ชิงซีไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น นางรู้สึกว่าใน่หลังความคิดของนางดูสับสน ไม่เยือกเย็นเหมือนเมื่อก่อน
นางรู้สึกตื่นตระหนกเล็กน้อยและเริ่มตรวจสอบสิ่งที่ตนเองอาจละเลยไป
...
ณ เมืองอวิ๋นเมิ่ง
เย่เช่อยืนอยู่บนหลังคาของเรือนหลังหนึ่ง
แสงจากโคมไฟริมทางทอดยาวเหมือนสายน้ำไหล
แสงไฟดูสว่างไสวและอบอุ่น เข้ากันกับม่านดวงดาวบนท้องฟ้า ความเจริญเช่นนี้ไม่สามารถพบได้ในพื้นที่ชายแดน
‘ตอนข้าอยู่ที่ชายแดนมักพบเจอเพียงลมพัดแรงและผืนทรายสีเหลืองทอดยาว แต่ความหนาวเหน็บและความแห้งแล้งเช่นนั้นล้วนไม่สามารถพบได้ในเมืองอวิ๋นเมิ่ง แน่นอนว่าความเจริญรุ่งเรืองในเมืองอวิ๋นเมิ่งย่อมไม่สามารถพบได้ในพื้นที่ชายแดนเช่นกัน’
เย่เช่อกล่าวกับบ่าวรับใช้ว่า “ส่งขลุ่ยให้ข้าที”
บ่าวรับใช้นามเปาฉินก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วและส่งขลุ่ยให้เย่เช่อ
เย่เช่อถือมันไว้ในมือ เขาไม่รู้จะเป่าเพลงอะไรดี จู่ๆ เสียงเพลงที่ไพเราะก็ดังขึ้นในหัวของเขา
เพลงเมฆหมอกเหนือลำน้ำเซียวเซียงนั่นเอง เขาจึงตัดสินใจเป่าเพลงนี้
ขณะเป่าเย่เช่อก็หวนนึกถึงตอนเด็ก อันที่จริงตอนนั้นเขามักได้ยินท่านอ๋องเล่นเพลงนี้
และอีกฝ่ายก็ไม่รังเกียจที่เขาแอบฟัง แต่กลับสอนเพลงนี้ให้เขา
ผ่านมากี่ปีแล้วนับั้แ่ตอนนั้น?
ทุกคนล้วนมีเส้นทางของตนเอง
ไม่แน่ว่าท่านอ๋องอาจอยากให้เขาเป็ผู้สืบทอดเจตจำนง
อย่างไรก็ตาม ท่านอ๋องเป็คนของตระกูลอวิ๋น เขาย่อมใช้แซ่อวิ๋น
‘แต่บิดาของข้าเป็ขุนนางฏ’
ตระกูลเย่คือตระกูลขุนนางทรยศ แล้วเขาจะคู่ควรกับการเป็ผู้สืบทอดของท่านอ๋องได้อย่างไร?
คำถามนี้เหมือนเถาองุ่นที่ค่อยๆ คลืนคลานเข้ามาบีบรัดหัวใจของเย่เช่อ
แล้วเขาจะไปหาคนตระกูลอวิ๋นที่ยังมีชีวิตอยู่ได้จากที่ใด?
องค์หญิงเหวินฮวาสิ้นพระชนม์ั้แ่การก่อฏครั้งนั้นหรือไม่?
แล้วองค์ชายอวิ๋นเหิงยังมีชีวิตอยู่หรือไม่?
อันที่จริงความคิดของเขานับว่าประหลาดมาก
จริงอยู่ที่เขาเป็คนตระกูลเย่ แต่เขากลับหวังว่าใครสักคนในตระกูลอวิ๋นจะยังมีชีวิตอยู่
ถ้าบิดาของเขาทำสิ่งที่ไม่ควรทำจริงๆ แล้วเขาควรทำอย่างไรต่อไป?
การรักษาเอาไว้ทั้งความจงรักภักดีและความกตัญญูถือเป็เื่ยากมาก
ความคิดเหล่านี้ทำให้เย่เช่อไม่สบอารมณ์นัก แต่เสียงเพลงก็ยังคงลื่นไหล
เมื่อเป่าจบเขาก็วางขลุ่ยลง
เขารู้สึกว่าเสียงขลุ่ยอันไพเราะฟังดูหม่นหมองเล็กน้อย
แต่เขาก็ตัดสินใจหยิบขลุ่ยขึ้นมาเป่าอีกครั้ง แต่คราวนี้เป็เพลงอื่น
“ลูกหลานของป๋อหยางฉิวหยวนผู้เที่ยงธรรมและซื่อสัตย์
บรรพบุรุษคือจักรพรรดิเกาหยาง ลูกหลานล้วนเกิดมาเพื่อความถูกต้อง
นามของข้ากลมกลืนกับ์และโลก ทั้งยังส่องประกายเหมือนดวงดาว
สูดเอาแก่นแท้ของ์ พ่นอากาศขุ่นมัวออกมา แม้ในยามทุกข์ยากก็ไม่แสวงหาความอดทน
ด้วยความซื่อสัตย์และซื่อตรง จึงถูกใส่ร้ายและทอดทิ้ง
จักรพรรดิเชื่อคำโกหกและดูแคลน จึงเมินเฉยต่อข้า แต่เชื่อความชั่วร้ายจากพวกพ้อง
ในอกข้าเต็มไปด้วยความแค้น ถูกเหยียบย่ำจมธุลี
จิตอยู่ในภวังค์ จักรพรรดิไม่เห็นด้วยกับข้า ข้าโดดเดี่ยว เกิดความเ็า และไม่ย่างกรายเข้าใกล้
เสียใจที่ต้องอำลาจากจักรพรรดิ ข้าได้แต่นั่งร้องเพลงเศร้าที่ริมทะเลสาบ
นักปราชญ์กำลังตกอยู่ในอันตราย แต่พวกเขายังคงมุ่งมั่นที่จะแสดงออกถึงความซื่อสัตย์และจริงใจ
เหล่าผู้คนที่ชอบใส่ร้ายกำลังติฉินนินทา พวกเขามักข่มคนอื่นและยกย่องตนเอง ข้าสงสัยว่าเหตุใดจักรพรรดิถึงมองไม่เห็นเจตจำนงที่แท้จริงของข้า?
เคยนัดกันที่วัด แต่เมื่อเชื่อคำนินทาว่าร้ายก็เปลี่ยนใจกลางคัน
ข้าทั้งยุติธรรมและภักดี แต่กลับถูกทอดทิ้งในถิ่นทุรกันดาร
คิดถึงบ้านเกิดและูเาสูง ข้าเอาแต่คร่ำครวญ คิดถึงมาตุภูมิ ข้าเต็มไปด้วยความเศร้าโศก
ข้าอยากซื่อสัตย์ต่อตนเอง แต่หนทางถูกปิดกั้นและมืดมน
ใบหน้าหม่นหมองและซีดเซียว ร่างกายแก่ชราอ่อนแรง
ลมหนาวพัดเสื้อคลุมให้โบกสะบัด น้ำค้างเย็นจัดชโลมร่างจนเปียกชุ่ม
พุ่งลงไปที่แม่น้ำแยงซีและเซียงสุ่ยอันเชี่ยวกราก ล่องลอยไปกับเกลียวคลื่น
ข้าเดินขึ้นูเาช้าๆ แต่ลมกลับพัดแรง
ข้าจึงก้าวขึ้นหลังม้า แล้วควบม้าช้าๆ ขึ้นูเาตงถิง
ออกเดินทางจากูเาชางอู๋ใน่เช้าตรู่ และหยุดพักที่ยอดเขาซือเฉิงในตอนเย็น
นั่งเกวียนแวะพักที่จือเป่ยและห้องโถงหยกขาว
สร้างตั่งที่ประดับประดาด้วยหยกอันงดงาม สวมอาภรณ์สีสันสดใส
ปีนเขาเฟิงหลงและมองลงไป จ้องมองทางเส้นยาวที่ทอดออกจากเมืองหลวง
เมื่อนึกถึงทิวทัศน์และประเพณีของเมืองหลวง ข้าก็ร่ำไห้
คลื่นสูง กระแสน้ำไหลเชี่ยว คลื่นม้วนตัวและมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออก
ใจของข้าเศร้าโศก ข้าไม่อาจหยุดคิดได้ จิติญญาหดหู่เศร้าซึม
พื้นที่กว้างใหญ่สุดสายตา ลมฤดูใบไม้ร่วงพัดอย่างรวดเร็วก่อให้เกิดเสียงกรอบแกรบ
ถ้าตามสายน้ำไปไม่กลับมา ิญญาจะจากไปตลอดกาล
ข้าถอนหายใจ
แม่น้ำไหลเชี่ยว
ลมและเกลียวคลื่นโหมแรงยิ่งนัก
ลมกรรโชก คลื่นกระทบโขดหิน
กระแสน้ำเชี่ยวกราก
เมื่อพบภยันตรายในยามทุกข์ยากก็ย่อมลงเอยด้วยการไถ่บาป”
เมื่อเป่าจบจิตใจของเย่เช่อยังคงขุ่นมัว
แสงสว่างในเมืองหลวงยังคงสว่างไสวเหมือนทุ่งดวงดาว
จวนตระกูลใหญ่ประดับประดาไปด้วยตะเกียงจำนวนมาก แลดูสว่างไสว
จู่ๆ เขาก็นึกถึงปี้เหยียน
ไม่รู้ว่าตอนนี้นางกำลังทำอะไรอยู่?
น้ำค้างลงแล้ว จวนหลายหลังเปิดไฟสว่าง ค่ำคืนนี้อากาศหนาวเหน็บเหมือนอยู่กลางแม่น้ำ
ทันใดนั้นเขาก็เป่าขลุ่ยเป็เพลงที่ฟังดูเชื่องช้าและอ้อยอิ่ง
“การยับยั้งความยากลำบากเป็เื่ยาก ความรักที่ไร้หนทางทำให้ผู้คนเกิดความปรารถนาตลอดเวลา
การมีอิสระเป็เื่ยาก จึงได้แค่คิดเท่านั้น
ผ่านมานานแล้วนับั้แ่ครั้งสุดท้ายที่เราสองคนมี่เวลาดีๆ ร่วมกัน ไม่รู้เมื่อไหร่เราจะได้พบกันอีก
จ้องมองด้วยความเสียใจ ความกังวลเข้าครอบงำ
เขียนลงบนกระดาษ เขียนคำว่ารักแล้วผนึกให้แน่น จากนั้นส่งกระดาษไปกับม้าเร็ว ผู้รับเปิดอ่านไปน้ำตาไหลไป
โรคที่เป็อยู่นี้คืออะไร? มันส่งผลกระทบต่อใจทั้งสองดวง”
หลังจากเป่าเสร็จเย่เช่อก็รู้สึกเหนื่อยเล็กน้อย
เขาคิดถึงผู้หญิงที่เขารัก
ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดเขาก็ยังคิดถึงนางเสมอ
เย่เช่อโบกมือเบาๆ จากนั้นทั้งเขาและเหล่าผู้ติดตามก็หายวับไปทันที
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้