ผีสาวถูกสายตาของหลินลั่วหรานทำเอาสั่นสะท้านไปทั้งร่างเธอไม่เพียงแต่สวมชุดสีแดงไปทั้งตัว แต่ท่าทางของเธอเองก็เปลี่ยนไปมาก เปลวไฟเล็กๆขยับสั่นไหวอยู่ในมือของเธอระหว่างคิ้วของหลินลั่วหรานเองก็ปรากฏรอยสัญลักษณ์รูปนกฟีนิกซ์ขึ้นจางๆ
“เ้านี่ไม่รู้จักอายเอาเสียเลยเมื่อก่อนก็ถือว่าเป็นักรบหญิง แต่ยังจะมาแสร้งใช้ชื่อของท่านเทพป๋ายใช้โอกาสที่จิตใจของเธอกำลังโอนอ่อนเข้ามาแย่งชิงร่างของข้า”
ผีสาวส่งเสียงออกมาจากลำคอ “ข้าไม่ได้แสร้งแกล้งใช้ชื่อของใครตัวข้าเองก็สกุลป๋าย และก็มีชื่อเรียกเป็เทพ แล้วมันมีตรงไหนที่ผิดไปกันเล่า?”
สกุลป๋ายเช่นกัน เ้าสาวที่ประดับ “เจาเสวี่ย” ในรูปคนนั้น อีกทั้งยังมีหน้าตาเหมือนกับท่านเทพป๋ายไม่มีผิดเพี้ยนละครประโลมโลกที่หลินลั่วหรานดูมาั้แ่เด็ก ดูเหมือนจะไม่ไร้ค่าเสียแล้วเพราะมันทำให้เธอรู้ว่าบนโลกนี้มีสิ่งที่เรียกว่า “ฝาแฝด” อยู่
หรือว่า ผู้หญิงคนนี้จะเป็แฝดพี่หรือแฝดน้องของท่านเทพป๋าย?
หลินลั่วหรานเยือกเย็นขึ้น เธอไม่รู้ว่าใครคือเ้าสาวบนรูปภาพนั่นแต่ว่ามันเกี่ยวอะไรกับเธอกันล่ะ? ด้วยนิสัยของหลินลั่วหรานเธอนั้นแยกแยะเื่บุญคุณและความเกลียดชังเอาไว้อย่างชัดเจนมาตลอดแม้วันนี้ท่านเทพป๋ายจะอยู่ที่นี่ และ้าร่างของเธอโดยไม่สนใจในความสัมพันธ์หลินลั่วหรานก็สามารถทำให้เธอหายไปโดยไม่รู้สึกอะไรได้เช่นกัน แล้วเธอจะคิดมากอะไรกับคนที่เป็เพียงแค่แฝดล่ะ
“การกระทำเลวทรามแล้วยังจะกล้าเรียกว่าตัวเองเป็เทพวันนี้ข้าจะทำให้เ้าสลายหายไป ไม่มีโอกาสได้ใช้เวทย้ายจิตอีกไปตลอดกาล!”
เปลวไฟแห่งจิตความคิดลุกโชนอยู่บนมือของเธอ ก่อนจะค่อยๆ กลายเป็ธนูหลินลั่วหรานที่อาบไฟเกิดขึ้นมาใหม่อีกครั้ง จึงมีความเข้าใจในไฟเป็อย่างดีเธอลองใช้ไฟแห่งจิตความคิดในการใช้เวทหนึ่งในเวททั้งห้าอย่าง “เวทธนูไฟ”
เปลวไฟแห่งจิตความคิดรวมตัวกันบนฝ่ามือของเธอ เธอดูดกลืนมันเอาไว้หมดแล้วเปลวไฟจึงไม่รับฟังคำสั่งของผีสาวอีกต่อไป แต่เป็สกุล “หลิน” ที่มันรับคำสั่ง ดังนั้นในตอนที่มันขยับออกตัวทั่วทั้งแหล่งรับรู้จึงตอบรับไปกับมัน
ในสถานที่เล็กๆ ไร้ซึ่งต้นไม้ใบหญ้า กลายเป็ทะเลเพลิงไปทั่วเปลวไฟในมือของหลินลั่วหรานกลายเป็ธนู โดยใช้เวทในการปล่อยออกไปและส่งผลให้ทั่วทุกบริเวณกลายเป็ทะเลเพลิง...ราวกับพวกมันมีอยู่ั้แ่แรกเพียงแต่กำลังหลับใหล และเพิ่งจะตื่นขึ้นมาในตอนนี้
ผีสาวเหยียดรอยยิ้มออกมา จิตความคิดกลายเป็หยาดฝน ภายในฝนห่าใหญ่นั้นทะเลเพลิงก็ค่อยๆ มอดดับลงด้วยความเร็วที่สามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่า
หลินลั่วหรานยิ้มขึ้นมาบางๆ และไม่ได้ร้อนใจอะไร เมื่อเธอขยับมือทะเลเพลิงก็ขยายออกมาอีกครั้ง ก่อนจะทำให้หยาดน้ำฝนระเหยออกไปจนหมดเมื่อน้ำเจอกับไฟก็กลายเป็ไอ ทำให้ทั่วทั้งแหล่งรับรู้ราวกับกำลังแช่อยู่ในไอน้ำเหนอะหนะไปด้วยเหงื่อจนยากที่จะทนไหว
การต่อสู้ของผีสาวและหลินลั่วหรานต่างก็ใช้จิตความคิดในการต่อสู้แม้ว่าจะไม่ใช่เวทแท้จริง แต่ความรู้สึกที่ประทับลงในจิติญญานั้นกลับชัดเจนกว่าเวทที่ร่างกายได้รับเสียอีก ในตอนนั้นผีสาวจึงทรมานขึ้นมา
ในชีวิตการฝึกศาสตร์ของเธอ ตอนนี้มีเพียงจิติญญาที่ยังคงเหลืออยู่ไม่อย่างนั้นเพียงแค่เธอตวัดปลายนิ้วก้อยออกไปก็สามารถทำให้เด็กน้อยที่ยังไม่ถึงระดับพื้นฐานคนนี้ตายได้ง่ายๆยิ่งถูกจำกัดอยู่ในแหล่งความคิด เธอก็ยิ่งอยากมีเรือนร่างเป็ของตัวเองมากขึ้น
หลินลั่วหรานไม่มีเวลามาใส่ใจกับความคิดของเธอในตอนนี้ตัวของเธอรวมเข้ากับแหล่งรับรู้ ในพื้นที่แห่งนี้พลังการควบคุมของหลินลั่วหรานได้เดินทางมาถึงจุดสูงสุดแล้ว
มือซ้ายของเธอจับคันธนูมั่นมือขวาดึงสายธนูออก แขนของเธอชักออกไปด้านหลัง ลูกธนูพร้อมที่จะพุ่งตรงออกไป
เธอสงบใจของตัวเองลงแม้แต่เป้าเธอก็ไม่้าใช้ หลินลั่วหรานมั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าลูกธนูวิเศษที่สร้างขึ้นมาจากไฟแห่งจิตความคิดนี้จะต้องยิงถูกผีสาวอย่างแน่นอน
ผีสาวกรีดร้องออกมาก่อนที่ตัวของเธอจะหายไป เสียงของเธอดังมาจากทั่วทุกสารทิศ
“ตัวข้ารู้ความลับที่พวกนักปราชญ์มือดีระดับแยกจิตหายไปเ้าไม่อยากจะรู้อย่างนั้นหรือ?”
กำลังยั่วยวนเธอเหรอ?
หลินลั่วหรานยิ้มออกมาจนตาหยีแน่นอนว่าเธอต้องอยากรู้เื่ความลับนี้ แต่ว่าเมื่อเทียบกันกับชีวิตของเธอแล้วความลับยิ่งใหญ่ขนาดไหนก็ไม่อาจเทียบกับการที่เธอจะต้องหายไปได้หรอก...
“หวืด” ลูกธนูถูกปล่อยออกไป มันยิงออกไปยังจุดหนึ่งในแหล่งรับรู้ที่นั่นคือทะเลเพลิงผืนหนึ่ง เมื่อลูกธนูไฟพุ่งเข้าไป ชุดสีขาวก็ปลิวตกลงมาและนั่นก็คือผีสาวสวมชุดขาวที่หลบหายไป
เธอใกลัวจนหยุดพูดดูเหมือนว่าจะมีบางอย่างที่เธออยากบอกกับหลินลั่วหรานแต่ยังไม่ทันได้พูดออกมาก็ถูกธนูยิงเข้าใส่เสียก่อนเธอกลายเป็หมอกควันสีขาวต่อหน้าหลินลั่วหราน และล่องลอยอยู่กลางทะเลเพลิงจนหายไปในที่สุด
หลินลั่วหรานลดธนูลงเธอรู้สึกว่าจิตความคิดของตัวเองนั้นเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าความเยือกเย็นในแววตาของหลินลั่วหรานหายไป เธอมองไปยังจิตความคิดของตัวเองแม้ว่าจะเหนื่อยล้า แต่ก็มั่นคงไม่น้อย?
หรือว่าการต่อสู้อย่างเอาเป็เอาตายครั้งนี้จะทำให้จิตความคิดของเธอขยายออก?
เมื่อััได้ถึงความรู้สึกของร่างกายอีกครั้งก็ทำให้เธอสบายใจขึ้นมาแม้ว่าจะมีข้อดี แต่การเสี่ยงชีวิตกับจิตความคิดแบบนี้เธอก็ไม่อยากให้มีครั้งที่สองอีกแล้ว
เธอขยับแขนขาก่อนจะลืมตาขึ้น และพบว่าตัวเองอยู่ในพื้นที่ลึกลับ เธอก็รู้สึกดีใจขึ้นมาโชคดีที่ผีสาวคนนั้นหายไปแล้วไม่อย่างนั้นความลับของพื้นที่ลึกลับของเธอก็คงจะปิดเอาไว้ไม่อยู่
แต่ว่าภายในพื้นที่ลึกลับเงียบเชียบเกินจะอธิบายแล้วเสียงหั่วเฟิ่งที่เรียกให้สติของเธอกลับมานั้น เกิดขึ้นได้อย่างไร?
หลินลั่วหรานมองไปยังเจาเสวี่ยที่ถูกวางเอาไว้บนเสื่อก่อนจะสงสัยขึ้นมาหรือว่าจะเป็พวกมัน?
เธอมองไปยังสมุนไพรที่ระเนระนาดทั่วทั้งพื้นที่ราวกับถูกใครเหยียบย่ำจนเละเทะ พวกสมุนไพรเองก็พังพินาศไปหมดหลินลั่วหรานอยากจะไปจัดการมันเสียตอนนี้ แต่ก็ไม่รู้ว่าเข้ามาที่นี่นานแค่ไหนแล้วและเธอก็ไม่ได้มาคนเดียว จึงไม่อาจอยู่ที่นี่ได้นานนัก!
หลังจากทำศึกใหญ่ไปเธอก็สูญเสียความหนักแน่นมั่นคงที่เคยมีอย่างปกติเธอจึงออกมาจากพื้นที่ลึกลับทั้งอย่างนั้น...เอ๋ อะไรกันที่กำลังเต้นตึกตักอยู่นี่?
....
เหวินกวนจิ่งขึ้นมาจากสระน้ำเขามองไปยังโลงคริสตัลใสที่เหลือเพียงไข่มุกเม็ดเล็กผีสาวทำการย้ายจิตพาร่างของหลินลั่วหรานหายไปแล้ว!
เขาคิดอยู่นานแต่ก็ยังไม่รู้ว่าคือเวทมนตร์อะไรจึงได้แต่พาร่างที่เปียกชุ่มไปด้วยหยดน้ำมาก้มลงเก็บเม็ดไข่มุกขึ้นมา
หากหาหลินลั่วหรานไม่พบแล้วจริงๆ ในความคิดของเขาไข่มุกที่เธอใส่ติดตัวตลอดเวลาเม็ดนี้ ก็นับว่าเป็ของที่ทำให้ระลึกถึงเธอได้อย่างไรก็ควรจะเก็บเอาไว้ให้ดี แล้วนำกลับไปให้ครอบครัวของเธอ
ดูเหมือนว่าไข่มุกจะยังคงมีกลิ่นหอมของตัวเ้าของติดอยู่แต่ว่าตัวสาวสวยคนนั้นกลับหายไปอย่างไร้ร่องรอยแม้ว่าเหวินกวนจิ่งจะมากด้วยประสบการณ์แค่ไหนแต่บรรยากาศแบบนี้ก็ทำให้เขาเศร้าสลดขึ้นมา
เหวินกวนจิ่งยืนนิ่งอยู่แบบนั้นสักพักความเงียบเหงาปรากฏขึ้นมา และในตอนที่เขากำลังจะจัดการเก็บไข่มุกนั้นลงไปให้เรียบร้อยอยู่ๆ เขาก็รู้สึกว่ามือของเขาหนักขึ้นมาเสียเฉยๆก่อนที่ร่างของใครคนหนึ่งจะปรากฏขึ้นในอ้อมแขนของเขาภายในพริบตา
ความหนักอึ้งที่เกิดขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัว ทำเอาเขาเกือบล้มลงไปร่างของเขาถลาไปด้านหน้า ทำให้เข้าใกล้อีกฝ่ายมากยิ่งขึ้น
กลิ่นหอมอ่อนๆถูกส่งออกมา กลิ่นหอมนี้คุ้นจมูกเป็อย่างมากเมื่อเขาหันไปมองก็พบใบหน้าขนาดเท่าฝ่ามือ คิ้วเข้มพอประมาณ ราวกับภาพวาดจากศิลปินชั้นสูงผิวพรรณขาวเนียน ดวงตาที่จ้องมองมาที่เขา เปล่งประกายราวกับดวงดาวในยามค่ำคืน
เธอนั่นเอง...ข้างสระน้ำที่มีดอกบัวกำลังขยับสั่นไหวตอนนี้เอง เหวินกวนจิ่งสูญเสียการควบคุมไปชั่วขณะ
หลินลั่วหรานรู้สึกอายและอึดอัดมากใครจะรู้ว่าเธอจะมาโผล่อยู่ในอ้อมอกของเหวินกวนจิ่ง!
เมื่อเห็นว่าเหวินกวนจิ่งสติหลุดไปเสียงดัง “ตึกตัก” ถูกส่งออกมาจากหัวใจทำเอาใบหน้าของหลินลั่วหรานแดงก่ำ ก่อนที่เธอจะรวบรวมความกล้าพูดออกไป
“รุ่นพี่ช่วยปล่อยฉันทีค่ะ...”