เซี่ยเสี่ยวหลานสอบเสร็จด้วยตนเอง และกลับบ้านอย่างเงียบๆด้วยตนเองเช่นกัน
เธอสวมเสื้อผ้าชุดใหม่ คนในครอบครัวกลับใส่ชุดเก่าเซี่ยเสี่ยวหลานจึงไปซื้อผ้าจำนวนหนึ่งที่สหกรณ์ เตรียมนำกลับบ้านไปตัดเสื้อผ้า ปัจจุบันนี้คนในชนบทล้วนตัดเสื้อผ้าใส่เองสาวน้อยสาวใหญ่ก็มีทักษะนี้กันทั้งนั้น ซื้อผ้ามาตัดชุดประหยัดเงินทองให้ได้มากที่สุด มีน้อยคนนักที่จะไปซื้อเสื้อผ้าสำเร็จรูปเมื่อก่อนแม้แต่ผ้ายังต้องใช้ตั๋วซื้อ ไม่มีตั๋วผ้ามีเงินมากเท่าไรก็ซื้อผ้าไม่ได้อยู่ดี... ครอบครัวที่สามีภรรยามีรายได้สองทางยังไม่ฟุ่มเฟือยถึงขนาดอยู่ดีๆก็ตัดเสื้อผ้าให้คนทั้งบ้าน เนื่องจากสภาพคล่องทางเศรษฐกิจไม่เอื้ออำนวยและสะสมตั๋วผ้าจำนวนมากขนาดนั้นไม่ได้
ตอนนี้ดีขึ้นแล้ว มณฑลอวี้ได้ทยอยยกเลิกตั๋วประเภทต่างๆ
ที่ไหนยังไม่ยกเลิกก็ไม่เข้มงวดมากนักไม่มีตั๋วผ้าก็สามารถซื้อผ้าได้ เพียงแต่ราคาจะต้องสูงหน่อยเซี่ยเสี่ยวหลานไม่ได้ซื้อพวกผ้าไหมผ้าต่วนที่สีสันฉูดฉาด มิใช่เพราะดูหรูหราไปแต่เพราะใช้งานไม่สะดวกในชนบทผ้าม่อฮ่อมที่เกษตรกรและคนงานใส่กันทั่วไปราคาเพียงเมตรละ 1.9 หยวน ผ้าทอลายทแยงที่ทอผสมขนสัตว์ราคาแพงกว่าผ้าม่อฮ่อมถึง 2 เหมา เซี่ยเสี่ยวหลานขนผ้ากองหนึ่งกลับบ้านไม่มีใครถามเธอเื่การสอบตามคาด เอาแต่บ่นว่าเธอใช่เงินซี้ซั้ว
ไม่กล้าถามน่ะสิ
เพราะกลัวว่าจะทำลายความตั้งใจของเซี่ยเสี่ยวหลาน
หลิวหย่งเคยปรึกษากับหลิวเฟินเป็การส่วนตัวแล้ว
“เสี่ยวหลานอยากเรียนหนังสือ ไม่เช่นนั้นให้หลานเรียนั้แ่ปีหนึ่งดีไหม? ค่าเรียนค่าใช้จ่าย น้องไม่ต้องกังวลมีลุงอย่างฉันคอยสนับสนุนอยู่ทั้งคน!”
หลิวเฟินไม่อยากใช้เงินของพี่ชายส่งลูกสาวเรียนหนังสือเท่าไรนัก
“ธุรกิจที่เสี่ยวหลานทำอยู่ ฉันจะเรียนรู้ไว้ ต่อให้เธอไปเรียนแล้วฉันก็สามารถไปทำงานเพื่อส่งลูกเรียนได้”
เธอทำธุรกิจไม่เก่งกาจเท่าเซี่ยเสี่ยวหลาน
ธุรกิจปลาไหลอะไรนี่ ต่อให้ตีหลิวเฟินจนตายเธอก็หาช่องทางธุรกิจอย่างบ้านพักรับรองไม่ได้แน่ พบกับโอกาสเหมือนๆ กันทว่าอุปนิสัยจะติดสินชะตาชีวิตแม้เถ้าแก่หูขายบะหมี่ปลาไหลจะบอกวิถีทางหาเครือข่ายให้หลิวเฟินแล้วหลิวเฟินก็ไม่กล้าซื้อบุหรี่เป็คอตตอนไปพบคนจัดซื้อหูหย่งไฉประจำบ้านพักรับรองอยู่ดี
แต่หลิวเฟินคิดว่าเธอพอทำงานอย่างการขายกากน้ำมันได้สองสามวันนี้เธอฝึกขี่จักรยานจนเป็แล้ว แม้จะล้มจนมือเขียวเท้าม่วงทว่าแรงกายของเธอมีมากกว่าเซี่ยเสี่ยวหลาน จึงไม่มีปัญหาหากหนึ่งรอบจะขนเพิ่มสัก 100 ชั่ง แค่ธุรกิจกากน้ำมันก็รับรองชีวิตของสองแม่ลูกได้สบายหายห่วงแถมยังสะสมเงินค่าเล่าเรียนและค่าใช้จ่ายประจำวันให้แก่เซี่ยเสี่ยวหลานได้อีกด้วย
ทั้งร่างของหลิวเฟินกำลังเปล่งประกายด้วยแสงสว่างแห่งความหวัง
ไม่ว่ายุคเก่าหรือยุคปัจจุบัน ไม่ว่าสังคมตอนนี้เปลี่ยนแปลงไปอย่างไรทว่าแม้แต่เกษตรกรที่ไร้ทัศนะที่สุดยังรู้ดีว่าการเรียนคือเส้นทางที่ถูกที่ควรยิ่งยากจนยิ่งต้องเรียนหนังสือ การเรียนจะทำให้หลุดพ้นจากความยากจนและตั้งตนให้มั่งคั่งเปลี่ยนจากคนบ้านนอกกลายเป็คนเมือง คือสัจธรรมที่ไม่เคยแปรผันั้แ่โบราณกาลจวบจนถึงวันนี้
เซี่ยเสี่ยวหลานไม่เื่มากในการกินอยู่และแต่งตัว ทุกวันเธอแค่จัดการดูแลร่างกายให้สะอาดสะอ้านแต่ไม่พิถีพิถันทำอะไรกับรูปลักษณ์ของเธอ
ชั่วข้ามคืนได้เติบโตขึ้น เข้าใจการพยายามพัฒนาตนครั้งนี้สอบไม่ติด ก็ค่อยเริ่มเรียนจากมัธยมปลายปีหนึ่งก็ได้... เซี่ยเสี่ยวหลานเพิ่งอายุ 18 เรียนมัธยมปลายสามปีก็อายุแค่ 21 ปี พวกที่สอบหลายปีแล้วตกอันดับพวกที่ทำงานหลายปีแล้วร่วมสอบเกาเข่า พวกที่เดิมทีการเรียนโดนถ่วงรั้งเพราะต้องเลี้ยงดูครอบครัวและตั้งใจจะสอบมหาวิทยาลัยไม่ว่าคนไหนล้วนอายุมากกว่า 21 ปีทั้งนั้น
เซี่ยจื่ออวี้อายุ 20 ปีถึงสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้จือชิงหวังเจี้ยนหัวผู้เข้าเรียนพร้อมเธอก็อายุ 25 ปีถึงสอบเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้
การที่เซี่ยเสี่ยวหลานเรียนมัธยมปลายจบตามเกณฑ์ก่อนค่อยสอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ถือว่าสายไปเลยแม้แต่น้อย
คำพูดเหล่านี้ สองพี่น้องไม่มีทางกล่าวกับเซี่ยเสี่ยวหลาน กลัวว่าจะเป็การเพิ่มความกดดันให้กับเธอแถมหลิวหย่งได้ไปหาเฉินวั่งต๋าเป็การส่วนตัวอยู่หลายคราเื่ราวกลายเป็ว่าบังเอิญเกิดในวันเดียวกันพอตีสี่หลิวหย่งก็ไปส่งปลาไหลในเมืองซางตูแทนเซี่ยเสี่ยวหลานตอนเช้ารีบกลับมาและออกไปหมู่บ้านต้าเหอกับเฉินวั่งต๋า
เฉินวั่งต๋าไหว้วานคนในตัวเมืองให้ช่วยเหลือย้ายทะเบียนบ้านของเซี่ยเสี่ยวหลานและหลิวเฟินออกจากหมู่บ้านต้าเหอทำเื่อาศัยในหมู่บ้านชีจิ่งอีกครั้ง—หญิงชราเซี่ยตั้งใจโวยวาย ทว่าเซี่ยต้าจวินกลับทำตัวผิดปกติ เขาสนับสนุนสองแม่ลูกย้ายทะเบียนบ้านเื่การหย่าทำให้เซี่ยต้าจวินสูญเสียหน้าตาและศักดิ์ศรีเขาจึง้าตัดขาดความสัมพันธ์กับสองแม่ลูกโดยสมบูรณ์
เซี่ยเสี่ยวหลานเข้าสอบที่เซี่ยนอีจงจนถึงบ่ายสองโมงจากนั้นเธอก็ไปซื้อผ้าแล้วค่อยเดินทางจากเขตอันชิ่งกลับมาเลยถึงบ้านช้ากว่าหลิวหย่งไปหนึ่งก้าว
หลิวหย่งได้สาธยายเื่ย้ายทะเบียนบ้านสำเร็จกับกับหลี่เฟิ่งเหมยรวมถึงรายละเอียดอีกเล็กน้อย ขณะกำลังย้ายทะเบียนบ้านเขาก็ไม่กล้าหลุดปากเื่เซี่ยเสี่ยวหลานอยากเรียนหนังสือเพราะกลัวว่าคนตระกูลเซี่ยจะเล่นสกปรกอีก
ในปี 83 ระบบภูมิลำเนาประกอบด้วยระบบเล็กๆน้อยๆ ยิบย่อยเหลือเกิน ไม่ว่าทะเบียนบ้านของเซี่ยเสี่ยวหลานอยู่ที่ไหนเมื่อเธอออกไปอยู่ข้างนอกก็จำเป็ต้องใช้ใบรับรองแนะนำจากคณะกรรมการหมู่บ้านที่ทะเบียนบ้านตั้งอยู่ถ้าไม่มี ‘จดหมายแนะนำ’ เซี่ยเสี่ยวหลานไม่สามารถเข้าเรียน ไม่สามารถแต่งงานและไม่สามารถจากภูมิลำเนาเดิมไปที่อื่นได้
ของแบบนี้ถ่วงเส้นทางชีวิตของเซี่ยเสี่ยวหลานเอาไว้ชัดๆถึงแม้จะมิใช่ว่าแก้ไขไม่ได้ แต่อย่างไรก็เป็เื่ยุ่งยากน่ารำคาญทว่าตอนนี้ย้ายทะเบียนลงหมู่บ้านชีจิ่งแล้วเธอจึงไม่ต้องโดนเอารัดเอาเปรียบจากตระกูลเซี่ยอีกต่อไปเมื่อเซี่ยเสี่ยวหลานกลับมาจากการสอบ สิ่งที่รอเธออยู่ก็คือข่าวดีข่าวนี้
เพื่อเป็การตอบแทนเซี่ยเสี่ยวหลานเลยรีบแบ่งปันข่าวดีของตนให้ครอบครัวเช่นกัน
“ฉันคิดว่าข้อสอบไม่ได้ยากเกินไป ตัวฉันก็พอทำได้อยู่จ้ะ”
ป้าสะใภ้รับผ้าในมือไป ปากบ่นว่าเธอฟุ่มเฟือยไม่หยุดและไม่เชื่อความคาดหมายที่ดีในการสอบของเธอเลยแม้แต่ครึ่งส่วน
“ในเมื่อหลานสอบเสร็จก็บอกการวางแผนของคนในบ้านให้หลานได้แล้วลุงหลานกับแม่หลานเห็นด้วยกับการส่งหลานไปเรียนหนังสือ เริ่มเรียนจากปีหนึ่งเสียสู้จนสามปีข้างหน้าสามารถสอบติดมหาวิทยาลัยได้... ไม่ขอให้หลานเรียนถึงปริญญาตรีหรอกแค่เรียนวิชาชีพก็เป็เื่ที่น่ายินดีสุดๆ แล้ว! ลุงของหลานกำลังวอแวลุงต๋าอยู่ เส้นสายลุงเขานี่ไม่ต้องพูดถึงตอนไปย้ายทะเบียนให้หลานที่หมู่บ้านต้าเหอ หัวหน้าจากเขตอะไรนั่นก็ไปด้วยกันแม้แต่หัวหน้าหมู่บ้านต้าเหอยังเกรงใจเลย”
มีเพียงแม่เฒ่าเซี่ยที่ถือเื่ความสัมพันธ์ทางสายเืโวยวายใหญ่โตเสียหน้าไม่อาย
เปิดปากทีก็เอาแต่พูดว่าเซี่ยเสี่ยวหลานคือหลานสาวของเธอหลิวเฟินหย่าแล้วอย่าคิดจะพาคนตระกูลเซี่ยไปด้วยยังพูดอีกว่าหลิวหย่งเป็คนชั่วขายน้องสาวหลิวเฟินกลับไปบ้านอยู่บ้านแม่ไม่กี่วันก็หาสามีใหม่ให้น้องสาวแล้ว... ด่าทอเสียระคายหูเป็ที่สุดหลี่เฟิ่งเหมยได้ฟังรายงานเข้าก็จินตนาการภาพเหตุการณ์ออกเลยทีเดียว
โชคช่วยที่เซี่ยเสี่ยวหลานไปเข้าสอบหลิวเฟินเองก็ยุ่งกับการไปรับซื้อของที่หมู่บ้านอื่น
สองแม่ลูกไม่ต้องไปเยือนหมู่บ้านต้าเหอไม่อย่างนั้นต้องเกิดมหันตภัยขึ้นบ้างไม่มากก็น้อยเป็แน่หญิงชราเซี่ยไม่ได้เสียดายเซี่ยเสี่ยวหลานเลยสักนิดเดียวเดิมทีเธอเกลียดหลานสาวคนนี้เข้าไส้ เธอเพียงเดือดดาลที่หลิวเฟินกล่าวเื่หย่ารู้สึกว่าตระกูลเซี่ยเสียหน้า เธอจึง้าหาเื่ให้คนอื่นแย่ไปด้วย เช่นนั้นจะต่อกรกับหลิวเฟินอย่างไร? เซี่ยเสี่ยวหลานคือชีวิตของหลิวเฟิน แม่เฒ่าเซี่ยชักดิ้นชักงอลงกับพื้นอยากทำให้หลิวหย่งยอมแพ้ แม้เพียงสักเล็กน้อยเธอก็พอใจถ้าไม่มีผู้บริหารของเขตอยู่ด้วย เธอคงไม่ยอมให้หลิวเฟินกับลูกสาวย้ายทะเบียนบ้าน—และต่อให้อีกหน่อยหลิวเฟินจะแต่งงานใหม่เซี่ยเสี่ยวหลานก็ห้ามเปลี่ยนแซ่!
เธอแค่สะอิดสะเอียนสองแม่ลูกคู่นี้ หลิวหย่งเองก็ถูกเธอเกลียดจนแทบทนไม่ได้
อย่างไรเสียในตอนนั้นทุกคนล้วนไกล่เกลี่ยให้หลิวหย่งถอยสักก้าวเขาจึงตัดสินใจตกลงเงื่อนไขนี้ด้วยตนเอง
เขารู้สึกผิดกับหลานสาว หลี่เฟิ่งเหมยกล่าวถึงก็กระสับกระส่ายแต่เซี่ยเสี่ยวหลานกลับไม่ใส่ใจเท่าไรนัก
“แซ่อะไรไม่สำคัญหรอก ฉันก็ใช้ชื่อนี้จนชินแล้ว”
เธอแซ่เซี่ย แต่ไม่ใช่แซ่ตามเซี่ยต้าจวิน แซ่สกุล ‘เซี่ย’ หรือแม้แต่ชื่อ ‘เซี่ยเสี่ยวหลาน’ นี้ล้วนเป็ร่องรอยในชาติก่อนของเธอไม่มีความเกี่ยวข้องใดกับตระกูลเซี่ยเลยแม้แต่นิดเดียว
เซี่ยเสี่ยวหลานไม่อยากใส่ใจความคิดไร้ศีลธรรมของหญิงชราเซี่ยด้วยซ้ำและเธอก็ไม่เถียงกับหลี่เฟิ่งเหมยคนในครอบครัว้าให้เธอเริ่มเรียนั้แ่มัธยมปลายปีหนึ่งเซี่ยเสี่ยวหลานคิดว่าเสียเวลา เธอเชื่อว่าตนเองสามารถสอบได้มากกว่า 350 คะแนนแน่นอน ผลประกาศของโรงเรียนมาถึงเมื่อไร ทุกคนในบ้านย่อมได้รู้กันเอง
“ป้าจ้ะ ผ้าอยู่ตรงนี้นะ จะตัดเสื้ออะไรก็ให้ป้าตัดสินใจเลยฉันมีเสื้อผ้าใหม่แล้ว ส่วนนี้เอาไว้ให้ทั้งสี่คนนะ”
พอพูดถึงเื่นี้เข้าหลี่เฟิ่งเหมยก็เอามือทาบอกพร้อมบอกว่าเธอฟุ่มเฟือยอีกแล้วเซี่ยเสี่ยวหลานจึงได้หัวเราะเ้าเล่ห์ออกมา