สุราสองไหยังดื่มไม่หมด ไท้หยูก็รู้สึกถึงสายตาของคนหลายคนจ้องมองมาด้วยความปองร้าย สำหรับคนธรรมดาสายตาประดานี้ไม่ทำให้รู้สึกอะไร ทว่าผู้ฝึกตนมีประสาทเฉียบไวตาแหลมคม ขอเพียงมีผู้คิดไม่ดีปองร้ายก็สามารถรับรู้ได้ทันที
“เปรี้ยง” เสียงโต๊ะเก้าอี้ถูกถีบปลิวกระเด็น เสี่ยวเอ้อและคนในโรงเตี๊ยมที่กำลังดื่มสุราถูกเท้านี้ปลุกให้ตื่น กลุ่มชายฉกรรจ์ราวหกเจ็ดคนฮือกันเข้ามา แน่นอนว่าพุ่งเป้าไปที่ไท้หยูและโบ๋เวิน
ไท้หยูยังไม่ทันยกศีรษะขึ้นมองก็ถูกคนยกเก้าอี้ฟาดใส่ สำหรับเก้าอี้นี้เขาสามารถหลบได้ทว่าพานไม่หลบ
“เปรี้ยง”
เศษเก้าอี้แตกกระจายสาดสี่ทิศ ทำลายถ้วยและไหสุราแตกกระจาย ต่อให้โดนกระบองเหล็กฟาดยังมิอาจทำอะไรเขาได้ เก้าอี้เช่นนี้ไม่ต่างจากพัดให้เขาเย็นขึ้น
ไท้หยูเงยหน้าขึ้นมองเห็นกลุ่มคนฉกรรจ์นำหน้าโดยคนร่างใหญ่พกดาบยาวที่ด้านหลัง ใบหน้าดุร้าย เบ้าตากลวงลึก ขอบตาดำคล้ำ จมูกมีเนื้อมาก ริมฝีปากใหญ่ กอปรเป็ใบหน้าที่อัปลักษณ์และชั่วร้าย
ในเมืองหลวงห้ามคนพกอาวุธเดินอย่างโจ่งแจ้ง อย่างมากเพียงสามารถพกมีดสั้น ทว่าต้องเก็บอย่างมิดชิด คนผู้นี้กลับสะพายดาบอย่างผ่าเผย หากมิใช่เป็คนของทางการ ก็เป็นักเลงที่มีอิทธิพล จ่ายเงินให้ขุนนางมือปราบปิดตาข้างหนึ่ง
ยามนั้นเสียงแหลมเล็กเสียงหนึ่งดังขึ้นที่ด้านหลัง ดังจากในกลุ่มชายฉกรรจ์
“พี่หวง เ้านี่แหละที่ทำร้ายข้าและชิงถุงเงินของข้าไป พี่หวงต้องทวงความเป็ธรรมให้กับข้า” ที่ด้านหลังชายสะพายดาบ เป็บุรุษอ้วนร่างใหญ่สวมอาภรณ์แดงใบหน้าธรรมดาไม่โดดเด่นผู้หนึ่ง เสียงของเขาแหลมเล็กต่างจากรูปกาย สร้างความขบขันให้แก่ผู้ได้ยิน
ไท้หยูไม่รู้จักคนผู้นี้ เขาไหนเลยไม่ทราบนี้เป็แผนการต่ำช้าโง่เขลาปัญญาอ่อน อาศัยคนมีอำนาจอิทธิพล ยัดเยียดความผิดให้ผู้อื่น จากนั้นแย่งชิงสิ่งที่้ามา เขารู้สึกหน่ายใจไม่น้อย ไม่ว่าโลกใด ล้วนมีคนเช่นนี้ แม้นว่าเป็เมืองหลวงที่ข้าราชการส่วนใหญ่สุจริต แต่ก็ยังจะมีปลาเน่าสักหลายตัว หากสามารถกำจัดคนประเภทออกไปให้หมดสิ้น ชาวประชาทั้งหลายคงสงบสุขอย่างยิ่งแล้ว
ชายสะพายดาบเดินเข้ามา ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ตวาดว่า
“บ้านเมืองมีขื่อมีแป เ้าปล้นชิงผู้อื่นยังกล้ามานั่งดื่มสุราสบายใจเฉิบ ช่างขวัญกล้าเทียมฟ้า” จากนั้นออกคำสั่งโดยไม่หันไปด้านหลัง
“จับกุมคน หากขัดขืนทุบตีให้แขนขาหักแล้วลากตัวไป”
คนธรรมดาเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้ฝึกตนไม่ต่างจากมดปลวก และเพราะเป็มดปลวกจึงมองไม่ออกว่าเป็ผู้ฝึกตนที่เพียงแค่ดีดนิ้วก็สังหารพวกมันได้
ชายฉกรรจ์ด้านหลังพลันโถมเข้ามา สี่คนแบ่งฝั่งละสองคน หนึ่งซ้ายหนึ่งขวาพุ่งจู่โจมใส่ไท้หยูและโบ๋เวิน ท่าร่างนี้สำหรับผู้อื่นรวดเร็วปานสายลมหอบหนึ่ง ทว่าในสายตาไท้หยูเชื่องช้าราวเต่าคืบคลาน เขามีร้อยแปดวิธีตอบโต้ชายฉกรรจ์เหล่านี้โดยไม่ต้องขยับตัว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสังหารให้ตาย
ยามนั้นพลันมีเสียงตวาดจากด้านหลังกลุ่มชายฉกรรจ์
“หยุดมือเดี๋ยวนี้!” เสียงดังจากปาก สยบคนดุร้าย ทันทีที่ได้ยินเสียง ชายฉกรรจ์เ่าั้ล้วนร่างแข็งทื่อ สองตายังฉายแววหวาดหวั่นออกมา ชายสะพายดาบรีบหันขวับกลับไป ค้อมกายอย่างนอบน้อม ลูกน้องที่พุ่งจู่โจมเมื่อครู่ก็ถลันตัวกลับไปอยู่ด้านหลังชายสะพายดาบ
ชายสะพายดาบผู้นั้นเอ่ยคำว่า
“พ่อใหญ่เจียเซิน”
คนผู้หนึ่งเดินเข้ามา สวมอาภรณ์สีดำ ถุงมือสีดำ หมวกสีดำ ทั้งร่างชุดคลุมล้วนเป็สีดำ ให้ความรู้สึกกดดันน่าเกรงขาม
“ไสหัวพวกเ้าออกไปให้หมด”
คำพูดหลุดจากปาก แม้แต่ลูกค้าที่ดื่มสุราคิดชมเื่สนุกสนานยังไม่กล้ารั้งอยู่ต่อ กระทั่งเสี่ยวเอ้อยังใจนวิ่งออกหลังร้าน โรงเตี๊ยมทั้งหมดพลันว่างเปล่า
“เจียเซิน” ไท้หยูพึมพำชื่อนี้อยู่ในใจ ก่อนหน้านี้เขาเคยให้โบ๋เวินไล่รายชื่อนักเลงและกลุ่มต่างๆ ให้เขาฟังรอบหนึ่ง เพราะเก็บตัวอยู่แต่ในเทือกเขาหยก ทำให้เขาทราบเื่กลุ่มนักเลงเหล่านี้น้อยยิ่ง
โบ๋เวินแม้นกักตนอยู่หลายปี ทว่าสำนักเมฆัอยู่ใกล้เมืองหลวง ทั้งในสำนักยังมีหน่วยข่าวสารและผู้ที่ไปมาหาสู่กับเหล่าอิทธิพลของเมืองหลวง ดังนั้นจึงรู้เื่มากกว่าไท้หยู
ผู้อยู่เหนือทุกคนในวงการนักเลง คือเจียเซินผู้นี้
เจียเซินไม่ควบคุมกิจการผิดกฎหมายใดทั้งสิ้น อันที่จริงเขาไม่เป็เ้าของสิ่งใดเลย ในเมืองหลวงแม้นถูกขนานนามเป็นักเลงอันดับหนึ่งแต่เขาไม่มีกลุ่มอำนาจในมือ
ทว่าไม่มีอำนาจนี้กลับเป็ผู้ที่กุมอำนาจทั้งหมดไว้อย่างแท้จริง เพราะขอเพียงเขาเอ่ยปากคำเดียว ไม่ว่ากลุ่มใดล้วนยินยอมทุ่มเทกำลังทั้งหมดเพื่อเขา
เจียเซินผู้นี้ถูกขนานนามเป็นักเลงอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวง มิใช่เพราะมีพลังฝีมือสูงเยี่ยมหาใดเปรียบมิได้ ทว่าเขาผู้นี้เป็คนที่พิเศษคนหนึ่ง
สิ่งที่ทำให้เขาแตกต่างจากนักเลงทั่วไปทุกคน จนได้รับขนานนามว่านักเลงอันดับหนึ่งเพราะไม่ว่าผู้ใดรู้จักเขา เขาสามารถทำให้ผู้นั้นเคารพนับถือโดยใจจริง เป็บุคคลที่รู้จักพูดจาและช่วยเหลือผู้อื่นได้เสมอ
มาตรว่าเป็คนไม่มีชื่อเสียงในวงการหรือไร้ผลประโยชน์อันใดให้แก่เขา ทว่าเมื่อรู้จักกับเจียเซินผู้นี้ ขอเพียงเอ่ยปัญหาออกมา แม้นยากเย็นแสนเข็ญปานใด เขาก็จะหาหนทางช่วยเหลือให้จนได้
เพราะเหตุนี้เองทำให้เขาถูกยกย่องนับถือจากทุกคน บางคนยังขนานนามเรียกเขาว่า บิดาใหญ่
คนเช่นนี้เป็ที่ทุกคนอยากคบเป็สหาย นับว่ารู้จักผูกสัมพันธ์ สร้างบุญคุณแก่คนแล้ว ไม่ต้องกลัวตกทุกข์ได้ยาก มาตรว่าตกระกำลำบากก็จะมีคนกลับมาช่วยเหลือ ฉุดดึงขึ้นมา ไม่มีทางลำบากได้นาน
เช่นเดียวกับสถานการณ์ในตอนนี้
เจียเซินเป็ชายวัยกลางคน มองไม่ออกว่าอายุเท่าใด ในดวงตาสุกสกาวคล้ายห้วงมหาสมุทรอันลึกล้ำ สวมอาภรณ์ดำสูงแปดเชียะ แขนยาวขายาว ใบหน้าคมคายไว้เคราบาง แม้นมีเสื้อคลุมบัง ทว่าไท้หยูยังมองออกว่าเป็คนไหล่กว้างอกผายไหล่ผึ่งยิ่งคนหนึ่ง เป็บุคลิกที่น่าจดจำไม่น้อย
“สหายทั้งสองคงไม่เป็ไรกระมัง”
ไท้หยูส่ายหน้าตอบสั้นๆ ว่าไม่เป็ไร
เจียเซินเดินมาดึงเก้าอี้จากโต๊ะด้านข้างมานั่งลง
“สหายทั้งสองคงไม่ใช่คนในเมืองหลวงกระมัง คนที่โดดเด่นเช่นพวกท่าน ข้ากลับไม่เคยพบมาก่อน”
ไท้หยูพยักหน้าตอบว่า
“ใช่แล้ว ข้าและน้องชายเดินทางมาจากแดนไกล คิดมาชมดูเมืองหลวงอันคึกคักที่ผู้คนเล่าลือกันว่าล้ำเลิศหาที่ใดเปรียบไม่ได้อีก” หยุดหันมองโบ๋เวินจากนั้นกล่าวต่อว่า
“ข้าไท้หยูน้องชายข้าโบ๋เวิน ต้องขอบคุณน้ำใจพี่ชายที่ช่วยเหลือ”
เจียเซินยิ้มแย้ม เมื่อมุมปากยกขึ้นเผยลักยิ้มที่ข้างแก้มทั้งสองกล่าวว่า
“เมืองหลวงมีทุกอย่างที่ผู้คน้า สหายทั้งสอง้าสิ่งใดสามารถบอกข้า หากสามารถช่วยเหลือ ข้าจะช่วยอย่างเต็มที่”
โบ๋เวินที่นิ่งเงียบพลันเอ่ยขึ้นมาว่า
“ช่างเป็คนที่น้ำใจยิ่งนัก เพียงพบคนเดือดร้อนก็ช่วยเหลือ”
เจียเซินเพียงยิ้มกล่าวว่า
“น่าเสียดายที่ข้าตัวคนเดียว ไม่สามารถช่วยเหลือผู้คนที่ประสบปัญหาได้ทั้งหมด” ดวงตาสาดประกายเจิดจ้าใบหน้าเปลี่ยนเป็เคร่งขรึมขึ้นมา
“ในเมืองหลวงผู้ที่มีปัญหามีมาก ผู้มีปัญหาที่ตกตายก็เยอะยิ่ง”
โบ๋เวินพลันกล่าวว่า
“หลายครั้งคนชอบช่วยเหลือก็ตายเพราะยุ่งมากเกินไป”
ไท้หยูยิ้มแย้มกล่าวว่า
“ผู้คนมักกล่าวว่าเหล่านักเลงดุร้ายดั่งสุนัขจร ข้ายังคิดว่าเป็คนแท้ๆ ไฉนมีแต่คนเรียกว่าสุนัข ครั้งนี้ได้พบพานนับว่ารู้แจ้งแล้ว บิดาสุนัขเห่าได้เสียงดังจริงๆ”
หางตาของเจียเซินกระตุกถี่ๆ กล่าวเสียงเ็าว่า
“ไม่ยอมรับหรือ”
ไท้หยูยิ้มปลอดโปร่งตอบอย่างเฉยชาว่า
“ยอมหรือไม่ยอม? เฮ้อ หรือว่าเมืองหลวงเป็แหล่งสุมสุนัข ไปเรียกปู่ทวดสุนัขของเ้ามา สุนัขจรอย่างเ้ายังไม่มีสิทธิ์โอหังกับข้า” รอยยิ้มพลันเปลี่ยนเป็เ็า สองตาสาดประกายราวกับหิมะปลายฤดูสารทพร่างพรม โรงเตี้ยมพลันถูกแช่แข็ง ลมปราณสองสายจ่อที่คอหอยของเจียเซิน
ลมปราณที่ว่ามองไม่เห็นััไม่ได้ ทว่าเจียเซินผู้ได้รับขนานนามว่านักเลงอันดับหนึ่งสามารถรับรู้ได้ เย็นเยียบที่ลำคอ ลมหายใจสามารถดับลงได้ทุกเมื่อ มาตรว่าจิตใจยิ่งใหญ่ดั่งบรรพต ยังไม่กล้าเย่อหยิ่งต่อหน้าความตาย เจียเซินใกล้พังทลายหลั่งเหงื่อเย็นเยียบออกมา
ไท้หยูผงกศีรษะกล่าวว่า
“ทำได้ดี เป็สุนัขต้องเชื่อง หากไม่เชื่องคอหอยจะถูกเชือด” จากนั้นเปลี่ยนเป็เสียงดังขึ้นกล่าวว่า
“ยังไม่โผล่หัวออกมาอีกหรือศิษย์พี่”
น้ำเสียงเ็าพลันดังจากด้านหลังของไท้หยู เป็เสียงที่คุ้นเคยแต่ก็รู้สึกไม่คุ้นเคย
ที่คุ้นเคยเพราะนี้เป็เสียงของศิษย์พี่ ที่ไม่คุ้นเคยเพราะเสียงและคนล้วนเปลี่ยนไปแล้ว
“เ้าคิดว่าตนเองแข็งแกร่งไร้ผู้ต้านหรือไท้หยู” รุ่ยซวนในชุดดำปรากฏขึ้นที่ชั้นสอง บันไดขึ้นชั้นสองอยู่ด้านหลังของไท้หยู รุ่ยซวนหันหน้าจ้องมองแผ่นหลังของเขา ดวงตาเต็มไปด้วยเส้นเืฝอยแดงก่ำราวกับตาปีศาจ
ไท้หยูกล่าวโดยไม่หันหลังกลับ ยังกล่าวอย่างปลอดโปร่งว่า
“ศิษย์พี่ ท่านหลงทางแล้ว”
รุ่ยซวนแค่นเสียงเ็าตอบว่า
“เฮอะ แค่เพิ่มเด็กน้อยมาคนหนึ่งเท่านั้น เ้าคิดว่าตนเองมีผู้ช่วยเพียงฝ่ายเดียวหรือ”
ไท้หยูหัวร่อร่าในลำคออย่างไม่สนใจกล่าวว่า
“นอกจากระดับจิตไร้ขอบสี่คน ท่านจึงจะสามารถปลิดชีพข้าได้”
รุ่ยซวนพลันกล่าวว่า
“เ้าในตอนนี้ไม่จำเป็ต้องใช้จำนวนมากมายปานนั้น”
ไท้หยูพลันกล่าวว่า
“เช่นนั้นสักห้าคน” เสียงเปรี้ยง เจียเซินที่ด้านหน้าไท้หยูถูกลมปราณกระแทกกระเด็นออกนอกร้าน
โดยไม่หันกลับไท้หยูแบมือทั้งสองข้างออกจากนั้นกำเข้าหากัน อากาศไหวเป็ระลอก สายลมบังเกิดพัดเศษซากไม้พังขึ้นฟ้า มือทั้งสองของไท้หยูคล้ายกุมเชือกไว้เส้นหนึ่ง
ที่ด้านหลังลำคอรุ่ยซวนพลันปรากฏดาบปลายแหลมคมเกลียวคลื่น ดาบแทงใส่โดยไร้เสียงรวดเร็วปานสายฟ้า แสงสีเงินวาบขึ้น รุ่ยซวนพลันะโปราดขึ้นก็ตวัดเท้ากลับหลัง เตะใส่ดาบที่แทงออก
เปรี้ยง
ดาบและเท้าปะทะกัน ยามนั้นที่้ารุ่ยซวนพลันปรากฏสีดำวงหนึ่งกดทับลงมา เป็โล่กระดองเต่าสีดำไร้ประกาย พุ่งหวดใส่ราวกับหมัดั์สีดำ
ปัง
รุ่ยซวนปล่อยหมัดต้านปะทะ ทันทีที่หมัดปะทะกับโล่ ที่เอวซ้ายเปิดช่องว่างพลันบังเกิดประกายสีเงินยวงเย็นเยียบกรีดเป็วงทะลวงใส่ รุ่ยซวนที่เพิ่งเริ่มต่อสู้ก็ถูกบีบเข้าสู่สภาวะย่ำแย่ ยามคับขันรุ่ยซวนรั้งหมัดกลับ ปล่อยให้โล่สีดำกระแทกใส่ตัวเองปลิวไปด้านหลังหลบรอดจากดาบทะลวงไส้
จากนั้นหยิบยื่นสภาวะต่อเนื่องที่ถูกโจมตีกระเด็นพุ่งเข้าใส่ไท้หยู ร่างกลายเป็ควันเพียงพริบตาก็พุ่งถึงเบื้องหน้าไท้หยู กวาดมือสันดาบฟันใส่อย่างดุดัน