ข้ากำลังคิดอะไรอยู่?! แม้ว่าเป็จะเด็กน้อย...แต่ถือโอกาสตอนที่ผู้อื่นหลับอยู่แอบหอม หากหลี่อวิ๋นหังตื่นขึ้นมาแล้วรู้เข้าต้องโกรธและรังเกียจอย่างแน่นอน เอ่อ ช่างมันไปเถอะ ช่างมัน
เจียงเฉิงเยว่รีบกำจัดความคิดอย่างรวดเร็ว หยิบพรมมาห่ออีกฝ่าย จากนั้นอุ้มขึ้นมาอย่างระมัดระวังเดินไปที่ห้องพักในบ้านพัก ดีที่ศิษย์ทั้งหมดหลับไปแล้วในเวลานี้ จึงไม่เจอใครระหว่างทาง
เขาพาหลี่อวิ๋นหังตรงไปที่ห้องของอีกฝ่ายเองแล้ววางบนเตียง ดึงผ้าห่มผืนบางจากด้านข้างมาห่มให้ จากนั้นก็ล่องหนมานอนอยู่ข้างกายโดยเว้นระยะห่าง่หนึ่ง ดังนั้น เขาจึงต้องนอนลงบนขอบเตียง
ฝันเหมือนไม่ฝัน ตื่นเหมือนไม่ตื่นมาสองชั่วยาม เจียงเฉิงเยว่ถือโอกาส่ที่หลี่อวิ๋นหังยังไม่ตื่นเพื่อเตรียมกลับห้องของตนเอง เพราะอย่างนั้นจึงจงใจไม่ให้ตัวเองหลับลึก เมื่อถึงเวลาก็ลืมตามามองสีของท้องฟ้าที่นอกหน้าต่าง หลังจากแน่ใจว่าตนเองไม่ได้นอนมากเกินไป เขาถอนหายใจด้วยความโล่งอก
หลี่อวิ๋นหังยังคงหลับสนิทอยู่บนเตียง เจียงเฉิงเยว่กำลังจะลงจากเตียงเพื่อจากไปอย่างระมัดระวัง จู่ๆ ข้อมือซ้ายพลันถูกรัดแน่น ทันใดนั้นพบว่าแขนเสื้อของตนถูกหลี่อวิ๋นหังทับไว้อย่างแ่าั้แ่เมื่อไรไม่รู้อย่างคาดไม่ถึง
นี่ช่าง...เขาลองขยับดูแล้ว ขณะที่เตรียมจะดึงออกมา ใบหน้าที่หลับใหลอย่างสงบสุขของหลี่อวิ๋นหังเคลื่อนไหวเล็กน้อยราวกับระลอกคลื่นบนผิวน้ำ คิ้วกระตุกเบาๆ จมูกขยับ ขนตาสั่นไหวตามไปด้วย...เจียงเฉิงเยว่ไม่กล้าเคลื่อนไหวอีกเพราะกลัวว่าจะเป็การปลุก
ทางเลือกสุดท้าย เจียงเฉิงเยว่ทำได้เพียงต้องใช้เคล็ดวิชาส่งตัวระยะไกลโดยปัดเบาๆ ละทิ้งแขนเสื้อของตนเองไปครึ่งหนึ่ง เช่นนี้จึงผละออกมาได้
เขามองเสื้อของตนเองที่ขาดไปครึ่งแขน ส่งเสียงไม่พอใจเล็กน้อย เมื่อคืนมาจากห้องอักษรโดยตรง เขายังคงสวมเครื่องแบบของศิษย์แห่งวิหารหลิงเซียวซึ่งเป็เสื้อแขนกว้าง ฉะนั้นตอนนี้ใต้ร่างของหลี่อวิ๋นหังจึงกดทับผ้าสามชั้นั้แ่เสื้อชั้นกลางไปยังเสื้อคลุมตัวนอก เลยผ่านไปยังเสื้อ...ดีที่เขาใช้เคล็ดวิชาล่องหนให้ตนเองซึ่งนับรวมเสื้อผ้าไปด้วย เพราะอย่างนั้นเด็กคนนี้จึงไม่ควรพบสิ่งผิดปกติยามตื่นขึ้นมา
เจียงเฉิงเยว่มองที่ข้อมือขาวของตนเองซึ่งโผล่พ้นออกมาจากช่องว่างของแขนเสื้อที่ขาด ทั้งรู้สึกอับอายและขบขัน ท้ายที่สุดเขาไม่กล้าอยู่ต่อไป รีบจากไปในตอนที่หลี่อวิ๋นหังยังไม่ตื่นดี
เมื่อกลับถึงห้องของตนเองเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมนอนหลับต่อ ทันใดนั้นภายในใจของเขาพลันสั่นไหว ยามนึกถึงบางสิ่ง เขานิ่งค้างไปแล้วหัวเราะออกมา ตลอดทั้งค่ำคืนนี้เขา ‘แบ่งลูกท้อและตัดแขนเสื้อ’ กับหลี่อวิ๋นหังทั้งหมดเลยหรือ?! แม้ว่าจะเป็ความหมายของตัวอักษรว่า ‘แบ่งลูกท้อ’ กับ ‘ตัดแขนเสื้อ’ก็ตาม
หากอีกฝ่ายเป็ผู้ใหญ่ ด้วยรูปลักษณ์ของหลี่อวิ๋นหัง ฉิงชางจวินกลับรู้สึกว่านี่เป็เื่เล็กน้อยที่ชุ่มชื่นหัวใจ เพียงแต่ว่าหากอีกฝ่ายคือเด็กอายุสิบเอ็ดปี เช่นนั้นก็หลงเหลือเพียงความอับอายและขบขันเท่านั้น ขณะที่เจียงเฉิงเยว่กำลังคิดก็ห่อตนเองด้วยผ้าห่ม จากนั้นกลิ้งไปในเตียงแล้วนอนหลับอย่างสงบอยู่พักหนึ่ง
.............................
สามวันต่อมา เจียงเฉิงเยว่ยังทำแบบเดียวกัน ล่องหนแล้วะแอบเข้าไปปกป้องในห้องของหลี่อวิ๋นหัง รอจนแสงยามเช้าสว่างเล็กน้อยถึงกลับไปที่ห้องของตนเองเพื่อนอนต่อ จนกระทั่งคืนเดือนดับผ่านพ้นไป
ตามกาลเวลาที่ผ่านไปนานขึ้น เจียงเฉิงเยว่รู้สึกว่าความสัมพันธ์ของเขากับหลี่อวิ๋นหังค่อยๆ ดีขึ้นเล็กน้อย แม้ว่าหลี่อวิ๋นหังยังคงหลุดเย้ยหยันเสด็จพี่ผู้นี้ของตนเป็ครั้งคราว แต่กลับไม่ได้ปฏิเสธ และเมื่อเห็นเขาก็ไม่หลีกเลี่ยงเหมือนอย่างตอนแรก ยามองค์ชายห้าอารมณ์ดียังเต็มใจที่จะสนใจพี่ชายผู้นี้ด้วย
ภายในใจของเจียงเฉิงเยว่นึกถึงขอบหน้าผาที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยพลังิญญาที่เขาหาเจอมาโดยตลอด แต่เมื่อคิดว่าที่แห่งนั้นมีศิษย์คนอื่นๆ ค้นพบแล้ว ทำให้เขาไม่สามารถไปที่นั่นได้ตาม้า จึงรู้สึกหดหู่ใจเป็อย่างมาก
แต่ว่า ใช่ว่าเขาไม่มีวิธี
เขาล่องหนเป็เวลาหลายวันเพื่อแอบไปตรวจสอบ หลังจากทราบกฎการปรากฏตัวของศิษย์เ่าั้จากสำนักอื่น วันนี้จึงคิดออกมาได้ว่า อย่างแรกต้องจงใจชมซุปเห็ดสน1 ของวิหารหลิงเซียวว่าอร่อยอย่างเกินจริง ต่อด้วยจงใจแสดงท่าทีรู้สึกสนใจเป็พิเศษต่อการเก็บเห็ดสนต่อหน้าผู้คน หลังจากนั้นกระตุ้นให้เหล่าศิษย์ของวิหารหลิงเซียวเข้าร่วมกับเขา และพาเหล่าข้าราชบริพารเคลื่อนตัวกันออกมาเพื่อเก็บเห็ดสน
เมื่อออกมาแล้วเขาร้องขอให้ทุกคนแยกกันค้นหา ส่วนตนเองไปยังขอบหน้าผาที่ค้นพบก่อนหน้านี้เพียงลำพัง
จากตัวอย่างของหลี่อวิ๋นหัง เขาเชื่อว่าเพียงเขาได้พบกับศิษย์เ่าั้ที่ด้านนั้นของขอบหน้าผา ต้องขัดแย้งกับพวกเขาอย่างแน่นอน และจุดประสงค์ของเขาก็เป็เช่นนั้นพอดี คือการทำให้ตนเองซึ่งเป็องค์รัชทายาทที่ ‘ป่วยและอ่อนแอ’ ถูกพวกเขา ‘กลั่นแกล้ง’ เล็กน้อย ต่อมาศิษย์วิหารหลิงเซียวจึงรีบมาช่วยเหลือหลังจากได้ยินเสียง ท้ายที่สุดแล้วตนที่เป็องค์รัชทายาท เื่ราวจะยิ่งใหญ่โต หากอีกฝ่ายมีเหตุผลไม่เพียงพอ...กรรมสิทธิ์ที่ดินตรงนั้นย่อมสามารถ...ค่อยๆ พูดคุยและปรึกษากันได้
ฉิงชางจวินไม่ยอมรับว่าที่เขาทำเช่นนี้เพราะโกรธที่น้องห้าถูกผู้อื่นกลั่นแกล้งเมื่อครั้งก่อน จึงหาวิธีที่จะกลั่นแกล้งกลับ
เขาแสร้งทำเป็เดินอย่างไม่ใส่ใจไปยังขอบหน้าผาแห่งนั้น ทว่าหลังจากได้ยินเสียงฝีเท้าจากด้านหลังจึงหยุดเท้าอย่างประหลาดใจเล็กน้อย เมื่อหันกลับไปเขาเห็นว่าหลี่อวิ๋นหังผละออกจากกลุ่มคนแล้วตามเขามา
“อาหัง?” เจียงเฉิงเยว่รู้สึกลำบากใจขึ้นมา ที่จริงแล้วเขาไม่ค่อยอยากให้หลี่อวิ๋นหังไปกับตนเองเพื่อปะทะกับอีกฝ่าย...ท้ายที่สุดเมื่อคนเ่าั้ลงมือและช่วยเหลือ ยามนั้นตัวเขาเอง...ยังต้องแสร้ง ‘ป่วยและอ่อนแอ’ นอกจากนั้นยังกลัวว่าหากตนเองถูกทุบตีจนปัสสาวะเล็ดต่อหน้าน้องห้า...คงน่าอายอยู่บ้าง
เจียงเฉิงเยว่ถามด้วยรอยยิ้ม “เ้ามาที่นี่ทำไม?”
หลี่อวิ๋นหังที่เอามือไพล่หลังเหมือนชายชราตัวน้อยด้วยใบหน้าซาลาเปาตอบกลับอย่างจริงจัง “ค้นหาเห็ดสน”
เจียงเฉิงเยว่ “...”
แม้ว่าจะมีตัวแปรเพิ่มขึ้นมา แต่แผนที่ควรดำเนินการก็ยังต้องดำเนินต่อไป เจียงเฉิงเยว่ไม่มีทางเลือกอื่น จึงทำได้เพียงแสร้งทำเป็ ‘ไม่ได้จงใจ’ ไปยังสถานที่ที่กำหนดไว้อย่างลำบาก
เขาคำนวณเวลาไว้เรียบร้อย แน่นอนว่าเป็ไปตามคาด เมื่อไปยังขอบหน้าผาเขาเห็นเด็กหนุ่มในเครื่องแบบสีน้ำตาลเจ็ดแปดคน
ใขณะนี้เหล่าเด็กหนุ่มกำลังรวมตัวกันเตรียมที่จะนั่งสมาธิ เมื่อถูกคนอื่นรบกวนย่อมไม่พอใจเป็อย่างยิ่ง มีคนผู้หนึ่งะโว่า “เป็ผู้ใด?”
เจียงเฉิงเยว่แสร้งทำเป็มองพวกเขาด้วยความประหลาดใจ “เอ๊ะ?” จากนั้นหันมามองหลี่อวิ๋นหังที่อยู่ด้านหลังอย่างไร้เดียงสา “อาหัง ที่นี่มีคนอยู่เยอะเลย”
ใบหน้าของหลี่อวิ๋นหังมืดมนราวกับน้ำแข็งผนึก จากนั้นรีบก้าวมาข้างหน้า เดินมาอยู่หน้าเจียงเฉิงเยว่อย่างรีบร้อน
เหล่าเด็กหนุ่มจำเขาได้ เมื่อเห็นเขาสีหน้าจึงเปลี่ยนไปโดยพลัน จากนั้นค่อยๆ รวมตัวกันและแสดงท่าทีราวกับพบศัตรู
เด็กหนุ่มที่อายุมากที่สุดเริ่มเย้ยหยัน “เป็เ้าจริงด้วย!”
เจียงเฉิงเยว่มีสีหน้าไร้เดียงสา “อาหัง เ้ารู้จักพวกเขาหรือ?”
หลี่อวิ๋นหังพูดอย่างเ็า “ไม่รู้จัก”
เด็กหนุ่มผู้นั้นยิ้มเย้ยหยันแล้วพูดต่อ “เลิกเสแสร้งได้แล้ว! ครั้งก่อนพี่ชายพวกเราประมาทจึงตกหลุมพรางของเ้า! แม้ว่าเ้าจะเรียกผู้ช่วยมาในวันนี้...ก็จะทุบตีเ้าจนต้องร้องไห้หาพ่อแม่!”
ใบหน้าของหลี่อวิ๋นหังมืดสนิท
หลังจากที่เด็กหนุ่มหลายคนนั้นเสียท่าในครั้งที่แล้ว ครั้งนี้จึงมีการเตรียมตัวอย่างที่คาดการณ์ ทุกคนนำฝ่ามือเข้าไปในแขนเสื้อ ดึงดาบิญญาออกมาจากถุงเฉียนคุนในแขนเสื้ออย่างเกินความคาดหมาย
เจียงเฉิงเยว่ตกตะลึง เขาเตรียมที่จะเล่นอุบายเล็กน้อยในการกลั่นแกล้ง แต่ไม่ได้คิดจะใช้อาวุธที่แท้จริง!!! เด็กกลุ่มนี้ ดูเหมือนโตที่สุดก็ไม่เกินสิบสี่สิบห้าปี...กลับรุนแรงเกินความคาดหมายเสียจริง
ในที่แห่งนี้เขาอยู่กับหลี่อวิ๋นหังสองคน ตัวเขาในปัจจุบันกำหนดไว้เป็ ‘องค์รัชทายาทขี้โรค กระทั่งฝ่ามือไร้แรงจับไก่’ จึงไม่มีความเคยชินในการพกอาวุธ เมื่อในมือปราศจากอาวุธ ด้านหลังยังพาเด็กมาด้วย...เขาจึงกัดฟัน ตัดสินใจล้มเลิกแผนนี้อย่างโกรธแค้น เตรียมจะเรียกคนมา กลับเห็นว่าร่างผอมบางของหลี่อวิ๋นหัง ขวางตรงกลางระหว่างเขากับกลุ่มเด็กหนุ่มผู้มีท่าทีใหญ่โต ค่อยๆ ดึงดาบิญญาออกจากแขนเสื้อ
ให้ตายสิ! ฝ่ายตนเองก็ยกอาวุธจริงขึ้นมาหรือ?!
องค์รัชทายาทเตรียมที่จะแย่งที่ดินผืนนี้เป็เื่จริง แต่วิธีที่้าคือใช้ไหวพริบมากกว่าการต่อสู้อย่างเอาเป็เอาตาย!!! อีกทั้งยังทำให้น้องห้าที่ยังเป็เด็กน้อยก้าวเข้าไปเป็อันธพาล เขานึกตำหนิตนเองที่ควบคุมเื่นี้ไม่ได้ในทันที รีบพูดเกลี้ยกล่อม “เฮ้ ข้ามีบางคำที่อยากจะพูด พวกเ้า้าทำอะไร?”
หลี่อวิ๋นหังหันศีรษะเล็กน้อย แกว่งดาบในมือ เด็กน้อยผู้หนึ่งที่สูงไม่ถึงอกเขาสั่งเสด็จพี่อย่างน่าเกรงขามด้วยน้ำเสียงเ็า “ท่านถอยไป!”
ดวงตาของเจียงเฉิงเยว่เบิกกว้าง เมื่อเห็นว่าเขาคิดลงมืออย่างจริงจังจึงรีบะโด้วยความใ “อาหัง อย่าทำอะไรโดยประมาท!”
เด็กหนุ่มที่อายุมากสุดจากฝั่งตรงข้ามหยิบกระจกทองเหลืองออกมาจากอก เมื่อกระจกบานนั้นถูกหยิบออกมา ใบหน้าของเจียงเฉิงเยว่เปลี่ยนไปเล็กน้อย ิญญาที่สะกดอยู่บนกระจกทองแดงสัมฤทธิ์นั้นกดดันผู้คน จนเริ่มหายใจไม่ค่อยออก...เกรงว่ามันจะเป็อาวุธิญญาที่ทรงพลังยิ่ง
ดวงตาของหลี่อวิ๋นหังพลันเบิกกว้างเมื่อเห็นกระจกทองสัมฤทธิ์บานนั้น
เด็กหนุ่มผู้นั้นยิ้ม “เ้าคิดว่าเมื่อครั้งก่อนที่ได้เห็นความสามารถในการสั่งการผีของเ้า...พวกเรายังจะตกไปตามหลุมพรางของเ้าอีกหรือ? นี่คือวัตถุศักดิ์สิทธิ์ของสำนักเรา กระจกเสวียนชางแปดทิศ ใช้สำหรับปราบภูตผีปีศาจโดยเฉพาะ! เ้าเรียกผีมาอีกได้ตามสบาย! คอยดูพวกเราส่องมันให้ิญญากระเจิง…”
ยังไม่ทันพูดจบ เงาร่างที่ถือดาบของหลี่อวิ๋นหังพุ่งเข้าหากระจกทองสัมฤทธิ์บานนั้น เด็กหนุ่มกลุ่มนั้นยกดาบขึ้นมาปกป้องโดยธรรมชาติ เด็กสองสามคนปะทะกันจนเสียงอาวุธดังเกรียวกราวอยู่พักหนึ่ง ผู้ที่โตสุดในพวกเขาอายุไม่เกินสิบห้าสิบหกปี ดังนั้นจึงยังไม่ถึงวัยของปราณก่อตั้ง ไม่สามารถเหินดาบได้ หากกล่าวกันตามจริงแล้ว ปราณดาบยังคงยุ่งเหยิง
“หยุดตีกันได้แล้ว!!! หยุดตีกันได้แล้ว!!!” เจียงเฉิงเยว่ร้อนใจมากจนอยากสบถ ลากร่างไปโดย้าจะหยุดยั้ง แต่ในมือกลับไม่มีอาวุธจึงทำได้เพียงไปอยู่ด้านหลังของเหล่าเด็กหนุ่มนั้น เสาะหาโอกาสที่แม่นยำจับหนึ่งในนั้นตวัดรัดมือและเท้าให้แน่นจากด้านหลัง คิดใช้ความได้เปรียบของส่วนสูงเหวี่ยงเขาออกไปแล้วพยายามคว้าดาบ...
หลี่อวิ๋นหังต่อสู้กับกลุ่มศัตรู อีกฝ่ายยังมีข้อได้เปรียบเื่อายุจึงเกินความสามารถ เขาหลบได้ระหว่างประคองตัวอย่างยากลำบาก โดยเจียงเฉิงเยว่ได้เพิ่มความวุ่นวายให้กับอีกฝ่าย หลี่อวิ๋นหังเว้นระยะห่างจากกลุ่มคนรอบตัว พวกเขาจึงเข้ามาทีละคน แต่ละคนเรียงแถวกันเข้ามา เขาไม่เกรงกลัว คิดต่อสู้อย่างมีแบบแผน
อย่างไรก็ตาม หัวใจของเจียงเฉิงเยว่ยังคงสั่นไหว คมดาบไม่มีตา หากใครไม่ระวังจนทำให้มันทิ่มแทงอวิ๋นหังน้อย เขาต้องมีแผลเป็ั้แ่อายุยังน้อยเป็แน่...เพียงแค่คิดเจียงเฉิงเยว่กลับรู้สึกเ็ปแทบทนไม่ไหว
เมื่อเจียงเฉิงเยว่ััที่หลังของผู้ที่อายุมากสุดในหมู่เหล่าเด็กหนุ่มแล้ว กระจกเสวียนชางแปดทิศในมือของคนผู้นั้นจึงถูกหลี่อวิ๋นหังโจมตีเพราะเป็เป้าหมายหลัก มันถูกสะบัดจนเกือบส่องไปที่ใบหน้าของเจียงเฉิงเยว่โดยตรง เจียงเฉิงเยว่ใหลบ เขาถอยร่างก่อนล้มลงกับพื้น
หลี่อวิ๋นหังตื่นตระหนกขึ้นมาโดยพลัน ยามถูกเหล่าเด็กหนุ่มควบคุมตัว เขาะโเสียงดังกระทั่งแสงรัศมีรอบตัวสว่างวาบ พลันส่งเหล่าเด็กหนุ่มบินออกไป ในเวลาเดียวกันเขาไม่รู้ว่าตนเองควบคุมรัศมีนั้นได้หรือไม่ ตัวเขานั้นก้าวอย่างเซเล็กน้อย ทันใดนั้นต้องปิดปากกับจมูก แทงดาบแล้วคุกเข่าข้างหนึ่งลงบนพื้น
เด็กหนุ่มที่อายุมากสุดด้านข้างเจียงเฉิงเยว่เห็นว่ามีช่องโหว่ จึงพุ่งดาบเข้ามาที่เขาราวกับ้าสังหาร
“อาหัง!” เจียงเฉิงเยว่ไม่สนใจอีกแล้วว่าจะเปิดเผยตัวตนหรือไม่ เขาบินไปข้างหน้า จากนั้นรีบไปกอดร่างของหลี่อวิ๋นหังที่ตกตะลึงอยู่ตรงกลาง ในเวลาเดียวกันก็พาอีกฝ่ายหลบจากการโจมตี มีเสียง ‘ติ๊ง’ ดังขึ้นข้างหู พลันมีดาบบินเปล่งแสงรัศมีลอดผ่าน ทำให้ดาบยาวในมือของเด็กหนุ่มผู้นั้นทะยานออกไป
เด็กหนุ่มร้องด้วยความเ็ปแล้วล้มลงกับพื้น
เจียงเฉิงเยว่ที่กอดหลี่อวิ๋นหังก็ล้มลงไปด้านข้าง เจียงเฉิงเยว่รีบร้อนสำรวจเขาไปทั่วร่าง เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเพียงมองกลับมาด้วยดวงตาเบิกกว้างอย่างเหม่อลอย ไม่ได้รับาเ็ที่ตรงไหนจึงถอนหายใจอย่างโล่งอก
เขาถอนหายใจยาว ่เวลาเดียวกับที่หลี่อวิ๋นหังดูเหมือนจะตอบสนองกลับมา อีกฝ่ายคว้าเขาไว้แน่น ใบหน้าซีดขาว จับข้อมือไม่ปล่อย แรงของเด็กน้อยผู้หนึ่งทำให้เขาเ็ปแทบทนไม่ไหวจนต้องขมวดคิ้ว
หลี่อวิ๋นหังพูด “ท่าน...” เขายังไม่ทันพูดจบ ทันใดนั้นสายตาเหลือบไปเห็นอะไรบางอย่างจึงนิ่งค้าง เขาลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว ถือดาบแล้วยื่นมือมาบังเจียงเฉิงเยว่อย่างไม่สนใจสิ่งใดไว้ด้านหลัง
เจียงเฉิงเยว่ตกตะลึงไปครู่หนึ่ง
กล่าวกันตามความจริง นี่เป็ครั้งแรกที่เขาถูกปกป้องไว้ด้านหลังใน ‘สนามรบ’...แม้ว่าอีกฝ่ายจะสูงไม่ถึงหน้าอกของเขา แต่ร่างกายที่บอบบางทำให้บังเกิดความรู้สึกสงสาร และมีความอบอุ่นที่ขมขื่นแปลกๆ ก่อตัวขึ้น
เขามองผ่านเหนือศีรษะของหลี่อวิ๋นหัง มองอีกฝ่ายที่ตัดขาด ‘ความอันตราย’ ของตนออก พบคนผู้หนึ่งในชุดสีน้ำตาลเช่นเดียวกัน แต่คนผู้นั้นดูโตกว่าเด็กหนุ่มกลุ่มนั้นอยู่เล็กน้อย ท่าทางเป็ผู้ใหญ่อายุราวสิบเจ็ดสิบแปดปี รูปร่างสูงโปร่ง องอาจห้าวหาญ ใบหน้าหล่อเหลาแสดงความโกรธเคือง
เหล่าเด็กหนุ่มที่กรีดร้องด้วยความเ็ปบนพื้น เมื่อเห็นคนที่มาก็ใจนเงียบเป็จักจั่นในฤดูหนาว2 ต่างไม่กล้าแม้แต่จะคร่ำครวญ ทุกคนก้มหน้าลงอย่างหมดอาลัยตายอยาก เอ่ยเรียกเสียงเบาอย่างอ่อนน้อมยอมรับชะตากรรม “ศิษย์พี่ซ่ง...”
------------------------
1 เห็ดสน หมายถึง เห็ดมัตสึทาเกะ
2 เงียบเป็จักจั่นในฤดูหนาว เป็สำนวน หมายถึง เงียบกริบ
