หนิงเทียนหยุดนิ่งแล้วจ้องมองดวงหน้าสะสวยของฉินเสี่ยวเยวี่ยที่กำลังโกรธเกรี้ยว ก่อนจะกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ที่แท้ท่านก็อยากเชิญข้าไปทานอาหารเย็นหรอกหรือ? เพราะข้าดูแลดอกโบตั๋นให้เป็อย่างดี ท่านจึงรู้สึกผิดสินะ? เช่นนั้นท่านก็ควรมอบหินิญญาให้ข้ามากกว่านี้แล้ว”
ฉินเสี่ยวเยวี่ยแสยะยิ้มอย่างฉุนเฉียว นี่เป็ครั้งแรกที่นางได้พบกับคนไร้ยางอายถึงเพียงนี้
“ศิษย์พี่ เ้าเด็กนี่บังอาจก้อร่อก้อติกท่าน ตีเขาเลย!”
ศิษย์ฝ่ายในหลายคนกัดฟันด้วยความชิงชัง กล้าดีอย่างไรมาเกี้ยวเทพธิดาต่อหน้าพวกเขา? เ้านี่มันคางคกอยากกินเนื้อหงส์[1]ชัดๆ
“รังแกดอกโบตั๋นของข้าแล้วยังกล้าพูดจาไร้สาระต่อหน้าข้าอีก เ้าเตรียมโดนฝังได้เลย!” ในฐานะสาวงามแห่งฝ่ายใน ฉินเสี่ยวเยวี่ยมักจะมีท่วงท่าสง่างามและสูงส่งอยู่เสมอ ทว่ายามนี้กลับถูกหนิงเทียนทำลายจนหมดสิ้น
“ศิษย์พี่ โปรดรักษาภาพลักษณ์ของท่านด้วย ท่านกำลังแทนคุณด้วยความแค้น...”
“ยังกล้าเอ่ยวาจาเรื่อยเปื่อยอีกหรือ? ช่างหาเื่ยิ่งนัก!” ฉินเสี่ยวเยวี่ยเริ่มแสดงใบหน้าน่าเกลียด เ้าวิปลาสน่าฆ่าให้ตายผู้นี้ทำร้ายดอกโบตั๋นของนาง ทั้งยังกล้ากล่าวหาว่านางแทนคุณด้วยความแค้นอีก ช่างน่าสะอิดสะเอียนยิ่งนัก
ด้วยการะเิพลังฝ่ามือเพียงครั้งเดียว ดอกไม้สามดอกก็ปรากฏขึ้นรอบร่างบางคล้ายลำแสงพลังิญญาหมุนวน เผยกลิ่นอายของพลังอันน่าสะพรึงกลัว
ดวงตาของหนิงเทียนเป็ประกาย พลังฝ่ามือของฉินเสี่ยวเยวี่ยแข็งแกร่งมากจนเขากระตือรือร้นที่จะลองประชันกับนาง
ดอกโบตั๋นรอบๆ หมุนตัวอย่างนุ่มนวลคล้ายสายลมโชย มันปรากฏกายต่อหน้าหนิงเทียนราวกับสิ่งลี้ลับ พร้อมกระจายแสงไปทุกทิศทาง
“หลีกไป!”
ฉินเสี่ยวเยวี่ยสังเกตเห็นบางอย่างก่อนที่ดอกโบตั๋นจะเข้าขวาง จิตใจของนางทั้งหวาดผวาและโกรธเคือง จากนั้นจึงเร่งยั้งพลังทันที
“หนิงเทียน! แน่จริงเ้าก็อย่าใช้ดอกโบตั๋นของข้าเป็โล่กำบังสิ!”
หนิงเทียนมองฉินเสี่ยวเยวี่ยที่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “ท่านดูสิ ข้าดูแลมันสองวันมันยังรู้จักตอบแทน ไหนเลยจะเหมือนท่านที่แทนคุณด้วยความแค้น ช่างเ็าเสียจริง”
“หุบปาก! ห้ามรังแกดอกโบตั๋นของข้าอีก มิฉะนั้นข้าคงไม่อาจปล่อยเ้าไปได้”
ทว่าหนิงเทียนหาได้ฟังไม่ เขาเอื้อมมือลูบดอกโบตั๋นอย่างอ่อนโยนจนฉินเสี่ยวเยวี่ยแทบคลั่ง
“เอามือออกไป!”
“โอ้! ยามท่านโกรธช่างขี้เหร่นัก อันที่จริงโบตั๋นนี้ไม่แย่เลย เพียงแต่วิธีการของท่านนั้นไม่ถูกต้อง”
หนิงเทียนแสดงสีหน้าเศร้าสร้อย ส่วนฉินเสี่ยวเยวี่ยแทบจะเป็บ้าอยู่แล้ว
กล้าว่าข้าขี้เหร่เช่นนี้ เ้าไม่้ามีชีวิตแล้วใช่หรือไม่?
“ข้ารู้ว่าท่านไม่พอใจ เช่นนั้นเรามาเดิมพันกันเถิด หากข้าชนะ ท่านต้องมอบหินิญญาให้ข้าห้าร้อยก้อน แล้วข้าจะบอกวิธีปลูกดอกโบตั๋นที่ถูกต้องแก่ท่าน แต่หากข้าแพ้ ท่านไม่จำเป็ต้องมอบหินิญญาและข้าจะยังบอกวิธีปลูกดอกโบตั๋นเช่นเดิม”
“ฝันอยู่หรือ? เ้าคิดว่ามันง่ายเพียงนั้นเลยหรือ?”
ไม่เอาหินิญญาแล้วก็แล้วไป แต่ช่างเพ้อฝันยิ่งนัก
“เช่นนั้นข้าเพิ่มให้อีกอย่าง หากข้าแพ้ ข้าจะยอมทำทุกอย่างตามแต่ท่านประสงค์ ว่าอย่างไร?”
“ได้ แต่เ้าห้ามใช้ดอกโบตั๋นเป็โล่อีก”
“ตกลง ไม่มีปัญหา” หนิงเทียนตอบตกลงทันทีจนฉินเสี่ยวเยวี่ยเริ่มสับสน เ้าเด็กนี่เสียสติไปแล้วหรือ?
ขอบเขตจิตหยั่งลึกขั้นแรกกล้าเดิมพันกับขอบเขตจิตหยั่งลึกขั้นสาม นี่ไม่ใช่การทรมานตนเองหรือ?
“ศิษย์พี่ ทุบตีชายไร้ยางอายผู้นี้ให้ตายไปเลย!”
“ท่านไม่ต้องสนใจพวกเรา ตีเขาให้ตายไปเสีย”
ศิษย์ฝ่ายในทั้งหลายตื่นเต้นอย่างมาก ในที่สุดพวกเขาก็จะได้เห็นเ้าเด็กเหลือขอผู้นี้ถูกทำร้ายแล้ว
“เ้าเป็ผู้ร้องขอเองนะ แล้วอย่ามาโทษข้าเล่า!” ฉินเสี่ยวเยวี่ยรอจนกระทั่งดอกโบตั๋นออกไปพ้นทาง พลันระลอกคลื่นแผ่ขยายจากฝ่ามือ รากบ่มเพาะในร่างของนางสั่นะเื ดอกไม้ประหลาดสามดอกกระจายอยู่นอกร่าง กลิ่นอายพลังิญญาแผ่ซ่าน และเสาแสงทั้งสามต้นก็ปล่อยคลื่นผันผวนน่าสะพรึงกลัว
ขอบเขตจิตหยั่งลึกขั้นสามกลืนพลังิญญารวดเร็วกว่าขอบเขตรวบรวมขั้นเก้าถึงสามสิบเท่า ทั้งยังสูงกว่าขอบเขตจิตหยั่งลึกขั้นแรกถึงสามเท่า ดังนั้นจึงเป็เื่ยากที่จะเอาชนะได้
หนิงเทียนยืนนิ่งมองดอกไม้น่าพิศวงรอบกายฉินเสี่ยวเยวี่ยอย่างผ่อนคลาย ทุกดอกล้วนประจักษ์ชัดผ่านภาพมายา และแสดงถึงประเภทของรากบ่มเพาะในร่างฉินเสี่ยวเยวี่ย ซึ่งก็คือดอกโบตั๋นสายพันธุ์หนึ่ง
หนิงเทียนงอแขนแล้วสะบัดปลายนิ้ว กระบี่ปรากฏขึ้นบนเรียวนิ้วของเขาราวกับแสงรุ้งสีฟ้า และฉีกห้วงอากาศให้แหลกสลาย
ฉินเสี่ยวเยวี่ยตกตะลึง ในใจััได้ถึงวิกฤตที่พุ่งเข้ามา
กระบี่ของหนิงเทียนฟาดลงมาในแนวตั้งราวูเาสูงเคลื่อนมาใกล้ แม้จะเป็เพียงคมกระบี่ แต่ก็ให้ความรู้สึกที่หนักหน่วงและรุนแรงอย่างยิ่ง
พลังิญญาในร่างฉินเสี่ยวเยวี่ยพลุ่งพล่านอย่างดุเดือด นางะโเสียงหวานพร้อมเพิ่มพลังฝ่ามือขึ้นสามส่วน แรงกระบี่และแรงมือปะทะกันจนเกิดลมกระโชกแรง
ดอกไม้ประหลาดสามดอกลอยไปทางด้านขวาของฉินเสี่ยวเยวี่ย จากนั้นก็ผสานกับฝ่ามือของนางและสร้างพลังแข็งแกร่งขึ้นอีกครั้ง
“กล้าท้าสู้กับศิษย์พี่ฉิน เ้าเด็กนี่ไม่รอดแน่”
“ศิษย์พี่ฉินโดดเด่นในหมู่ผู้อยู่ในขอบเขตจิตหยั่งลึกขั้นสาม ครั้งหนึ่งนางเคยเอาชนะผู้อยู่ในขอบเขตจิตหยั่งลึกขั้นสี่ เ้าเด็กหนิงเทียนผู้นี้...”
ตูม!
เกิดเสียงดังสนั่น อากาศโดยรอบสั่นะเื กระแสลมกระโชกแรงจนเกิดเป็เสียงหอนน่าพิศวง
หนิงเทียนยืนหยัดอย่างเย่อหยิ่ง เสื้อผ้าของเขาปลิวไสว ผมสลวยเปล่งประกายอย่างมีเสน่ห์ท่ามกลางแสงอรุณ
ทันใดนั้นฉินเสี่ยวเยวี่ยก็ถอยห่างไปสามจั้ง หลังจากตั้งหลักได้นางก็ถอยไปอีกเจ็ดก้าว โลหิตแดงฉานค่อยๆ กระเซ็นออกจากปาก ในดวงตาเต็มไปด้วยความตื่นใและสยดสยอง
“ไม่มีทาง! ศิษย์พี่ฉินจะแพ้ได้อย่างไร? ข้าต้องตาฝาดเป็แน่”
“ใช่ๆ ตาฝาดแน่นอน! แต่เอ่อ... เหตุใดจึงเกิดเื่เช่นนี้?”
เสียงกรีดร้องอย่างสิ้นหวังดังระงม เหล่าศิษย์ฝ่ายในล้วนตกตะลึงและไม่ยอมรับผลการต่อสู้ครั้งนี้
ใบหน้าซีดเซียวของฉินเสี่ยวเยวี่ยมีเพียงความใ นางรู้ระดับความแข็งแกร่งของตนดี จึงเป็ไปไม่ได้ที่นางจะพ่ายแพ้ต่อขอบเขตจิตหยั่งลึกขั้นแรก
“เ้าอยู่ขอบเขตใดกันแน่?”
“จิตหยั่งลึกขั้นแรกอย่างไรเล่า เื่นี้สามารถปลอมแปลงได้ด้วยหรือ?”
เมื่อหนิงเทียนขยับมือซ้าย ดอกโบตั๋นก็มาปรากฏอยู่ข้างกายเขา พร้อมแกว่งไกวสั่นไหวตามลม
“หากท่านไม่เชื่อ ท่านจะลองอีกหนก็ย่อมได้”
ฉินเสี่ยวเยวี่ยทนขายหน้าต่อคนผู้นี้ไม่ได้ ดังนั้น นางจึงคำรามอย่างโกรธเกรี้ยวและแสดงฤทธาของดอกไม้ทั้งสามอีกครา
“โอ้! ช่างดื้อด้านเสียจริง” หนิงเทียนสีหน้าสิ้นหวัง ยุทธศาสตร์ครอง์เริ่มสั่นไหว แผนที่จิติญญาในเส้นลมปราณแรกเข้าสอดประสาน บงกชสีมรกตปรากฏขึ้นในอากาศอันบางเบาที่หยั่งรากในความว่างเปล่า ก่อนจะขยายลงใต้ดินและปล่อยคลื่นพลังลึกลับ
ฉากเหล่านี้ทำให้บรรดาศิษย์ฝ่ายในที่กำลังเฝ้าดูการต่อสู้เริ่มรู้สึกหวาดกลัว โดยเป็ความกลัวที่ส่งมาจากรากบ่มเพาะในร่างกายพวกเขา
ฉินเสี่ยวเยวี่ยประสานมือ พลันดอกไม้ทั้งสามดอกผสานรวมกับการปรับเปลี่ยนหนึ่งร้อยแปดกระบวนท่า ซึ่งมีเพียงผู้อยู่ในขอบเขตเดียวกันไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถถอดรหัสหรือจับทางได้
ความตื่นเต้นในดวงตาของหนิงเทียนลุกโชน ดอกโบตั๋นข้างกายเคลื่อนตัวออกโดยอัตโนมัติ เขาก้าวออกไปอย่างรวดเร็วหนึ่งก้าว สองมือประสานไขว้กัน พร้อมเปิดใช้ทักษะทะลวงพันชั้นของยอดเขาิเฟิง
การเคลื่อนไหวครั้งนี้หนิงเทียนยังใช้ได้แค่การแยกส่วนประกอบท่าขั้นพื้นฐานเท่านั้น แต่นั่นก็เพียงพอแล้วสำหรับการจัดการกระบวนท่าผสานสามผกาของฉินเสี่ยวเยวี่ย
เขาสามารถรับมือกับการปรับเปลี่ยนหนึ่งร้อยแปดกระบวนท่าของนางได้ทันท่วงที ทันใดนั้นพลังผันผวนที่แม้แต่รากบ่มเพาะยังต้องหวาดหวั่นก็หลั่งไหลเข้าสู่หัวใจของฉินเสี่ยวเยวี่ยอย่างเฉียบพลัน
หนิงเทียนไม่ได้กระทำสิ่งโหดร้ายแต่อย่างใด เขาเพียงผลักนางถอยหลังไปเก้าก้าว ซึ่งทำให้ดอกไม้สามดอกของนางห่อเหี่ยวและก้มหัวรับความพ่ายแพ้
“ท่านจะยอมหรือยัง?” หนิงเทียนยิ้มอย่างเริงร่า ทว่ารอยยิ้มแสนสดใสนั้นกลับดูน่ารังเกียจอย่างมากสำหรับฉินเสี่ยวเยวี่ย
รากบ่มเพาะของนางไม่ได้อ่อนแอ แต่เมื่อเผชิญหน้ากับหนิงเทียน มันกลับเผยความกลัวออกมาโดยสัญชาตญาณ
ฉินเสี่ยวเยวี่ยเปิดแหวนมิติแล้วหยิบหินิญญาออกมาสามสิบหกก้อน หินิญญาทุกๆ สิบสองก้อนจะควบแน่นเป็ดอกไม้ส่องประกายหมุนรอบร่างนาง พร้อมดูดกลืนพลังฟ้าดินเพื่อรักษาอาการาเ็
“อย่าชะล่าใจให้มากนัก ไว้ข้าตรวจสอบข้อมูลของเ้าเรียบร้อยเมื่อไร ข้าต้องชนะเ้าได้แน่” ฉินเสี่ยวเยวี่ยกัดฟันพูด ก่อนจะหยิบหินิญญาห้าร้อยก้อนมอบให้หนิงเทียน นางจำใจยอมรับความพ่ายแพ้ในครานี้
“ยินดีทุกเมื่อ” หนิงเทียนไม่โกรธเคืองเลยสักนิด นางผู้นี้คือเศรษฐีนีท่านหนึ่ง
“น่าเกลียดเกินไปแล้ว นี่ไม่สมเหตุสมผลเลย! เหตุใดถึงไม่ฆ่าเ้าหัวขโมยนั่นเสีย?”
เมื่อเห็นเทพธิดาพ่ายแพ้อย่างน่าเวทนา จิตใจของเหล่าศิษย์ฝ่ายในก็แตกสลาย
ก่อนหน้านี้พวกเขาหวังจะให้เทพธิดาสั่งสอนหนิงเทียนให้ตายไปครึ่งหนึ่ง แต่ไม่คาดคิดว่าสุดท้ายผลลัพธ์จะเป็เช่นนี้
ทันใดนั้นเสียงระฆังก็ดังหง่างไปทั่วบริเวณฝ่ายใน ซึ่งดังเจ็ดครั้งติดต่อกัน
“ระ...เร็วเข้า! รีบไปรวมตัวที่จัตุรัส”
เหล่าศิษย์ฝ่ายในร้องอุทาน ผู้าเ็อย่างฉินเสี่ยวเยวี่ยและหวังเยวี่ยต่างก็รีบวิ่งไปยังจัตุรัสฝ่ายในโดยไม่สนอาการาเ็ของตน
หนิงเทียนค่อนข้างสับสน เสียงระฆังดังถี่ยิ่งนัก เกิดเื่ใหญ่อะไรขึ้นหรือ?
เขาคิดพลางเปิดดูแหวนมิติของหวังเยวี่ย ภายในนั้นมีหินิญญาอย่างน้อยสามร้อยก้อน
หนิงเทียนนำหินทั้งหมดออกมา นอกจากนี้ยังหยิบหินิญญากว่าสองร้อยก้อนออกมาจากกำไลหยกหยวน ซึ่งรวมเป็หนึ่งพันยี่สิบสี่ก้อนแล้วรีบตามฉินเสี่ยวเยวี่ยไป ในขณะเดียวกันก็พยายามควบคุมพลังหินเ่าั้ ก่อนจะพัฒนาไปสู่ทักษะทะลวงพันชั้น
เมื่อหวังเยวี่ยเห็นเช่นนี้ ร่องรอยแห่งความชั่วร้ายก็แวบขึ้นมาในดวงตา
รอให้ข้าหายดีก่อนเถิด แล้วเราจะได้เห็นดีกัน!
ทางด้านฉินเสี่ยวเยวี่ย นางกลอกตาใส่หนิงเทียนครั้งหนึ่ง คนผู้นี้เยี่ยมยุทธ์เหลือเกิน เหตุใดถึงสามารถดูดซับหินิญญาหลายพันก้อนในเวลาเดียวกันเช่นนี้? เขาทนได้อย่างไร?
หนิงเทียนเดินตามไปอย่างเชื่องช้า หินิญญาที่ล่องลอยอยู่รอบกายแปรเปลี่ยนไปมาอย่างคาดเดาไม่ได้ หินสองก้อนรวมกันเป็หนึ่งแล้วผสานกับก้อนอื่นต่อเรื่อยๆ เพียงครู่เดียวการหลอมรวมครั้งแรกก็เสร็จสิ้นอย่างรวดเร็ว
ทักษะยุทธศาสตร์ครอง์ของเขาเคลื่อนไหวอย่างดุเดือด แผนที่จิติญญาในเส้นลมปราณแรกเกิดการเปลี่ยนแปลง อีกทั้งหินิญญาห้าร้อยสิบสองก้อนที่อยู่รอบกายก็ถูกดูดกลืนพลังในพริบตา
ระหว่างการหลอมรวมครั้งที่สอง หินิญญาหายไปอีกสองร้อยห้าสิบหกก้อน ทักษะทะลวงพันชั้นของเขากำลังก้าวหน้าขึ้นไปอีกขั้น
หนึ่งเค่อต่อมาหนิงเทียนก็ถึงจัตุรัส หินิญญานอกร่างหลอมรวมไปสิบครั้งจนกลายเป็ก้อนเดียว ซึ่งช่วยให้เขาดูดซับได้อย่างง่ายดาย แต่เขาก็ยังคงคาใจเื่รูปแบบของทักษะทะลวงพันชั้นอยู่เล็กน้อย
จัตุรัสแห่งนี้มีขนาดใหญ่มาก ผู้บำเพ็ญมากมายที่มารวมตัวกันล้วนอยู่ในขอบเขตจิตหยั่งลึก ซึ่งมีั้แ่จิตหยั่งลึกขั้นแรกจนถึงขั้นเก้า ทุกอณูโดยรอบอัดแน่นไปด้วยมนุษย์
“เงียบ!”
ผู้าุโวัยห้าสิบต้นๆ ปรากฏตัวขึ้นเหนือจัตุรัส บนผ้าคาดอกปักลวดลายประจำสำนักร้อยบุปผา
“ที่เรียกทุกคนออกมาอย่างกะทันหันก็เพราะมีเื่สำคัญที่ต้องประกาศ เมื่อไม่นานมานี้สำนักร้อยบุปผาของเราได้ร่วมมือกับสำนักเชียนเฉ่า สำนักั์พฤกษา และสำนักทะยานเวหาเพื่อบุกเข้าแดนลับท้ายเขา หลังจากผ่านความยากลำบากมามากมายและสูญเสียยอดฝีมือไปหลายคน ในที่สุดแดนลับก็เปิดออก ตามข้อตกลงดังกล่าว แดนลับนี้จะถูกแบ่งโดยสำนักทั้งสี่ และจะเปิดเป็ครั้งแรกในอีกสามวันให้หลัง ซึ่งมีเพียงศิษย์ในขอบเขตจิตหยั่งลึกเท่านั้นที่สามารถเข้าไปได้”
หลังเงียบไปครู่หนึ่ง ผู้าุโก็กล่าวต่อ
“คาดว่าภายในแดนลับมีโอกาสและโชคลาภอยู่มากมาย ทว่าก็ยังมีกลิ่นอายสังหารกระจายอยู่ทุกหนทุกแห่ง เพื่อความเป็ธรรม สำนักทั้งสี่จึงจัดสรรศิษย์ฝ่ายในตามสัดส่วนโดยมีการกำหนดจำนวนที่แน่นอน และเนื่องจากมีความเสี่ยงสูง ทางสำนักจึงเปิดให้ลงทะเบียนตามความสมัครใจ แล้วค่อยคัดกรองคุณสมบัติเพื่อกำหนดรายชื่อครั้งสุดท้าย”
สิ้นคำพูดของท่านาุโทั้งจัตุรัสก็ลุกเป็ไฟ ทุกคนต่างพูดคุยหารือและพิจารณาว่าตนควรเข้าร่วมหรือไม่
ดวงตาของหนิงเทียนก็เป็ประกายเช่นกัน ในแดนลับย่อมมีโอกาสทองรออยู่ อีกทั้งนี่ยังเป็การเปิดเผยครั้งแรก เขาย่อมต้องอยากเข้าไปสำรวจอยู่แล้ว ดังนั้น เขาจึงรีบตรงไปยังสำนักงานทะเบียนซึ่งขณะนี้มีผู้คนคับคั่งไปหมด
สองชั่วยาม[2]ต่อมา
“เ้าเพิ่งเข้าฝ่ายในหรือ?”
“ใช่ ข้าเพิ่งเข้ามาเมื่อสามวันก่อน ครานั้นท่านผู้าุโไม่อยู่ กระบวนการบางอย่างจึงล่าช้า”
“บอกชื่อ อายุ และระดับการบ่มเพาะของเ้ามา?”
“หนิงเทียน อายุสิบเจ็ดปี ขอบเขตจิตหยั่งลึกขั้นแรก เช่นนี้หรือ?”
“มีเส้นลมปราณในร่างกี่เส้น?”
“เก้าเส้น”
“อืม... ไม่เลวนี่ ตามข้ามา”
ครึ่งชั่วยามต่อมา หนิงเทียนก็ผ่านการทดสอบต่างๆ และกลายเป็ศิษย์ฝ่ายในของสำนักร้อยบุปผาอย่างเป็ทางการ ในที่สุดเขาก็ได้รับการปฏิบัติอย่างที่เขาสมควรได้แล้ว
ผ่านไปสองวันก็มีการคัดกรองผู้เข้าสำรวจแดนลับ ซึ่งหนิงเทียนในฐานะผู้มีเส้นลมปราณเก้าเส้นก็ได้รับเลือกเป็ที่เรียบร้อย
---------------------------------------
[1] คางคกอยากกินเนื้อหงส์ (癞蛤蟆想吃天鹅肉) หมายถึง คนที่ไม่รู้จักประมาณตน ใฝ่ฝันหาสิ่งที่ไม่มีวันได้ มักใช้เปรียบกับชายหนุ่มที่หน้าตาไม่ดีหรือมีสถานะต่ำต้อย ทว่ากลับชอบหญิงสาวหน้าตาสะสวยหรือมีฐานะดีกว่า
[2] ชั่วยาม (时辰) เป็การนับเวลาของคนจีนสมัยโบราณ โดย 1 วัน มี 12 ชั่วยาม ดังนั้น 1 ชั่วยาม จึงเท่ากับ 2 ชั่วโมง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้