นเลย
และยังเป็จานที่หลินฟู่อินเลือกมาโดยเฉพาะหลังจากดูวัตถุดิบแล้ว
แตงกวาเย็นนี้ก็ทำง่ายมาก เพียงนำแตงกวาไปล้างแล้วหั่นแนวขวาง นำไปจุ่มน้ำเกลือ เมื่อเอาขึ้นมาแล้วก็รีดน้ำออก สับกระเทียมและหัวหอม แล้วบดไปกับถั่วเครื่องเคียงด้วยไม้นวดแป้ง จากนั้นนำไปราดใส่แตงกวาที่หั่นเสร็จ ผสมเข้าด้วยกัน ใส่น้ำต้มกระดูกหนึ่งช้อนชา และน้ำมันงาอีกพอเหมาะ โรยเกลือแล้วก็เสร็จ
ทั้งกรอบและสดชื่น เคี้ยวเพลินอย่าบอกใคร ทั้งยังเข้ากับสุราเป็อย่างมาก
จานสุดท้ายนั้นยิ่งง่ายกว่า ไข่เยี่ยวม้ากับเต้าหู้นั่นเอง
แต่หลินฟู่อินเลือกจะทำด้วยไข่ดอกสน
ปอกไข่ดอกสนออกมา หั่นเป็ชิ้นเหลี่ยมๆ จากนั้นนำเต้าหู้มาหนึ่งชิ้นโยนลงน้ำเดือด แล้วนำมันมาหั่นเป็ทรงสี่เหลี่ยม
โรยต้นหอมสับละเอียดลงไปให้ทั่ว แล้วซ้ำด้วยน้ำมันงา
ทั้งอาหารจานนี้ยังสามารถแก้ร้อนในได้ด้วย และอย่างเดียวที่ต้องใส่ใจตอนทำก็มีเพียงขั้นตอนการปรุงรส
เพราะต้าเว่ยนี้ยังไม่มีน้ำแกงไก่ให้ใช้ หลินฟู่อินจึงต้องปรุงด้วยน้ำต้มกระดูกสดๆ แทน แล้วเสริมด้วยน้ำส้มสายชูแก่ เจี้ยงถั่วเหลือง และสุราหมักแก่
เพราะไข่ดอกสนมีกลิ่นคาวอยู่ นางจึงใช้สุรามาช่วยในการดับกลิ่น
นางถ่ายทอดทั้งหมดนี้ให้กับปรมาจารย์เถี่ยแห่งภัตตาคารหลิวจี้
และสุดท้าย นอกจากถั่วขนผัดเจี้ยงและถั่วเซียนร่ำสุราแล้ว หลินฟู่อินก็สอนให้ปรมาจารย์เถี่ยได้ลองทำแตงกวาเย็นและไข่ปอกและเต้าหู้เองดูอีกครั้ง
แม้รสชาติจะต่างออกไปจากตอนที่นางทำบ้าง แต่ก็ยังเรียกได้ว่ายอดเยี่ยม
ไม่เพียงปรมาจารย์เถี่ยจะรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา เถ้าแก่หลิวเองก็ดีใจจนเนื้อเต้นเช่นกัน แต่สิ่งที่เขาอยากจะกล่าวนั้นมันไม่เหมาะที่จะกล่าวต่อหน้าฟู่อินเท่าใดนัก
มันเป็สิ่งที่เขาอยากจะกล่าวกับพ่อครัวและผู้ช่วย
เหล่าผู้ช่วยพ่อครัวเหล่านี้ต่างก็เป็ศิษย์ของปรมาจารย์เถี่ย และเมื่อหลินฟู่อินมาสอนพวกเขาทำอาหารเช่นนี้ ทั้งศิษย์และอาจารย์ต่างก็ถูกผูกมัดเข้ากับภัตตาคารหลิวจี้แล้ว
หลินฟู่อินเองก็รู้ นางจึงทำเช่นนี้เพื่อสร้างหนี้ครั้งใหญ่ต่อนางแก่ภัตตาคารหลิวจี้ ด้วยการผูกมัดหัวหน้าพ่อครัวและลูกมือไว้กับภัตตาคารแห่งนี้
อย่างไรเสีย เถ้าแก่หลิวก็เป็นักธุรกิจมากเล่ห์ คงมีแผนจะจับกลุ่มนี้ทำสัญญาอยู่แล้วเป็แน่
และด้วยเหตุนี้เอง เมื่อหลินฟู่อินมาสอน เหล่าพ่อครัวเหล่านี้จึงไม่ถูกกีดกัน แต่ถูกเรียกให้มาเรียนด้วยกันให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้
จากนั้นภัตตาคารหลิวจี้ก็ดำเนินการต่ออย่างรวดเร็ว จานใหม่ทั้งสี่นี้ถูกนำไปเปิดตัวอย่างว่องไว
กลุ่มลูกค้าที่เคยไม่พอใจความไม่หลากหลายของอาหารและกำลังจะจากไปภัตตาคารอื่น แต่เมื่อได้ยินว่าภัตตาคารหลิวจี้มีรายการอาหารใหม่แล้ววันนี้ พวกเขาจึงเลือกอยู่ต่อ
ผลคือทานไม่หยุดปาก ลูกค้าเก่าอยู่ต่อ ลูกค้าใหม่มาไม่ขาดสาย พ่อลูกตระกูลหลิวที่ต้องพากันย้ายไปชั้นสามแทนรื่นเริงไปกับผลลัพธ์นี้
เถ้าแก่หลิวร้องเรียกภรรยาอย่างเริงร่า เพื่อให้นำชาชั้นเลิศที่สุดในบ้านมาให้หลินฟู่อิน
หลินฟู่อินคลี่ยิ้มบาง แล้วจึงโบกมือให้หยุด “ลุงหลิว ความสำเร็จระดับนี้นับว่าเหนือความคาดหมายของข้าไปมาก ฟู่อินขอแสดงความยินดีกับลุงอีกครั้ง แต่ข้ามีเงื่อนไขที่อยากให้ท่านช่วยเหลืออยู่!”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้