เป่ยเหลียนโม่กุมมือเหยาเชียนเชียนไว้ด้วยความรู้สึกเ็ป บนหลังมือของนางปรากฏตุ่มพุพองทั้งใหญ่และเล็ก ปลายนิ้วถูกลวกเสียจนน่าเวทนาเกินกว่าจะทนดูได้
อวี๋เฟยเห็นสถานการณ์ไม่ค่อยดีจึงรีบถลาเข้ามาอย่างร้อนรน นางได้เตรียมคำพูดไว้ก่อนแล้ว ทว่ายังไม่ทันได้เอื้อนเอ่ยเป่ยเหลียนโม่ก็ส่งเสียงสะอื้นขึ้นมาเสียก่อน
“เชียนเชียนของเปิ่นหวังไม่เคยเ็ปเช่นนี้มาก่อน หวังเฟยที่เปิ่นหวังเฝ้ารักเฝ้าทะนุถนอมสุดหัวใจทุกคืนวันทำความผิดร้ายแรงเพียงใดถึงได้ถูกลงโทษเช่นนี้”
เหยาเชียนเชียนถูกเขาจับมือไว้ นางเจ็บเสียจนอยากร้องออกมาแต่ก็ไม่มีแรง ทำได้เพียงแสร้งทำเป็ร่างกายอ่อนแรงแล้วล้มในอ้อมแขนของเขาพร้อมกับกัดแขนอีกฝ่าย
ดูท่าว่าเขาจะร้องไห้ไม่ออก เช่นนั้นก็ให้นางช่วยเขาเถิด
เป่ยเหลียนโม่ชะงักไปครู่หนึ่งโดยไม่ทันสังเกต จากนั้นก็แสร้งทำเป็ดึงคนในอ้อมกอดออกมาอย่างไม่ตั้งใจ ชั่วพริบตานั้นยังสามารถมองเห็นฟันขาวที่ยังไม่ถอนออกไปจากแขนได้อยู่
“เสด็จพ่อ เชียนเชียนเข้าวังเป็ครั้งแรก ยังมีระเบียบอีกหลายข้อที่ลูกไม่ได้สอนให้ดี ถ้าเชียนเชียนล่วงเกินอวี๋เฟยเหนียงเหนี่ยงด้วยเหตุนี้จริง หากเสด็จพ่อประสงค์จะลงโทษก็ลงโทษลูกเถิด เชียนเชียนนาง...รับไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว”
ฮ่องเต้ขมวดคิ้วทอดมองสตรีในอ้อมแขนของพระโอรสอย่างพินิจพิเคราะห์ เขาเคยพบบุตรสาวคนเล็กของตระกูลเหยาไม่กี่ครั้ง ในความประทับใจของเขานางเป็คนที่สุภาพและสงบเสงี่ยมท่ามกลางกลุ่มคน พูดเสียงแ่เบา และไม่เคยเห็นนางเสียมารยาทในงานเลี้ยงของวังหลวงมาก่อน
หากพูดถึงคุณหนูตระกูลขุนนางที่ได้รับการชื่นชมที่สุดในนครหลวง นั่นต้องมีชื่อเหยาเชียนเชียนติดโผอย่างแน่นอน นางเป็ที่หนึ่งทั้งในด้านความปราดเปรื่องและอุปนิสัย เื่นี้เขาก็พอได้ยินมาบ้าง
ดังนั้นถึงแม้จะรู้ความคิดของเป่ยเหลียนโม่ั้แ่แรก แต่เขาก็ยินดีที่จะรับลูกสะใภ้เช่นนี้อีกสักคน
บุตรสาวของตระกูลที่มั่งมี สงบเสงี่ยม ไม่ถือดีหรือเสแสร้ง เข้าใจหลักทำนองคลองธรรม รูปโฉมงดงาม สติปัญญาปราดเปรื่อง คู่ควรกับตำแหน่งหวังเฟย
สตรีที่ดีเช่นนี้ หากกล่าวว่านางประพฤติผิดมรรยาทผิดศีลธรรมโดยไร้เหตุผล ฮ่องเต้มองอวี๋เฟยที่มีท่าทีดูอึดอัดเล็กน้อย เช่นนั้นเขาก็มีคำตอบในใจแล้ว
“ลุกขึ้นก่อนเถิด” เขาก้าวอย่างเนิบช้าเข้าไปภายในห้อง เมื่อประทับบนบัลลังก์แล้วจึงตรัสว่า “ในวังมีพิธีรีตองเยอะ ชายาของชิงผิงอ๋องพลาดเพียงเล็กน้อยก็ถือว่าเป็เื่ที่ยอมรับได้”
อวี๋เฟยรีบสารภาพผิด กล่าวว่าเดิมทีนางหมายจะลงโทษสถานเบาเท่านั้น แต่ผู้ใดเล่าจะคิดว่าเหยาเชียนเชียนกลับกล่าววาจาจาบจ้วงนาง ในถ้อยคำนั้นสื่อว่าไม่พอใจการสั่งสอนของนางอย่างยิ่ง
“หม่อมฉันใจร้อนเกินไป ดังนั้นจึงหนักมือไปหน่อย หากฝ่าาจะกล่าวโทษ หม่อมฉันก็ไม่มีคำโต้แย้งใดๆ เพคะ”
“ขอบังอาจถามอวี๋เฟยเหนียงเหนี่ยง” เป่ยเหลียนโม่โอบเหยาเชียนเชียนค่อยๆ นั่งลง “เชียนเชียนกล่าววาจาหยาบคายอันใดถึงทำให้เหนียงเหนี่ยงกริ้วถึงเพียงนี้”
สีหน้าของอวี๋เฟยฉายแววลังเล ทว่าหลี่มามาที่อยู่ข้างๆ กลับคุกเข่าลง และกล่าวว่าพระชายาของชิงผิงอ๋องกล่าวประณามอวี๋เฟย และกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่าอวี๋เฟยไม่มีสิทธิ์สั่งสอนนาง ในเมื่อเป็เช่นนี้ ไม่ถือว่าเป็การไม่เคารพหรือ
“เชียนเชียนเชื่อฟังผู้าุโมาโดยตลอด นางไม่มีทางกล่าววาจาเช่นนั้น” เป่ยเหลียนโม่กวาดสายตามองไป “เ้ารู้หรือไม่ว่าใส่ร้ายหวังเฟยมีโทษสถานใด เ้าทาสสุนัข วาจาเช่นนี้ยังกล้ากล่าวออกมาได้ ไม่รู้ว่าไปเอาความกล้ามาจากที่ใดกัน”
หลี่มามาคุกเข่าลงและโขกศีรษะอย่างร้อนรน กล่าวว่านางเพียงอยากแบ่งเบาภาระของผู้เป็นาย เป็ถึงสนมเอกในวังหลวงแต่กลับถูกผู้น้อยกล่าววาจาถากถาง หากข่าวแพร่ออกไปชื่อเสียงของราชวงศ์จะเป็เช่นไร
“ท่านอ๋อง” เหยาเชียนเชียนหายใจอ่อนแรง ดวงตาทั้งสองข้างมีน้ำตาคลอหน่วย
“อวี๋เฟยเหนียงเหนี่ยงทรงสั่งสอนเชียนเชียนว่าในวังหลวงแห่งนี้มีแม่สามีเพียงคนเดียว และผู้ล่วงลับไม่อาจมีวาสนาได้รับความเคารพจากคนรุ่นหลัง เป็ความผิดของเชียนเชียนเองเพคะ เชียนเชียนกล่าววาจาเลอะเทอะ ้าหมอบกราบต่อหน้าป้ายิญญาของฮองเฮา จึงทำให้อวี๋เฟยเหนียงเหนี่ยงไม่พอพระทัย ทั้งหมดเป็เพราะเชียนเชียนไม่รู้กาลเทศะเพคะ”
“เหลวไหล! เ้ากล้าใส่ความเปิ่นกง!”
อวี๋เฟยตระหนก ดูิ่อดีตฮองเฮา โทษสถานนี้ผู้ใดจะทนได้ เหยาเชียนเชียน้าบีบให้นางไปหาที่ตาย!
“หุบปาก!”
เ้าเหนือหัวประทับเหนือบัลลังก์ับันดาลโทสะ ทุกคนล้วนรู้ว่าในอดีตฮ่องเต้และฮองเฮาทรงรักกันมากเพียงใด เป็สามีภรรยากันั้แ่ยังเยาว์ เป็ความรักที่ผู้อื่นก็เทียบไม่ได้ ั้แ่ฮองเฮาสิ้นพระชนม์หลังจากให้กำเนิดองค์ชายสี่ ฮ่องเต้ก็ทรงประชวรอยู่ถึงสองปีเต็มถึงจะเดินออกมาจากวังวนความเศร้าได้
บัดนี้หากผู้ใดจะเอ่ยถึงฮองเฮาแม้เพียงครึ่งคำยังต้องไตร่ตรองให้ดี ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการดูิ่เลย คนผู้นั้นเตรียมขุดสุสานฝังโลงศพให้ตนเองยังมีความสุขมากกว่า
“ฝ่าา หม่อมฉันไม่ได้กล่าวเช่นนั้นจริงๆ นะเพคะ!”
อวี๋เฟยคุกเข่าและโขกศีรษะซ้ำๆ “หม่อมฉันไม่เคยมีเจตนาจะไม่เคารพอดีตฮองเฮาแม้แต่น้อย ชายาของชิงผิงอ๋องใส่ความหม่อมฉัน...”
“เชียนเชียนเพียงแค่อยากไปสักการะิญญาเสด็จแม่เท่านั้น แต่ก็ยังถูกมองว่าไม่เคารพอวี๋เฟยเหนียงเหนี่ยง” เป่ยเหลียนโม่ยิ้มเศร้าพลางกระชับคนในอ้อมแขนแน่นขึ้นเล็กน้อย
“มนุษย์เมื่อสิ้นลมก็เหมือนกับตะเกียงที่ดับลง มิอาจหลงเหลือไว้แม้แต่ความคะนึงหา เสด็จพ่อ ลูกขอพระราชทานอนุญาตจากเสด็จพ่อ ขอให้เชียนเชียนและลูกได้ไปสักการะิญญาของเสด็จแม่ เพื่อที่เสด็จแม่จะได้รู้ว่าทุกวันนี้ยังมีคนนึกถึงพระองค์อยู่”
ดวงตาคู่นั้นของเขาคล้ายกับอดีตฮองเฮาเหลือเกิน บัดนี้ความทุกข์ระทมเอ่อล้น มวลความโศกเศร้าสายหนึ่งลุกลามแผ่ขยายในพระทัยของฮ่องเต้ มือเท้าทั้งสี่และกระดูกทั้งร้อยล้วนหนักอึ้งนับพันชั่ง
เพียงนึกย้อนไปถึงยามที่ได้รู้จัก และความรักใคร่กับอดีตฮองเฮาใน่ระยะเวลาไม่นานนัก ก็ทำให้กระบอกตาของฮ่องเต้ค่อยๆ แดงขึ้นมา
“อวี๋เฟยไร้ศีลธรรม อิจฉาริษยา ดูิ่อดีตฮองเฮา ไม่คู่ควรเป็ผู้นำนางสนม นับจากนี้เป็ต้นไปให้ลดตำแหน่งเป็อวี๋ผิน [1] และย้ายไปอยู่เรือนตะวันตก ส่วนนางกำนัลรับใช้ใกล้ตัวให้นำไปโบยจนตาย ไสหัวไปให้พ้นสายตาเจิ้น [2]”
“ฝ่าา หม่อมฉันถูกใส่ความเพคะ!”
อวี๋เฟยตระหนกจนทำอะไรไม่ถูก นางเดินเข่าเข้าไปแต่กลับถูกถีบออกมา มวยผมยุ่งเหยิง ใบหน้าเปียกชื้นไปด้วยเหงื่อ เครื่องประทินโฉมเลอะเทอะไปทั่วทั้งใบหน้า ถึงกระนั้นฮ่องเต้ก็ไม่มองนางแม้แต่น้อย เพียงรับสั่งให้เชิญหมอหลวงมาตรวจดูอาการและรักษาเหยาเชียนเชียนก่อนจะเสด็จออกไปด้วยโทสะ
เหยาเชียนเชียนพึงพอใจเป็อย่างยิ่งที่สถานการณ์พลิกกลับมาในระดับนี้
นางทอดมองสีหน้าเศร้าหมองของอวี๋เฟย ไม่สิ ยามนี้ควรจะเรียกว่าอวี๋ผิน นางกล่าวเตือนไปแล้วว่าอย่าลงมือกับนางอย่างง่ายดาย ทั้งยังแนะนำด้วยความเป็ห่วงว่าให้ถือโอกาสยามที่ทรมานนางอย่างสบายใจ คิดหาวิธีรับมือโดยเร็วที่สุดเสียจะดีกว่า
“หึ” เหยาเชียนเชียนส่งเสียงหัวเราะแ่เบา “ดูถูกผู้ใดกัน”
ระหว่างทำแผล ธารน้ำตาที่เหยาเชียนเชียนสะกดกลั้นไว้เนิ่นนานก็รินไหลลงมา ส่งผลให้หมอหลวงที่กำลังตรวจดูอาการและรักษาให้นางใไม่น้อย เสียงร้องไห้ของชายาชิงผิงอ๋องผู้นี้ค่อนข้าง...ค่อนข้างดังไปหน่อย
“เปิ่นหวังทำเอง” เป่ยเหลียนโม่มองเข็มเงินในมือหมอหลวงอย่างกระตือรือร้นที่จะลอง นั่นเป็เข็มที่ใช้สำหรับแทงตุ่มพุพอง
เหยาเชียนเชียนได้ยินเช่นนั้นก็ร้องไห้เสียงดังกว่าเก่า
“ใต้เท้าให้เปิ่นหวังทำเถิด” เป่ยเหลียนโม่ยื่นมือออกไป “หากยังมีสิ่งใดอยากกำชับก็กล่าวมาได้เลย”
หมอหลวงไตร่ตรองเล็กน้อย แต่ก็ยอมมอบเข็มเงินแด่เป่ยเหลียนโม่แต่โดยดี และกล่าวว่าให้แทงและบีบน้ำหนองออกมาอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็ใส่ยาและปิดแผลให้เรียบร้อย ระวังไม่ให้แผลโดนน้ำสักสองสามวัน
เมื่อหมอหลวงออกไปแล้ว เหยาเชียนเชียนก็ขดตัวอยู่ปลายเตียงอย่างน่าสงสาร นางอยู่ในสภาพเช่นนี้แล้วแท้ๆ เลิกทรมานกันสักทีได้หรือไม่?
“มานี่” เป่ยเหลียนโม่นั่งลงบริเวณขอบเตียงและหยิบเข็มขึ้นมาพิจารณาดู “อยากให้เปิ่นหวังเกลี้ยกล่อมเ้าให้มานี่หรือ?”
ไม่ต้องแล้ว เหยาเชียนเชียนขยับเข้าไปอย่างเชื่องช้า นางชั่งใจอยู่เล็กน้อย ก่อนจะยื่นมือออกไป
“ท่านอ๋อง วันนี้หม่อมฉันทำผลงานได้ไม่เลวเลยใช่หรือไม่?”
เพราะฉะนั้นจะดีกันได้หรือยัง อย่างไรนางก็ถูกรังแกอย่างโเี้ทารุณมากพอแล้ว
“โง่” เขาเหลือบมองเหยาเชียนเชียนเล็กน้อย “เปิ่นหวังห่างไปเพียงชั่วครู่ แต่เ้ากลับปล่อยให้นางรังแกจนตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ เกียรติของข้าถูกเ้าทำลายไปจนสิ้น”
เช่นนั้นจะให้นางทำอย่างไรได้ เหยาเชียนเชียนถลึงตาอย่างไม่ยอม พลางบึนปากบ่นพึมพำว่า “นางเป็ถึงสนมยศเฟย อีกทั้งยังเป็ที่โปรดปรานของฮ่องเต้ หม่อมฉันจะสู้กับนางได้อย่างไร”
“เ้าสู้ได้” เป่ยเหลียนโม่กล่าวเสียงเย็น “เ้าก็เป็หวังเฟยของเปิ่นหวังและเป็ที่โปรดปรานเช่นกัน เดิมทีก็ไม่ได้ด้อยไปกว่านางแม้แต่น้อย ครั้งหน้าหากมีเหตุการณ์เช่นนี้อีก หรือหากยอมให้ถูกเอาเปรียบแม้เพียงเล็กน้อย เปิ่นหวังจะให้เ้าเสียเปรียบเพิ่มอีกหลายเท่า”
เหยาเชียนเชียนมองสีหน้าจริงจังของเขาอย่างตั้งอกตั้งใจ ไม่รู้เพราะเหตุใด เมื่อได้ฟังคำพูดเผด็จการไร้เหตุผลของเขาครั้งนี้นางกลับไม่รู้สึกรังเกียจเลยแม้แต่น้อย
“เ้าคือชายาของชิงผิงอ๋อง เ้าอยากทำอย่างไรก็ทำเช่นนั้น ต่อให้ฟ้าถล่มลงมาก็ยังมีเปิ่นหวังคอยค้ำจุนอยู่ ต่อไปห้ามปล่อยให้ตัวเองตกอยู่ในสภาพถูกข่มเหงรังแกเช่นนี้อีก”
เขาแทงตุ่มพุพองอย่างประณีต นิ้วเรียวยาวกุมมือเล็กของนางอย่างแ่เบา มองไปแล้วดูกลมกลืนอย่างคาดไม่ถึง
เหยาเชียนเชียนรู้สึกปวดหนึบในใจ ราวกับมีฟองน้ำเดือดปะทุดังปุดๆ อัดแน่นอยู่เต็มหัวใจ
“เพคะ หม่อมฉันจะจำไว้” นางพยักหน้าเต็มแรง
เป่ยเหลียนโม่เหลือบมองรอยยิ้มโง่ๆ ของนาง มุมปากเขายกขึ้นเล็กน้อย แต่เพียงชั่วพริบตาก็เลือนหายไป
มือหยกที่แต่เดิมอ่อนนุ่มคู่นั้น บัดนี้ทั้งแดงและบวม เต็มไปด้วยตุ่มพุพองน่าใ
ถ้าอาเหยียนได้เห็นจะเสียใจเพียงใด
เหยาเชียนเชียนลอบพินิจมองชายหนุ่ม เวลาตั้งใจก็ดูดีไม่น้อย ผู้คนล้วนกล่าวกันว่าชิงผิงอ๋องมีใบหน้าคล้ายกับอดีตฮองเฮาหลายส่วน ถ้าเช่นนั้นอดีตฮองเฮาต้องเป็บุคคลที่มีใบหน้างดงามอย่างหาได้ยากเป็แน่
“มองอะไร” เป่ยเหลียนโม่กล่าว “วันนี้เปิ่นหวังกล่าวถึงเ้าต่อพระพักตร์เสด็จพ่อว่าเ้าเป็คนที่มีรูปโฉมงดงาม สติปัญญาปราดเปรื่อง เชื่อฟังและถ่อมตน ทว่าคุณหนูตระกูลผู้ดีที่ใดจับจ้องบุรุษไม่วางตาเช่นนี้ ช่างไร้ยางอายนัก”
เหอะ!
เหยาเชียนเชียนไม่ถูกเขาขู่ขวัญมาสักระยะจึงเริ่มใจกล้าขึ้นมาอีกครั้ง นางสวนเขากลับไปในทันทีว่า
“พระองค์เป็สามีของหม่อมฉัน สามีของตัวเองอยากมองอย่างไรก็ได้”
เป่ยเหลียนโม่กระชับมือที่อยู่บนฝ่ามือแน่นขึ้น ั์ตาสีดำสนิทจ้องนางตาไม่กะพริบ น้ำเสียงเหินสูงขึ้น
“แล้วเ้าอยากมองอย่างไรเล่า?”
ราวกับได้กลิ่นหอมหวานบางเบาในอากาศโอบล้อมรอบตัวพวกเขาทั้งคู่ไว้ เหยาเชียนเชียนที่ตกอยู่ในภวังค์รู้สึกว่านางได้กลิ่นดอกไม้ นี่เป็ครั้งแรกที่ถูกเขามองอย่างจริงจัง ไม่เจือไอสังหาร และไม่เจือแววถากถางหรือเ็า
“ก็...ก็มองไปเรื่อยเพคะ”
นางก้มหน้าลงด้วยความตื่นตระหนกเล็กน้อย พลางกลืนน้ำลายแห้งอึกหนึ่ง ไม่รู้ด้วยเหตุใดข่งหลง [3] ในใจของนางกำลังทุบผนังหัวใจดัง ‘ตุบๆ’ นางกุมหน้าอกบริเวณเหนือหัวใจอย่างทำตัวไม่ถูก ความรู้สึกที่ไม่คุ้นเคยนี้ทำให้นางไม่รู้ว่าจะเข้าหน้าเป่ยเหลียนโม่อย่างไรไปชั่วขณะ
“ไปกันเถิด” โชคดีที่อีกฝ่ายไม่ได้กล่าวอะไรอีก เขาแทงตุ่มพุพองอันสุดท้ายและทำแผลให้นางเสร็จเรียบร้อย จากนั้นก็ลุกขึ้นแล้วกล่าวว่า “ยังมีเื่สำคัญต้องไปทำอีก”
มือของเหยาเชียนเชียนถูกพันจนกลายเป็บ๊ะจ่าง นางพยายามขยับตัวลงจากเตียงอย่างยากลำบาก
เมื่อขึ้นมาบนรถม้าแล้วถึงได้กล้าเอ่ยถามด้วยเสียงอันแ่เบาว่าพวกเขากำลังจะไปที่ใดกัน
“พาเ้าไปพบเสด็จแม่” เป่ยเหลียนโม่เอ่ยเสียงเรียบ
เหยาเชียนเชียนชะงัก นางไม่คาดคิดว่าเขาจะยอมพานางไปพบอดีตฮองเฮาจริงๆ ทำให้นางรู้สึกสับสนไม่น้อย
“เมื่อครู่ขอราชโองการจากเสด็จพ่อแล้ว ย่อมต้องไปพบสักหน่อย”
เป่ยเหลียนโม่รู้สึกแปลกเล็กน้อยที่ต้องอธิบายด้วยตัวเอง ทว่ายิ่งกล่าวมากความก็ยิ่งปิดไม่มิด ทำได้เพียงวางมาดเบื่อโลกตามปกติและไม่เอื้อนเอ่ยคำใดอีก
ไม่ว่าด้วยเหตุผลใด แต่อีกฝ่ายก็ยอมให้นางไปพบญาติผู้ล่วงลับ นี่เป็เื่ที่จริงจังเื่หนึ่ง เหยาเชียนเชียนเหยียดหลังตรง และวางมือบนเข่าอย่างเรียบร้อยโดยไม่รู้ตัว
เป่ยเหลียนโม่เห็นปฏิกิริยาเล็กๆ ที่นางทำออกมาโดยไม่รู้ตัว จากเดิมที่รู้สึกไม่สบอารมณ์เท่าไรนัก พลันกลายเป็ไม่ได้สนใจมากมายอีกแล้ว
นางเป็หวังเฟยของเขา ควรจะให้เสด็จแม่ได้พบสักหน่อย ไม่มีเื่อื่นใดเกี่ยวข้อง เมื่อคิดเช่นนี้หัวใจที่สับสนและกระสับกระส่ายดวงนั้นถึงได้นิ่งสงบลงได้
เชิงอรรถ
[1] ผิน หมายถึง ตำแหน่งสนมเอกในองค์จักรพรรดิ สามารถมีได้ 6 คน
[2] เจิ้น หมายถึง สรรพนามแทนตัวเองของจักรพรรดิ
[3] ข่งหลง หมายถึง ไดโนเสาร์
