เหยาเชียนเชียนลอบผ่อนลมหายใจออกมา ที่จริงแล้วมีเื่หนึ่งที่นางไม่เคยพูดมาตลอด นั่นคือชาติที่แล้วนางแพ้เกสรดอกไม้
ดังนั้นถึงแม้ว่าร่างกายนี้จะไม่มีปัญหาด้านนั้น ทว่าเหยาเชียนเชียนยังคงปลีกตัวออกห่างจากสิ่งเหล่านี้ตามความเคยชิน
“เชียนเชียน แม้ว่าข้าจะไม่สามารถจัดงานแต่งงานตามรูปแบบเดิมให้เ้าได้ แต่ข้าสามารถให้เ้าได้เห็นทิวทัศน์อันสวยงามนี้ได้”
เป่ยเซวียนเฉิงยื่นดอกเบญจมาศในมือออกไปให้อย่างทะนุถนอม ราวกับกำลังมอบความจริงใจของตนให้ไป
ชิงผิงอ๋องกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นอย่างเงียบเชียบ ท่าทางข่มขู่ชัดเจนอย่างเห็นได้ชัด
“ขอบพระทัยองค์ชายสาม ที่จริงเมื่อลองคิดอย่างถี่ถ้วนแล้ว ดอกไม้นานาพันธุ์หลากสีสันเหล่านี้ไม่จำเป็ต้องชื่นชมเพียงชนิดเดียว ยามนี้หม่อมฉันมีดอกไห่ถังที่ชอบมากกว่าแล้ว ดอกเบญจมาศนี้ก็ปล่อยให้มันผลิบานอย่างเงียบสงบเถิด สำหรับมัน หากขาดหม่อมฉันชื่นชมไปเพียงสักคนก็คงไม่เป็อะไรหรอกเพคะ”
เหยาเชียนเชียนคำนับอย่างสง่างาม ก่อนจะกล่าวว่านางอยู่ในห้องนี้รู้สึกอึดอัดเล็กน้อย จำต้องเสียมารยาทออกไปสูดอากาศข้างนอกสักหน่อย ชายหนุ่มสองคนที่เหลืออยู่ยังไม่มีผู้ใดยอมถอยออกไป ส่งผลให้แเื่ที่อยากเข้ามาคารวะสุราต่างพากันกลับไปนั่งประจำที่
“เฮ้อ...”
เหยาเชียนเชียนค่อยๆ ถอยออกมาและเดินมาหยุดลงบริเวณริมทะเลสาบแห่งหนึ่ง รอบข้างปลอดผู้คน นางจึงมองหาหินก้อนใหญ่สะอาดๆ ก้อนหนึ่งและนั่งลงไป
ในทะเลสาบแห่งนี้เลี้ยงปลาหลี่แดง [1] ไว้มากมาย เหยาเชียนเชียนมองพวกมันแย่งอาหารกันอย่างเพลิดเพลิน พลางอดนึกถึงสถานการณ์ตึงเครียดเมื่อครู่ขึ้นมาไม่ได้
ชิงผิงอ๋องและองค์ชายสามต่างก็ดูเหมือนว่าจะไม่ได้เป็ผู้ใหญ่มากไปกว่าปลาน้อยเหล่านี้เท่าไรนัก
“ว่ากันว่า ‘นารีเป็เหตุ’ รูปโฉมของข้างดงามถึงระดับที่สามารถนำหายนะมาสู่องค์ชายทั้งสองได้เชียวหรือ?”
หญิงสาวก้มหน้ามองเงาสะท้อนบนผืนน้ำ ที่จริงแล้วใบหน้านี้ค่อนข้างคล้ายคลึงกับใบหน้าของนางในชาติที่แล้ว เพียงแต่อ่อนวัยกว่ามาก อีกทั้งยังผิวพรรณดี และมีใบหน้างดงามกว่าเล็กน้อย มองเพียงปราดเดียวก็สามารถเรียกได้ว่าเป็คนงามคนหนึ่ง
“ไม่รู้ว่าท่านอ๋องคุยกับองค์ชายสามจบแล้วหรือยัง ที่จริงก็รับประทานอาหารไปประมาณหนึ่งแล้ว ดูแล้วก็ถึงเวลาที่จะ...กรี๊ด!”
น้ำสาดกระเซ็นไปทั่วบริเวณ เหยาเชียนเชียนรู้สึกเพียงมีแรงมวลหนึ่งผลักนางอย่างรุนแรงจากข้างหลัง นางถูกผลักตกน้ำโดยไม่ทันตั้งตัว ทำให้สำลักน้ำคำใหญ่ก่อนจะเริ่มตีแขนสะเปะสะปะ
ข้าหลวงคนหนึ่งที่นางไม่เคยเห็นมาก่อนยืนอยู่ริมทะเลสาบ คล้ายกับยังไม่วางใจว่านางจะจมน้ำตายหรือไม่ คนผู้นั้นจึงขว้างก้อนหินใส่นางอีกหลายครั้ง
เหยาเชียนเชียนตั้งใจเลือกสถานที่ที่ไร้ผู้คนด้วยคิดว่านางจะได้สูดอากาศสักหน่อย แต่ไม่คิดว่าจะกลายเป็การเปิดทางให้อีกฝ่ายพอดี คนผู้นั้นรอจนกระทั่งผิวน้ำไร้การเคลื่อนไหวแล้วจึงรีบหนีไป
เวลาผ่านไปหนึ่งเค่อ [1] ถึงจะมีคนวิ่งเข้าไปรายงานในตำหนักอย่างลนลานว่าพบอาภรณ์ของพระชายาชิงผิงอ๋องในทะเลสาบ ทว่าไม่พบตัวหวังเฟย
เป่ยเหลียนโม่ผลักเป่ยเซวียนเฉิงที่ยังคงถลึงตาใส่เขาอยู่ให้ออกไป ในขณะที่ทุกคนยังไม่มีปฏิกิริยาใดๆ เขาก็พุ่งออกไปราวกับสายฟ้าสีดำสายหนึ่งก่อนแล้ว
ใจกลางทะเลสาบมีชุดคลุมตัวนอกตัวหนึ่งลอยอยู่จริงๆ เป่ยเหลียนโม่ลมหายใจขาดห้วง นั่นเป็ชุดที่เหยาเชียนเชียนสวมในยามเช้าและเขาก็พอใจกับมันมาก หัวใจของเขาปวดหนึบ เหตุใดก่อนออกมาอาเหยียนถึงไม่บอกว่านางจะมีอันตราย เพราะเหตุใดกัน...
จริงด้วย เป่ยเหลียนโม่สงบใจลงได้หลายส่วน ในเมื่ออาเหยียนทำพันธสัญญากับนางแล้ว จึงเป็ไปไม่ได้ที่จะไม่รับรู้เหตุการณ์เช่นนี้ล่วงหน้า ในเมื่ออาเหยียนไม่แจ้ง นั่นก็หมายความว่านางไม่ได้เป็อันตรายถึงชีวิต
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เป่ยเหลียนโม่ก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวเหยียด และในยามนั้นถึงได้พบว่าฝ่ามือเต็มไปด้วยเหงื่อเย็นเยียบ เป่ยเซวียนเฉิงที่อยู่ด้านข้างก็ถูกประคองวิ่งเข้ามาด้วย ชิงผิงอ๋องถือโอกาสตบบ่าของเขาพร้อมกับเช็ดเหงื่อบนฝ่ามือจนสะอาดไปด้วย
“เชียนเชียน...”
ชุดคลุมตัวนอกที่ข้าหลวงกู้ขึ้นมาได้เป็ชุดเดียวกับที่เหยาเชียนเชียนสวมใส่จริงๆ ทว่ายามนี้กลับไม่พบตัวนาง เป็ไปได้เก้าในสิบส่วนว่านางอาจจะจมดิ่งลงสู่ก้นทะเลสาบแล้ว
“เกิดเหตุอันตรายกับเชียนเชียนขึ้นภายในตำหนักของพี่สาม ไม่ว่าอย่างไรวันนี้พี่สามจะต้องมีคำอธิบายแก่เปิ่นหวัง”
เป่ยเซวียนเฉิงตกอยู่ในภวังค์ ท่าทางของเขาในยามนี้ไม่ใช่การเสแสร้ง เขาไม่คิดเลยว่าเหยาเชียนเชียนจะตายไปทั้งอย่างนี้ และตายไปอย่างเงียบๆ ก่อนที่เขาจะได้เห็นความรู้สึกที่แท้จริงที่มีต่อนางได้ชัดเจน
“ผู้ใด” เขากำหมัดแน่น “ผู้ใดกันที่ขวัญกล้าเทียมฟ้ากระทั่งกล้าทำร้ายหวังเฟยในวังหลวง!”
เป่ยเหลียนโม่มองเขาแผดเสียงคำรามก้องด้วยแววตาเ็า สายตากวาดมองผู้คนที่อยู่ในเหตุการณ์ พวกเขาล้วนมีสีหน้าหวาดหวั่นด้วยกลัวว่าเื่จะเกี่ยวพันมาถึงตัวเอง
“ให้หลี่ผิงนำกองกำลังคุ้มกันนครหลวงล้อมที่นี่ไว้ แม้แต่แมลงวันเพียงตัวเดียวก็ห้ามไม่ให้บินออกไปได้!”
กองกำลังคุ้มกันนครหลวงอยู่ภายใต้บัญชาของชิงผิงอ๋อง ไม่จำเป็ต้องมีสัญลักษณ์ยืนยันอย่างป้ายคำสั่ง ขอเพียงตัวเขาผู้นี้ยืนอยู่ที่นี่ ถ้อยคำที่เขาเอ่ยออกมาก็คือคำสั่ง
พระชายาของชิงผิงอ๋องพลัดตกน้ำโดยไม่ทราบสาเหตุ และยามนี้ไม่ทราบว่าเป็หรือตาย แเื่ที่มาถึงที่เกิดเหตุไม่มีผู้ใดไม่พูดคำว่า ‘โชคร้าย’ ในใจ ไม่เพียงแค่พูดแทนเหยาเชียนเชียน แต่ยังเป็การพูดแทนตัวเองอีกด้วย
พวกเขามาร่วมงานเลี้ยงรื่นเริงอยู่ดีๆ ไม่คาดคิดว่าจะต้องมาเสี่ยงชีวิตอีก งานแต่งงานครั้งนี้ไม่เป็มงคลั้แ่แรกเริ่มโดยแท้
ข้าหลวงยังคงงมหาในทะเลสาบ และเป่ยเหลียนโม่ได้สั่งให้ทหารเข้าล้อมรอบทั่วทั้งตำหนักแล้ว กองกำลังคุ้มกันนครหลวงที่สวมหมวกเหล็กกับเสื้อเกราะและในมือถือกระบี่คมเริ่มค้นหาไปทีละห้อง
เป่ยเซวียนเฉิงลุกขึ้นยืนด้วยท่าทางเฉื่อยเนือย เขามองไปยังเป่ยเหลียนโม่ที่อยู่ข้างกัน
“ที่นี่คือตำหนักของข้า แม้ว่ายามนี้ชายาชิงผิงอ๋องจะเสียชีวิตเพราะอุบัติเหตุ ทว่าการค้นตำหนักของข้าอย่างอุกอาจเช่นนี้ก็ยังคงขัดต่อระเบียบ น้องสี่คงไม่ได้สงสัยว่าคนในตำหนักของข้าลงมือทำร้ายหวังเฟยกระมัง?”
เป่ยเหลียนโม่ยืนตระหง่านอยู่ริมทะเลสาบ เขาเพิกเฉยต่อคำถามของเป่ยเซวียนเฉิง แม้ว่าจะเชื่อมั่นในความสามารถของอาเหยียน ทว่ายามนี้ไม่เห็นคนเป็ไม่พบคนตายก็ยังไม่อาจทำให้ใจเขาสงบลงได้
“วันนี้เป็วันมงคลของข้า และยิ่งไปกว่านั้น เชียนเชียนและข้า...” เขาหยุดพูดไปชั่วครู่เมื่อสังเกตเห็นแววตาตักเตือนที่ส่งมาจากคนข้างๆ “ข้าไม่มีเหตุผลที่จะทําร้ายนางเลย"
เป่ยเหลียนโม่กระตุกยิ้มมุมปาก ยามนี้เป่ยเซวียนเฉิงยังไม่รู้อีกหรือ ตัวเขาไม่มีเหตุผล แต่คนรอบตัวเขากลับมีเหตุผลมากมายที่จะเอาชีวิตของเหยาเชียนเชียน
อวี๋ผินคงอยากจะฉีกเหยาเชียนเชียนออกเป็ชิ้นๆ ั้แ่ยามที่ถูกปลดจากตำแหน่งแล้วกระมัง ประกอบกับเช่อเฟยขององค์ชายสามที่เพิ่งเสร็จสิ้นพิธีในวันนี้ สตรีสองคนที่ใกล้ชิดกับเป่ยเซวียนเฉิงมากที่สุดต่างก็อยากจะฆ่าเหยาเชียนเชียนให้ตาย เหตุผลนี้ยังไม่เพียงพออีกหรือ
“ข้าว่านับวันอาการหลงลืมของพี่สามก็ยิ่งหนักขึ้นเรื่อยๆ” เป่ยเหลียนโม่ยิ้มเย็น “ข้าขอกล่าวด้วยคำที่ไม่น่าฟังก่อนแล้วกัน หากวันนี้เชียนเชียนกลับมาได้อย่างปลอดภัยก็แล้วไป แต่หากนางได้รับาเ็แม้เพียงนิดเดียว ข้าจะลากตัวเช่อเฟยเหนียงเหนี่ยงออกมาอธิบายให้ชัดเจนอย่างแน่นอน”
เป่ยเซวียนเฉิงหันกลับไปด้วยอารมณ์โกรธ เื่นี้ยังไม่มีข้อสรุป เหยาเชียนเชียนพลาดตกน้ำไปเองหรือมีคนทำร้ายนางก็ยังไม่อาจทราบ แต่เป่ยเหลียนโม่กลับระบุตัวคนร้ายไปก่อนแล้ว เช่นนี้มันสมเหตุสมผลหรือ!
แต่ทันใดนั้น เป่ยเซวียนเฉิงก็ได้รู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้อยากกล่าวด้วยเหตุผลั้แ่แรกอยู่แล้ว
กองกำลังคุ้มกันนครหลวงบุกเข้าไปในเรือนหออย่างไม่เกรงใจ และขับไล่สาวใช้ที่ติดตามซ่งอีอีผู้เป็เช่อเฟยออกไปทั้งหมดด้วยเหตุผลอันยุติธรรมอย่างยิ่ง นั่นคือ้าค้นหามือสังหารและตามหาพระชายาชิงผิงอ๋อง
“เรือนในของวังหลวงจะมีมือสังหารได้อย่างไร พวกเ้ากล้าดีอย่างไร!”
ซ่งอีอีเกือบจะเป็ลมล้มไป นางสั่งให้สาวใช้ช่วยประคองมาที่ริมทะเลสาบ
ผู้คนมองกันตาปริบๆ ทั้งอย่างนั้น เช่อเฟยเหนียงเหนี่ยงที่แต่เดิมควรจะงดงามที่สุดในวันนี้กลับไร้ซึ่งผ้าคลุมศีรษะเ้าสาว ทั้งยังมีใบหน้าซีดขาวและเส้นผมยุ่งเหยิงเล็กน้อยด้วยอาจเพราะวิ่งมาอย่างรีบร้อน มีเพียงคำว่า ‘กระเซอะกระเซิง’ เท่านั้นที่สามารถบรรยายได้
“องค์ชาย” ซ่งอีอีถลาเข้าสู่อ้อมแขนของเป่ยเซวียนเฉิง “หน่วยคุ้มกันไล่หม่อมฉันออกมาอย่างไม่สนใจไยดี พวกเขาจะก่อฏในวังหลวงแห่งนี้หรืออย่างไร?”
รองแม่ทัพหลี่ผิงเดินนำมาพร้อมกับผู้ติดตามอีกสองสามคน พวกเขามุ่งตรงไปคุกเข่าลงตรงหน้าเป่ยเหลียนโม่โดยที่ไม่มองซ่งอีอีที่กำลังร่ำไห้ร้องทุกข์อยู่แม้แต่น้อย
“ท่านอ๋อง พบพืชน้ำที่เป็ชนิดเดียวกันกับในทะเลสาบที่เรือนปี้เทา อีกทั้งยังดูสดใหม่อยู่มาก คาดว่าน่าจะเป็พืชที่ติดอยู่บนตัวหวังเฟยพ่ะย่ะค่ะ” รองแม่ทัพสีหน้าจริงจัง “บางทีคนร้ายอาจจะ้าพาตัวหวังเฟยไปและทำมันตกไว้โดยไม่ทันระวัง”
“บังอาจ!”
ซ่งอีอีตวาด “คนร้ายอันใดกัน เรือนปี้เทาของข้าจะมีคนร้ายได้อย่างไร หลักฐานก็ไม่มี แต่เ้ากลับใส่ร้ายเช่อเฟยขององค์ชายสาม ควรจะ...”
“หุบปาก” เป่ยเหลียนโม่กล่าวเสียงเย็น “เช่นนี้แล้วก็ไม่สามารถใช้เป็หลักฐานได้ เช่อเฟยบอกเปิ่นหวังมาสิ สิ่งใดจึงจะนับว่าเป็หลักฐานได้”
เสียงของเขาไม่ดังนัก แต่กลับทำให้ผู้คนที่อยู่ในเหตุการณ์ฟังแล้วล้วนรู้สึกราวกับมีหินขนาดใหญ่กดทับอยู่ในใจ มันอึดอัดเสียจนหายใจไม่ออก
วันพิธีอภิเษกสมรส เช่อเฟยขององค์ชายสามทำร้ายชายาของชิงผิงอ๋อง มาร่วมงานครั้งนี้ก็ถือว่าคุ้มค่ามากแล้ว
“ค้นหาให้ทั่วทุกกระเบียดนิ้ว ไม่ว่ามุมใดก็ห้ามปล่อยผ่านไปเด็ดขาด”
แววตาเคร่งขรึมของเป่ยเหลียนโม่ราวกับมีดที่ผ่าทุกอย่างของนางออก ซ่งอีอีกอดแขนตัวเองไว้อย่างอดไม่ได้ นางเชื่ออย่างสนิทใจเลยว่าหากการตายของเหยาเชียนเชียนในวันนี้ตกมาอยู่ที่นาง ชิงผิงอ๋องจะต้องฉีกศพนางออกเป็หมื่นชิ้นอย่างแน่นอน
ข้าหลวงงมทะเลสาบมาเป็เวลานานมากแล้วแต่ก็ยังไม่พบศพ ทุกคนต่างคาดเดากันว่าพระชายาของชิงผิงอ๋องยังไม่ตาย หรือไม่ก็ศพของนางถูกเคลื่อนย้ายไปแล้ว
เช่นเดียวกับพืชน้ำที่พบในเรือนปี้เทาเ่าั้ก็คงไม่ได้ขึ้นมาจากน้ำด้วยตัวมันเองกระมัง
เป่ยเซวียนเฉิงตื่นตระหนก ทว่าความโกรธยังคงอัดแน่นอยู่ในอกไม่สลายหายไป ส่งผลให้เขาไอจนตัวโยน ซ่งอีอีที่อยู่ข้างๆ ช่วยประคองเขา หมายจะกลับไปที่ตำหนักเพื่อนั่งพักสักครู่ แต่กลับถูกกระบี่คมเย็นเฉียบขวางไว้
“ชิงผิงอ๋องทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไรเพคะ?” ซ่งอีอีขบฟัน เพื่อเหยาเชียนเชียนเพียงคนเดียว เขาสั่งให้กองกำลังคุ้มกันนครหลวงปิดล้อมทั่วทั้งตำหนักไว้ และกักตัวนางและองค์ชายสาม รวมถึงแเื่ทุกคนไว้ที่นี่ ระรานทุกคนโดยไม่คำนึงถึงสิ่งใด
เพียงเพื่อเหยาเชียนเชียนคนเดียว!
“หวังเฟยของเปิ่นหวังเป็หรือตายยังไม่ทราบแน่ชัด จนกว่านางจะกลับมาอยู่ข้างกายเปิ่นหวังอย่างปลอดภัย จะไม่มีผู้ใดได้ออกไปจากที่นี่ทั้งนั้น”
เป่ยเหลียนโม่กล่าวออกมาอย่างเดือดดาล ทว่าไม่มีผู้ใดกล้าส่งเสียง
กองกำลังคุ้มกันยืนอยู่ข้างหลังด้วยท่าทางเยือกเย็น ราวกับพร้อมจะดึงดาบและกระบี่ออกมาสังหารทันทีหากผู้ใดกล้าทำอะไรบุ่มบ่าม
แผ่นหลังของซ่งอีอีเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อเย็น หัวใจของนางราวกับตกลงไปในกระทะน้ำมัน ทำได้เพียงรอให้เป่ยเหลียนโม่เอ่ยปากขึ้นมาอีกครั้งอย่างทรมาน จะต้องหาเหยาเชียนเชียนน่าตายผู้นั้นให้พบ ก่อนที่นางจะถูกบังคับให้รีดเอาเืหยดสุดท้ายออกมา
“เ้าทำหรือ?”
เป่ยเซวียนเฉิงกระซิบถามด้วยน้ำเสียงไม่บ่งบอกอารมณ์ ราวกับเป็เพียงคำถามส่งเดช
ซ่งอีอีฟื้นคืนสติกลับมาด้วยความตระหนก นางขบกรามแน่นพร้อมส่ายหน้า
แม้ว่านางอยากจะส่งเหยาเชียนเชียนไปลงนรกเสียเดี๋ยวนี้ แต่ก็ไม่โง่เขลาถึงขนาดที่จะลงมือในวันแต่งงานของตัวเอง และนางก็อยากรู้เช่นกันว่าผู้ใดเป็ผู้บงการอยู่เื้ั
“องค์ชาย หม่อมฉันไม่ได้ทำจริงๆ นะเพคะ แม้ว่าหม่อมฉันจะเคยมีเื่ผิดใจกับพระชายาของชิงผิงอ๋อง ทว่าไม่มีทางทำร้ายนางถึงชีวิตแน่นอนเพคะ ถึงแม้ว่าทุกคนล้วนสงสัยหม่อมฉัน แต่องค์ชายก็ควรจะเชื่อหม่อมฉันสิเพคะ”
เป่ยเซวียนเฉิงหลับตาลง หากให้พูดถึงคนที่อยากฆ่าเหยาเชียนเชียนมากที่สุดในที่นี้ เขานึกถึงผู้อื่นไม่ได้แล้วนอกจากเช่อเฟยของเขาผู้นี้ ทว่านางก็ไม่น่าเลือกลงมือในวันนี้จริงๆ แต่นอกจากนางแล้วจะเป็ผู้ใดไปได้อีกเล่า
“ท่านอ๋อง!”
รองแม่ทัพรุดหน้าเข้ามาอย่างรีบร้อนด้วยสีหน้าหลากหลายอารมณ์ “พบตัวหวังเฟยแล้ว เชิญท่านอ๋องเสด็จไปตรวจสอบพ่ะย่ะค่ะ”
เป่ยเหลียนโม่สืบเท้ายาวๆ ตรงไปยังห้องจัดวางสินเดิมของจวนเฉิงเซี่ยงด้วยท่าทางขึงขัง เขากวาดสายตามองไปทีละหีบ และหนึ่งในนั้นกำลังมีน้ำซึมออกมาช้าๆ
เป่ยเหลียนโม่เปิดหีบออกอย่างแ่เบา ข้างในคือเหยาเชียนเชียนที่ตามหากันมาเนิ่นนานอย่างยากลำบากกำลังนอนอยู่อย่างสงบ
เชิงอรรถ
[1] ปลาหลี่แดง หมายถึง ปลาคาร์ป
[2] หนึ่งเค่อ เป็การนับเวลาแบบจีนโบราณ โดย 1 เค่อ เท่ากับ 15 นาที
