“นี่ด้านหน้านั่นจะเข้าเขตฤดูใบไม้ผลิแล้ว โห! เ้าดูนั่นสิเฟยเฟย มีคนออกมาขายของเยอะแยะยาวทอดไปตลอดทางขึ้น้าเลย ทำไมก่อนหน้านี้ข้าไม่เคยเห็น” เ้าวั่งซูกล่าวพร้อมรีบเดินไปยังร้านขนมเตรียมหยิบเลือก
“ใกล้เดือนสิบเอ็ด “เทศกาลชะล้างิญญาคืนชีวิต” กำลังจะเกิดขึ้น จึงมีการรวมตัวกันประชุมมีแขกจากต่างภพมามากมายมาเข้าร่วมซึ่งข้ากับเ้าก็ต้องเข้าร่วมวันนี้เ้าคงลืมไปแล้วสินะ เพราะงี้ชาวบ้านถึงเริ่มครึกครื้น ออกมาจับจองตั้งร้านใกล้สำนักคุ้มภัยมากที่สุดเพื่อที่จะได้รับมนต์ชำระร้างคืนร่างจากโคลงเจี๋ยหยี่ก่อนใครๆ และ อีกอย่างคือมีงานประลองเพื่อหามือปราบมารประจำปีนี้ ทุกอย่างนี้ทำให้บริเวณนี้ครึกครื้นและคนมารวมกันเยอะมากมาย” ฮวาเฟยฟาเอ่ย
“เออจริงด้วย นี่มันจะถึงวันชำระล้าง ปีนึงๆ ก็ผ่านไปไวอยู่นะ ข้าว่า ข้าลืมไปจริงอย่างเ้าว่าเื่จะมีประชุม” เ้าวั่งซูเอ่ย ขณะที่ตาก็ยังสอดส่ายหาของกินตามไหล่ทาง
“ผู้คนในหมู่บ้านล้วนได้รับผลกระทบจากแรงะเิ และการรวมกลุ่มของสิ่งมีชีวิตจากต่างภพ ทำให้ร่างของทุกคนถูกผนวกรวมมีรูปร่างแปลกประหลาด ถ้ารวมกับดวงจิตจากภพเดรัจฉานก็จะมีรูปร่างเป็มนุษย์หัวเป็สัตว์เดินสองขาพูดจาได้เหมือนมนุษย์ บ้างก็รวมกับภูต รวมกับอมมนุษย์ รวมกับปีศาจ รูปร่างหน้าตาก็จะแตกต่างกันไป แต่รวมร่างกับพวกหมู่ซู่ข้าไม่เคยเห็นเผ่าพันธุ์นั้นสามารถหยั่งราก และยืนต้นมีชีวิตอยู่ได้ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องพึ่งร่างกำเนิดในภพนั้นๆ ผิดกับจิตจากภพอื่นๆ ที่ต้องหาร่าง แต่ร่างพวกนี้ยังคงมีความเป็มนุษย์แปดส่วน และเป็สิ่งที่มาสวมร่างแค่สองส่วน ดวงจิตต่างภพพวกนี้ไม่ได้มาที่นี่ในฐานะผู้บุกรุกแต่เป็แค่เศษชิ้นส่วนที่แตกกระจายกระเด็นกระดอนมา และหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จำเป็ต้องหาร่างเพื่อความอยู่รอด จึงรวมเข้ากับร่างที่กำเนิดในภพนี้ทำให้ดวงจิตที่มาสวมทำได้แค่เปลี่ยนแปลงกายหยาบภายนอกไปบ้างแต่ไม่สามารถเข้าครอบงำจิติญญาได้เต็มกำลัง
ดังนั้นผู้คนในหมู่บ้านนี้ยังคงเป็มนุษย์อยู่ แต่ร่างที่มีประโยชน์ที่สุดคือร่างที่รวมเข้ากับเทพหรือเซียนถึงแม้นพลังจักราจะไม่สูงแต่ก็พอสามารถฝึกฝนเพิ่มพูลได้บ้างซึ่งมีหลายคนมากที่พยายามฝึกฝน และกลายไปเป็ผู้ฝึกตน และมือปราบมารในที่สุด
“ซูซู เ้าเห็นสีหน้าแห่งความสุขของพวกเค้าไม๊ ยามเมื่อรู้ว่าจะถึงฤดูชะล้างของปี ช่างเป็การเล่นตลกของโชคชะตาที่โหดร้ายจริงๆ” ฮวาเฟยฟาเอ่ย ยิ้มอ่อนมองผู้คนที่ยิ้มอย่างมีความหวังของผู้คนจากหมู่บ้านชุนเทียนแห่งนี้”
“วันนึง ข้าในฐานะเ้าภพมนุษย์ จะเป็คนล้างคำสาปให้ ผู้คนในหมู่บ้านชุนเทียนแห่งนี้เอง” เ้าวั่งซูเอ่ย
“ข้าก็จะอยู่ข้างๆ คอยช่วยเ้าเอง” ฮวาเฟยฟาเอ่ยตอบ
“เอ๊ะ! ดูนั่นสิ ร้านโคมลอย เฟยเฟยเราไปปล่อยโคมลอยกัน” เ้าวั่งซูเอ่ยแทรกตื่นเต้น พร้อมจับมือลากเฟยฟาไปร้านโคมลอย ในร้านมีโคมไปมากมายให้เลือก ล้วนถูกรังสรรค์ภาพด้วยปลายพู่กัน ออกมาเป็เหตุการณ์ในอดีตที่เกิดในยุทธภพ ภาพสิ่งมีชีวิตจากแต่ละภพตามจินตนาการ ภาพธรรมชาติต่างๆ ในหมู่บ้านชุนเทียน ตัวอักษรและคำต่างๆ เ้าวั่งซูเลือกภาพต้นไม้ใหญ่ที่ยืนต้นลอยเด่นเหมือนต้นไม้แห่งชีวิตซึ่งลอยอยู่เหนือทิวเขาที่โผล่ทะลุก้อนเมฆขึ้นมาทางด้านหลังสำนักคุ้มภัย ด้านหลังสำนักคุ้มภัยคืออาณาบริเวณของสำนักหลิงชงิ โรงเรียนที่ศึกษาั้แ่วัยเยาว์ เป็ที่ๆ ปู่ทวดวั่งซูของเค้าพบกับเฟยฟาครั้งแรก
“เอาอันนี้นะเฟยเฟย เราอธิษฐานและปล่อยมันด้วยกันนะ” เ้าวั่งซูอุ้มช้อนโคมขึ้นมาในมือพร้อมหันมายิ้มกว้าง และจับมือเตรียมลากเฟยฟาเหาะลอยผ่านกลุ่มผู้คนมากมายตรงขึ้นไปทางสำนักคุ้มภัย และเหาะลอยสูงข้ามตำหนักกลางไปสักพักก็เจอต้นไม้ใหญ่ ต้นไม้ที่ถูกนำมาวาดลงบนโคมลอยยังคงยืนต้นสงบสง่างามท่ามกลางกลุ่มเมฆบดบังที่ซุกซ่อนความมหัศจรรย์นี้ไว้ ทั้งสองปล่อยตัวลงเท้าแตะพื้นใต้ต้นไม้ใหญ่
“ที่นี่มัน......!” ฮวาเฟยฟายืนจังงังมองต้นไม้ พร้อมทั้งโคมลอยในมือเ้าวั่งซูวั่งซู
“ที่ของพวกเรา ที่ๆ เราเจอกันครั้งแรก “ต้นวั่งเฟย” ต้นไม้แห่งชีวิตของเราแค่สองคน” เ้าวั่งซูหันมาฉีกยิ้มภาพสะท้อนร่างของเ้าวั่งซูปู่ทวดของเค้าแฝงยิ้มออกมาข้างๆ
ฮวาเฟยฟาน้ำตาไหล “อื้ม! ที่ของพวกเรา ต้นวั่งเฟย” เ้าวั่งซูขยับกายเข้าโอบฮวาเฟยฟา ฮวาเฟยฟาใแต่ก็ไม่แข็งขืนในอ้อมกอดนั้น
“ข้าขอโทษ และขอบคุณนะ ที่เฝ้ารอข้ากลับมา เราจะไม่พรากจากกันอีกแล้วนะ” เ้าวั่งซูโอบหนักแน่นและกระซิบข้างหูเฟยฟา
“อื้ม! ไม่มีวันพรากจากกัน” ทั้งสองกอดซบกันใต้ต้นวั่งซู พร้อมลมพัดเบาๆ และเสียงกิ่งใบไม้ที่ลู่ตามลม
“หลิ่งกวางเ้าจุดไฟ” เ้าวั่งซูเรียกหลิ่งกวางที่นั่งอยู่บนหัว หลิ่งกวางดวงตาสีแดงสว่างวาบพร้อมดวงไฟที่ติดใต้โคมลอย
“มาเถอะพวกเราสี่คนมาปล่อยโคมพร้อมกัน” ฮวาเฟยฟาเรียกทุกคนมารวมตัวใต้ต้นไม้ หลิ่งกวาง ชิงหลง วั่งซู เฟยฟา ยืนสี่มุมประสานยกโคมลอยขึ้น
เ้าวั่งซูเริ่มกล่าวนำคนแรก “ที่เ้าถามข้าที่ตลาดเื่ผู้คนในหมู่บ้านชุนเทียนกับชะตาที่น่าเศร้าของพวกเค้า ข้าเห็นอย่างที่เ้าเห็น และข้าก็คิด และรู้สึกเหมือนที่เ้ารู้สึก ไม่ต่างกัน ข้า เ้าวั่งซู หวังว่าวันนึงข้าจะสามารถหาทางล้างคำสาบให้ผู้คนและหมู่บ้านต้องสาปแห่งนี้ให้คืนกลับมาเป็ปกติสุข ได้คืนความบริสุทธิให้ท่านปู่ทวดเ้าวั่งซูและตระกูลเ้า และข้าจะคิด ข้าจะทำ แต่ในสิ่งที่ดี เพื่อที่ให้ตัวข้าได้จดจำตัวเองในทางที่ดี เพื่อที่ว่าเวลาที่จากโลกนี้ไป และมองย้อนกลับมา ข้าจะไม่มีเื่ใดที่น่าละอายหรือเสียใจเลย” เ้าวั่งซูกล่าวทุกคำที่ฮวาเฟยฟาพูดไว้ก่อนเสร็จ ก็ส่งยิ้มให้ฮวาเฟยฟาที่ยืนอยู่ตรงข้าม
“ข้า ฮวาเฟยฟา ก็จะขออยู่เคียงข้าง และช่วยให้คำอธิษฐานของเ้าวั่งซูเป็จริง ไม่มีวันจากไปไหน” ฮวาเฟยฟายิ้มกลับ
หลิ่งกวางส่งแสงสีแดงไปที่โคมลอยสลักคำว่า “สมหวัง” ชิงหลงส่งแสงสีขาวไปที่โคมลอยสลักคำว่า “ชั่วนิรันดร์”
“ขอให้เราทั้งสี่ได้ ร่วมเดินทาง ทำความหวังทั้งหมดให้สำเร็จ และไม่พรากจากกัน ชั่วนิจนิรันดร์” เ้าวั่งซูและฮวาเฟยฟาพูดพร้อมกันพร้อมการพยักหน้าของทั้งหลิ่งกวางและชิงหลง สิ้นเสียง มือทั้งสอง และ ปลายปากทั้งสอง ก็ปล่อยโคมลอยต้นวั่งเฟยลอยเจิดจรัสดุจดวงไฟที่ไม่มีวันมอดดับ ลอยขึ้นสู่ฟ้าสู้แสงดารา ทั้งสี่นั่งลงใต้ต้นวั่งเฟย และมองโคมวั่งเฟยติดไฟที่ค่อยๆ ลอยสูงไกลออกไป การเดินทางอีกยาวไกล ความหวังที่ต้องทำให้สำเร็จ และมิตรภาพของทั้งสี่ที่จะพันผูกหนักแน่นดั่งการยืนต้นหยั่งรากของต้นวั่งเฟย และสว่างไสวโชติ่ดั่งแสงจากโคมวั่งเฟยชั่วนิจนิรันดร์