ซ่งเหม่ยอวิ๋นเป็เพียงเพื่อนโง่ที่ไร้ประโยชน์ หลี่เสวี่ยหรูส่ายหน้าพลางคิดว่าเื่นี้เธอคงต้องพึ่งพาตนเองเสียแล้ว
ซ่งเหม่ยอวิ๋นยังคงเสนอความคิดแย่ๆ อย่างต่อเนื่อง “หรือไม่...หรือไม่พี่ก็ตกลงไปในแม่น้ำแล้วให้พี่รองมาช่วยพี่ดีไหม?”
หลี่เสวี่ยหรูพยายามอดทนไม่กลอกตาใส่อีกฝ่าย เธอกล่าวไปว่า “ฉันถึงบ้านแล้วเื่นี้ไว้ค่อยคุยกันทีหลังนะ” จากนั้นเธอก็เข้าบ้านของตนเองไปโดยไม่มีคำอธิบายใดๆ แก่ซ่งเหม่ยอวิ๋น
ซ่งเหม่ยอวิ๋นอยากรั้งเธอเอาไว้ก่อนแล้วคุยกันอีกรอบ แต่พอเห็นหลี่เสวี่ยหรูเข้าบ้านไปแล้ว เธอก็ได้แต่จำต้องเดินออกจากประตูบ้านของหลี่เสวี่ยหรูและตรงกลับบ้านของตนเองด้วยความเสียดาย
เธอไม่ใช่คนประเภทที่จะซ่อนสิ่งต่างๆ ไว้ในใจได้ เมื่อเธอเจอหวังซิ่วอิง เธอก็พุ่งเข้าไปคว้าแขนเสื้อของมารดาอย่างตื่นเต้น “แม่ มิใช่ว่าแม่อยากได้พี่เสวี่ยหรูมาเป็ลูกสะใภ้หรอกหรือ? วันนี้หนูมีแผนการที่ดีมากๆ ด้วยนะ”
หวังซิ่วอิงกำลังทำอาหารอยู่ในครัว เธอรู้สึกว่าซ่งเหม่ยอวิ๋นเกะกะขวางทางเธอเหลือเกิน นั่นจึงทำให้เธอดึงแขนเสื้อออกจากมือของซ่งเหม่ยอวิ๋น “ความคิดอะไร? แกคิดอะไรได้อีก?”
ซ่งเหม่ยอวิ๋นเดินตามตูดหวังซิ่วอิงพลางกล่าวว่า “แม้ว่าพี่รองจะตกลงหย่ากับซย่านีแล้วแต่หากซย่านีเกิดเสียใจแล้วเปลี่ยนใจไม่หย่าขึ้นมา เช่นนั้นการหย่าของพี่รองในครั้งนี้ก็คงไม่สำเร็จแล้วหรือเปล่า?”
หวังซิ่วอิงเหลือบตามองซ่งเหม่ยอวิ๋นแว็บหนึ่ง คิดไม่ถึงว่าเด็กสาวสมองทึบอย่างซ่งเหม่ยอวิ๋นคนนี้ จะคิดเื่นี้ได้ด้วยตนเอง
“ดังนั้นแล้ว หนูก็เลยคิดว่าพวกเรามาทำให้พี่รองกับพี่เสวี่ยหรูหุงข้าวสารให้กลายเป็ข้าวสุกให้มันรู้แล้วรู้รอดกันไปเลยเถอะ หากพี่รองไม่อยากหย่าก็จำต้องหย่า หากเขาไม่อยากแต่งพี่เสวี่ยหรูก็จำต้องแต่งกับเธอ”
“ทำข้าวสารให้กลายเป็ข้าวสุกเนี่ยนะ!” หวังซิ่วอิงหงุดหงิดทันที เธอหยิบตะเกียบขึ้นมาตีหลังซ่งเหม่ยอวิ๋นแล้วกล่าวว่า “นี่คือความคิดของหญิงสาวที่ยังไม่ได้แต่งงานหรือไง!”
“โอ๊ย แม่! แม่คะ!” ซ่งเหม่ยอวิ๋นร้องะโพลางเบี่ยงตัวหลบ “แม่อย่าเพิ่งโกรธสิคะ ฉันก็แค่บอกแผนการที่คิดไว้ให้แม่รู้ก็เท่านั้นเอง เชื่อฉันไหมล่ะ? ฉันว่าแผนนี้จะทำให้ซย่านีไม่เหลือทางให้เปลี่ยนใจได้อีก แถมยังจะสามารถทำให้พี่รองแต่งพี่เสวี่ยหรูได้อีกด้วยนะคะ?”
หลังจากที่หวังซิ่วอิงได้ระบายความโกรธกับซ่งเหม่ยอวิ๋นแล้ว เธอยืนเท้าเอวหอบแหกๆ พลางชี้หน้าซ่งเหม่ยอวิ๋น ผ่านไปสักพักหวังซิ่วอิงก็เริ่มสงบลง เมื่อเธอลองมานึกดูแล้วเธอก็เห็นด้วยกับคำพูดของซ่งเหม่ยอวิ๋นจริงๆ นั่นแหละ เธอรู้จักซ่งหานเจียงผู้เป็ลูกชายของเธอดี เขาเป็หนอนหนังสือและเป็คนหัวแข็งมากคนหนึ่ง ต่อให้เขาหย่ากับซย่านีอย่างราบรื่นแต่เขาก็ไม่มีทางยอมแต่งกับหลี่เสวี่ยหรูแน่นอน
นอกจากนี้สมัยเรียนซ่งหานเจียงก็เคยมีคนในใจอยู่คนหนึ่ง เธอยังได้ยินมาว่าคนในใจซ่งหานเจียงคนนี้สอบติดมหาวิทยาลัยปักกิ่งด้วยและตอนนี้หญิงสาวคนนั้นก็คือเพื่อนร่วมชั้นของซ่งหานเจียงนั่นเอง
แม้ว่าการมีลูกสะใภ้ที่เรียนมหาวิทยาลัยปักกิ่งจะเป็เื่ที่มีหน้ามีตามากในสังคม แต่ก็ยังเทียบไม่ได้กับผลประโยชน์ที่จะได้รับจากการแต่งงานกับหลี่เสวี่ยหรู ถึงอย่างไรพ่อของหลี่เสวี่ยหรูก็ใกล้จะได้ขึ้นเป็ผู้จัดการโรงงานเสื้อผ้าแล้ว นั่นย่อมสามารถช่วยแก้ปัญหาการงานของคนในตระกูลซ่งได้อย่างแน่นอน
หวังซิ่วอิงยังนึกกังวลอยู่ในใจ เธอเหลือบมองซ่งเหม่ยอวิ๋นพลางกล่าวว่า “เื่ที่แกพูดมาเมื่อครู่นี้...แกคิดว่าหลี่เสวี่ยหรูจะยอมไหม?”
ถึงอย่างไร เื่นี้ก็เกี่ยวข้องกับความบริสุทธิ์ของหญิงสาวที่ยังไม่ได้แต่งงาน
ซ่งเหม่ยอวิ๋นกล่าวว่า “วันนี้ฉันถามเธอมาแล้ว ถึงพี่เสวี่ยหรูจะดูลังเลเล็กน้อยแต่ฉันเดาว่าเธอคงสนใจบ้างแหละ แม่ไม่รู้หรอกพี่เสวี่ยหรูน่ะชอบพี่รองมาหลายปีแล้ว ตอนนั้นหากมิใช่เพราะพี่รองไปชนบทพี่เสวี่ยหรูก็คงสารภาพรักกับพี่รองไปแล้ว แม้ว่าต่อมาพี่รองจะแต่งงานแต่ในใจของพี่เสวี่ยหรูก็ไม่เคยหมดรักพี่รองได้เลย”
หวังซิ่วอิงเข้าใจดี แต่เื่นี้ย่อมต้องระมัดระวังเป็ปกติ
ซ่งเหม่ยอวิ๋นกล่าวต่อ “ฉันยังช่วยเสนอแผนการให้เธอด้วยนะ แต่พี่เสวี่ยหรูกลับไม่เห็นด้วยเท่าไหร่” พอพูดมาถึงตรงนี้ เธอก็เบะปาก
หวังซิ่วอิงถาม “แกเสนอแผนอะไรไป?”
“ก็แผนทำข้าวสารให้กลายเป็ข้าวสุกอย่างไรเล่า ฉันคิดว่า...”
ซ่งเหม่ยอวิ๋นพูดความคิดแย่ๆ ของตนเองออกมา เธอก็ถูกหวังซิ่วอิงทุบหลังทันที “ทำไมฉันถึงได้ให้คลอดคนโง่แบบแกออกมาด้วยนะ? ความคิดแย่ๆ แบบนี้ ฉันไม่เห็นด้วยหรอก!”
ซ่งเหม่ยอวิ๋นคิดไม่ถึงว่าแม่แท้ๆ ของตนจะไม่สนับสนุนตัวเอง จึงไม่พอใจขึ้นมา “แย่ตรงไหนกัน ฉันคิดว่าแผนนี้ดีมากเลยต่างหาก”
หวังซิ่วอิงจ้องไปทางซ่งเหม่ยอวิ๋นด้วยสีหน้าราวกับกำลังพูดว่า ‘แม่สาวคนนี้เกินเยียวยาแล้ว’ จากนั้นหวังซิ่วอิงก็กล่าวว่า “เอาล่ะ แกไม่ต้องยุ่งเื่นี้แล้ว ตอนเย็นแกเรียกหลี่เสวี่ยหรูมาที่บ้านเรา เดี๋ยวฉันจะเป็คนถามเธอเอง”
ซ่งเหม่ยอวิ๋นตอบกลับทันควัน “แม่ถือสิทธิ์อะไรมาไม่ให้ฉันยุ่งเื่นี้ เห็นอยู่ชัดๆ ว่าฉันเป็ตัวต้นคิด!”
หวังซิ่วอิงจิ้มหน้าผากซ่งเหม่ยอวิ๋นอย่างแรง “แกเป็ผู้หญิงที่ยังไม่ได้แต่งงาน แกจะมายุ่งอะไรด้วย? ถ้าแกอยากยุ่งเื่นี้มากนัก งั้นก็ได้ แต่แกไปแต่งงานมาก่อนแล้วค่อยว่ากัน!”
อีกด้านหนึ่ง ณ มหาวิทยาลัยปักกิ่ง
ตอนนี้เป็เวลา 16.50 น. ระฆังเลิกคาบเรียนเพิ่งจะดังขึ้น ศาสตราจารย์เฉินก็ปรากฏตัวที่หน้าห้องวิจัยแล้ว ในห้องวิจัยมีแค่ซ่งหานเจียงกับเหวินยางยางเพียงสองคน ตอนนี้เหวินยางยางกำลังขอคำชี้แนะบางอย่างจากซ่งหานเจียงอยู่ ชายหนุ่มมีสีหน้าจริงจังและเคร่งขรึมซึ่งเขากำลังถือปากกาขีดเขียนลงบนกระดาษ
ศาสตราจารย์เฉินเคาะประตูห้อง เหวินยางยางได้ยินก็หันหน้ากลับไปมอง พลางร้องอุทานอย่างใ “ศาสตราจารย์เฉิน?”
เมื่อซ่งหานเจียงได้ยินเสียงของเหวินยางยาง เขาก็วางปากกาลงแล้วหันหน้าไปทางด้านหลัง เขาพบว่าศาสตราจารย์เฉินกำลังยืนยิ้มอยู่ที่หน้าประตูห้องทดลอง
“เอาล่ะ เลิกทำงานได้แล้ว ถึงเวลากินข้าวแล้วนะ” ศาสตราจารย์เฉินเดินยิ้มเข้ามาในห้องวิจัย
ซ่งหานเจียงนึกถึงเื่ที่เขารับปากกับศาสตราจาย์เฉินไว้ตอน่เช้า เขาลุกยืนขึ้นแล้วหันไปพูดกับเหวินยางยางว่า “รอผมกลับมา แล้วผมค่อยสอนคุณก็แล้วกัน ตรงจุดนี้ไม่อาจอธิบายให้เข้าใจได้ในหนึ่งหรือสองประโยค...หรือไม่ก็รอศิษย์พี่หม่ากลับแล้ว คุณค่อยถามเขาก็ได้”
เหวินยางยางลุกขึ้นตามซ่งหานเจียง “นายจะไปไหน?” แต่ก่อนเวลานี้เธอจะเป็คนชวนซ่งหานเจียงไปกินข้าวด้วยกันแต่ซ่งหานเจียงก็ปฏิเสธตลอด หลายครั้งเธอจึงออกไปซื้ออาหารข้างนอก จำพวกซาลาเปากลับมาให้เขากินรองท้องด้วย
“โอ้ะ ผม...” ซ่งหานเจียงลังเลขึ้นมา แล้วมองไปทางศาสตราจารย์เฉิน
ศาสตราจารย์เฉินพูดด้วยรอยยิ้ม “หานเจียงจะไปกินข้าวที่บ้านผมเอง ยางยางคุณจะไปด้วยกันไหมล่ะ?”
เหวินยางยางส่ายหน้าอย่างรวดเร็ว “ไม่ค่ะๆ ศาสตราจารย์เฉิน ฉันมีนัดกับเพื่อนไว้แล้วค่ะ” หญิงสาวยังนับว่าสายตาแหลมคมมาก เธอรู้ดีว่าตนเองมีสถานะอย่างไรในใจศาสตราจารย์เฉินซึ่งมันแตกต่างจากซ่งหานเจียง ดังนั้นเธอจึงไม่กล้าพูดคุยสนิทสนมกับศาสตราจารย์เฉินมากเท่าใดนัก
ศาสตราจารย์เฉินพยักหน้ารับ “เอาล่ะหานเจียง พวกเราก็ไปกันเถอะ อาจารย์แม่ยังรอคุณอยู่นะ วันนี้เธอทำอาหารจานโปรดของคุณไว้โดยเฉพาะเลย”
ซ่งหานเจียงเดินเข้าไปหาผู้เป็อาจารย์ของตน ศาสตราจารย์เฉินเอามือพาดไหล่ของเขาไว้หลวมๆ ขณะเดินก็พูดไปพลางๆ ว่า “พี่สะใภ้กับอาจารย์แม่ของคุณอยู่พร้อมหน้ากันเลย ถึงตอนนั้นคุณสามารถขอคำชี้แนะเื่ความคิดของสตรีจากพวกเธอก็ได้นะ ไม่แน่ว่าคุณอาจจะค้นพบวิธีคืนดีกันก็ได้?”
ซ่งหานเจียงพยักหน้ารัวๆ “อืม ได้ครับ” จากนั้นเขาก็ถามต่อ “แล้วศิษย์พี่ล่ะครับ ศิษย์พี่อยู่บ้านด้วยไหม?”
“ศิษย์พี่ของนายย่อมต้องอยู่บ้านอยู่แล้ว วันนี้ผมโทรไปที่สถานบันวิจัยของเขาโดยเฉพาะเพื่อบอกให้เขากลับมาทานข้าวเย็นที่บ้านวันนี้ให้ได้”
“จะไม่ทำให้งานของศิษย์พี่ล่าช้าใช่ไหมครับ?”
“ไม่หรอก เวลากินข้าวแค่มื้อเดียวจะไปล่าช้าอะไรกันเล่า?” ศาสตราจารย์เฉินตบไหล่ซ่งหานเจียงแล้วกล่าวว่า “งานไม่ได้สำคัญเท่าเื่แต่งงานที่ส่งผลชั่วชีวิตของคุณหรอกนะ”
เหวินยางยางแอบตามอยู่ด้านหลัง จึงได้ยินเื่ที่พวกเขาสองคนคุยกันทั้งหมด
หมายความว่าอะไรกันนะ? ซ่งหานเจียงกับซย่านีทะเลาะกันหรือ?
เมื่อได้ฟังเพียงเท่านั้น หัวใจของเหวินยางยางก็เหมือนบีบรัดขึ้นมา มือของเธอกำแน่นอย่างควบคุมไม่อยู่
