ลู่เสวียอีนอนหลับอย่างสบายใจ เช้าวันรุ่งขึ้นเธอก็ตื่นขึ้นมาและทำอาหารให้ครอบครัว นี่ยังเป็สิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่เธอพอจะทำได้ ในขณะที่สมาชิกในครอบครัวคนอื่นกำลังยุ่งอยู่กับการเตรียมของให้เธอเพื่อไปชนบทในอีกไม่กี่วัน
ลู่เสวียอีรู้สึกว่างจนไม่มีอะไรทำ เธอจึงไปดูที่ห้างว่าพอจะมีอะไรที่ใช้ได้หรือเปล่า
ห้างสรรพสินค้ายังคงหายากแม้แต่ในเมืองใหญ่ยุคนี้ เพียงแต่ในสายตาของลู่เสวียอีที่มาจากอนาคตนั้นแทบจะไม่มีอะไรที่ดึงดูดสายตาเธอได้เลย แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็มีจิติญญาของนักซื้ออยู่ในตัว
ในพื้นที่ของลู่เสวียอีมีทั้งเสื้อผ้าสำเร็จรูปและผ้าผืนทุกชนิด ทว่าลู่เสวียอีเดินไปมาในห้างแค่สองรอบมือสองข้างของเธอก็เต็มจนไม่มีที่จะจับของ ถุงผ้ากระเป๋าถือ ชุดเครื่องนอน เสื้อคลุม กางเกงผ้าฝ้าย เธอซื้อทุกอย่างที่เธอคิดว่าชอบ
โชคดีที่เธอแลกเงินและสั่งทำตั๋วยุคเก่าไว้เยอะมากหลายแบบ ในบรรดาของเหล่านี้ ตั๋วที่ใช้ได้ทั่วประเทศยังไม่หมดอายุ เธอจึงไม่ต้องกังวลไปอีกนาน
ในยุคสมัยใหม่ ตระกูลลู่เป็ตระกูลร่ำรวยที่ติดอันดับต้นๆ ของประเทศ คุณปู่ของเธอมีเส้นสายในวงการธุรกิจและการเมืองมากจนนับไม่ถ้วน
เงินและตั๋วเก่าที่ถูกเก็บไว้หลาย 10 ปีนั้นมีค่ามหาศาล แต่ไม่ใช่กับของที่พิมพ์ขึ้นใหม่ที่สามารถแลกเก็บไว้เป็ที่ระลึกได้
ลู่เสวียอีติดต่อกับคนรู้จักของคุณปู่เพื่อใช้ข้ออ้างนี้รวบรวมเงินและตั๋วจากยุคเก่า พอถึงตอนนี้เธอจึงไม่ต้องดิ้นรนมากมายเพื่อหาเงิน
วันก่อนออกเดินทางพ่อลู่มอบเงินให้ลูกสาวคนเล็ก 500 หยวน เป็ค่าใช้จ่ายในการตั้งหลักในชนบท
ลู่เสวียอียอมรับมาอย่างใจเย็น
500 หยวนในสมัยนี้เป็เงินจำนวนมาก และทำให้บางครอบครัวสามารถแต่งลูกสะใภ้ได้หลายครั้ง ถึงแม้พ่อของเธอจะเป็พนักงงานระดับสูง แต่เงินนี้ก็ถือว่ามากอยู่ดี
ในครอบครัวของพวกเขามีเพียงลู่เสวียอีคนเดียวที่ต้องไปชนบท พวกเขาจึงมีความรู้สึกเสียใจกับเธอเป็พิเศษ
แม่ลู่ยังมอบตั๋วอาหารและตั๋วเนื้อที่เธอแอบเก็บเอาไว้ส่วนตัวให้ลูกสาวด้วย
ในวันเดินทาง ทั้งครอบครัวของเธอก็มาส่งที่สถานี พี่ชายกับพี่สาวถึงกับลางานเป็พิเศษ
คล้อยหลังยังแอบมอบเงินให้เธออีกคนละ 20 หยวน ทำให้ลู่เสวียอีซึ้งใจมาก
อย่าเห็นว่าพ่อลู่ให้เธอหลาย 100 หยวนในทันทีโดยไม่กะพริบตา ครอบครัวในชนบทที่ไม่มีงานทำ พวกเขามีรายได้ตลอดทั้งปีต่อคนแทบจะไม่ถึง 10 หยวนด้วยซ้ำ
แม่ พี่ชายกับพี่สาวช่วยเธอหาที่นั่งและจัดข้าวของ จนเมื่อรถใกล้ออกถึงลงจากรถไฟ
ลู่เสวียอีหมอบอยู่ข้างหน้าต่างโบกมือลาแม่ลู่ที่มีน้ำตาไหลอาบใบหน้าและครอบครัวอย่างอาลัยอาวรณ์
สักพักใหญ่เธอจึงหยุดร้องไห้และเช็ดหน้า ยุวชนผู้มีการศึกษาคนอื่นก็มีอารมณ์ที่ดิ่งลงเช่นกัน
ลู่เสวียอีเพิ่งร้องไห้และง่วงนิดหน่อย เมื่อเช้านี้เธอต้องตื่นเช้าเกินไปเพื่อมาสถานีรถไฟ เธอจึงเอนหลังเล็กน้อยและเริ่มงีบหลับ
รถไฟแวะจอดอีกหลายสถานีในเมืองหลวงก่อนจะเดินทางออกต่างจังหวัด
หลังจากจอดที่สถานีสุดท้าย บางทีอาจเพราะเด็กสาวถูกจ้องมองมากเกินไปจึงรู้สึกถึงบางอย่างและค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา
สิ่งที่ลู่เสวียอีเห็นเมื่อตื่นคือรองเท้าบู๊ทและกางเกงทหารหน้าที่นั่ง เมื่อเธอไล่สายตาขึ้นก็ต้องสับสนเพราะเธอจำแววตาคมกล้าของอีกฝ่ายได้
“คุณ!”
เมื่อเห็นว่าเธอจำเขาได้ ชายคนนั้นก็เหมือนจะโล่งใจ เขาพูดบางอย่างกับเด็กผู้หญิงข้างๆ เพื่อขอแลกที่นั่งกัน
ลู่เสวียอีจำได้ เธอถือว่าผู้ชายคนนี้เป็ลางบอกเหตุที่เธอจะได้ข้ามมาสู่ยุคนี้
ในความฝันตอนนั้นใบหน้าของชายหนุ่มเลอะไปด้วยโคลนและเืทำให้เธอเห็นได้ไม่ชัดเจน แต่ดวงตาคมกล้าที่ส่องประกายของเขาช่างเป็เอกลักษณ์จนเธอสามารถจดจำได้เพียงแค่มอง
ลู่เสวียอีสงบสติอารมณ์และเงยหน้าขึ้นมองผู้ชายคนนั้น คนตรงข้ามมีใบหน้าชวนฝัน คิ้วเฉียงตวัดเหมือนดาบคม ผิวสีแทนคล้ำแดดบนกล้ามเนื้อที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี ด้วยชุดทหารพอดีตัวที่สวมใส่ เขายังคงดูโดดเด่นได้แม้จะยืนอยู่เฉยๆ
เมื่อผู้ชายคนนั้นเห็นเธอจ้องมองอยู่ เขาก็แนะนำตัวเอง “สวัสดีผมชื่อเหรินเฟิง เป็เพราะคุณที่ทำให้ผมกับคนในทีมรอดจากสถานการณ์ฉุกเฉินมาได้ ต้องขอบคุณจริงๆ”
“ยินดีที่ได้ช่วยเหลือ ฉันชื่อลู่เสวียอี ...เื่ในตอนนั้นไม่ต้องพูดถึงแล้ว ทำเหมือนว่าเราเพิ่งพบกันครั้งแรกเถอะ”
เหรินเฟิงพยักหน้า สำหรับเหตุการณ์ในตอนนั้นที่เธอปรากฏตัวขึ้น เสกของออกมาจากอากาศว่างเปล่า และช่วยเหลือทั้งทีมของเขา เหรินเฟิงไม่เคยเล่าเหตุการณ์ที่น่าเหลือเชื่อนี้ให้ใครฟังแม้แต่หัวหน้าที่เขานับถือ
ในตอนนั้นทั้งทีมขาดอาหารและน้ำจนหมดสติ เหรินเฟิงได้รับาเ็เพราะปกป้องคนในทีม คนอื่นจึงมอบอาหารแห้งชิ้นสุดท้ายให้เขาจึงทำให้เหรินเฟิงยังคงสติได้นานที่สุด เมื่อลู่เสวียอีจากไป เขาจึงตามน้ำและแกล้งสลบเหมือนคนอื่น
ดังนั้นทีมที่โชคดีนี้เมื่อตื่นมาก็พบว่าาแของเหรินเฟิงได้รับการรักษาพยาบาลเบื้องต้นแล้ว แถมผู้ช่วยเหลือลึกลับอย่างแอบส่งอาหารให้พวกเขาอีกด้วย
เดิมทีเหรินเฟิงคิดว่าลู่เสวียอีจะเป็นางเซียนบน์ที่ลงมาเที่ยวเล่นบนโลกมนุษย์ เมื่อเธอหายตัวไปต่อหน้าเขาก็ไม่รู้ว่าจะมีความหวังที่จะได้เจอเธออีกหรือไม่
ในอกของเขารู้สึกว่างเปล่า พอคิดว่าหัวใจที่เคยเ็าได้พบกับนางฟ้าที่โดดเด่นแบบนี้ ชีวิตที่เหลือเขาอาจจะไม่สามารถหาผู้หญิงอื่นมาอยู่เคียงข้างได้อีกแล้ว
เหรินเฟิงรู้สึกเสียใจกับชายชราและหญิงชราที่บ้านที่คอยตั้งความหวังอยากให้เขาแต่งงานเล็กน้อย
… แต่สุดท้ายเขากลับได้พบนางฟ้าในฝันอีกครั้งในตอนนี้
ตอนนี้ผู้ที่ต้องไปต่างจังหวัดก็กำลังทยอยหาที่นั่งของตัวเองเหมือนกัน
เด็กผู้หญิงอีกคนที่มาพร้อมกับสัมภาระ เธอดูอายุไล่เลี่ยกับลู่เสวียอี เธอเดินมาพร้อมคนในกลุ่มแต่หยุดเดินเมื่อผ่านที่นั่ง สายตาเหลือบมองไปที่เหรินเฟิงหลายครั้งเหมือนไม่ได้ตั้งใจ
“ที่ฝั่งนี้มีคนนั่งหรือเปล่า?” เธอหันมามองลู่เสวียอีแล้วถาม
“ไม่มี”
เมื่อผู้หญิงได้ยินว่าไม่มีคนจอง เธอก็วางกระเป๋าทันที “สวัสดีฉันเป็เยาวชนผู้มีการศึกษาที่ต้องไปต่างจังหวัดชื่อสวี่หลิง”
ลู่เสวียอีตอบ “ยินดีที่ได้พบ ฉันชื่อลู่เสวียอี”
สวี่หลิงดูกระตือรือร้น “เธอก็เป็ยุวชนผู้มีการศึกษาเหมือนกันใช่มั้ย?” เมื่อเห็นลู่เสวียอีพยักหน้าเธอก็พูดต่อ “ฉันได้รับมอบหมายให้ไปที่ชุมชนต้าหง คงจะดีถ้าเธอได้ไปที่นั่นด้วย เราจะได้มีคนรู้จัก”
ลู่เสวียอีดูแปลกใจจริงๆ ในครั้งนี้ “ฉันก็ได้รับมอบหมายให้ไปที่ชุมชนนั้นเหมือนกัน”
มีเสียงเบามาจากด้านข้าง “บ้านเกิดของผมก็อยู่ที่นั่นเหมือนกัน”
จากนั้นผู้หญิงทั้งสองคนก็หันไปมองเขาพร้อมกัน
ลู่เสวียอีแปลกใจที่พวกเขาต่างมีจุดหมายเดียวกัน ส่วนสวี่หลิงนั้นเป็เพราะตื่นเต้นที่ผู้ชายคนนั้นเริ่มพูดคุยกับเธอ
“เยี่ยมมาก!” เด็กสาวตื่นเต้น นอกจากการที่เธอหาพรรคพวกได้ทันทีที่ก้าวขึ้นรถไฟ เธอยังได้พบกับชายหนุ่มในชุดทหารที่ดูดีอย่างเหรินเฟิงด้วย คงจะดีถ้าพวกเขาได้ใกล้ชิดกันมากขึ้น
ข้างกันนี้ยังมีกลุ่มยุวชนผู้มีการศึกษาจับจองที่นั่งอีกกลุ่ม หลังจากแนะนำตัวเสร็จพวกเขาก็พูดคุยกันอย่างกระตือรือร้น พูดถึงอุดมการณ์อันยิ่งใหญ่ที่้าทำให้สำเร็จเมื่อไปถึงสถานที่ยากไร้
กลุ่มวัยรุ่นอายุอย่างน้อยและมีความมั่นใจ ลู่เสวียอีไม่รู้ว่าพวกเขาจะต้องพบกับการสั่งสอนของโลกแห่งความเป็จริงอีกนานแค่ไหนหลังจากไปถึง
ลู่เสวียอีฟังพวกเขาพูดคุยอยู่พักหนึ่ง หลังจากกินอาหารกลางวันเสร็จ แต่ละคนก็เริ่มหมดพลังงานที่จะพูดคุย
ลู่เสวียอีหยิบหนังสือขึ้นมาอ่านเงียบๆ และพบว่าผู้ชายที่นั่งฝั่งตรงข้ามก็มีหนังสืออยู่ในมืออีกเล่ม
เหรินเฟิงมองเธอแล้วอธิบายว่าเมื่อก่อนเขาไม่ได้ขยันเรียนมากนัก แต่หลังจากเป็ผู้ใหญ่แล้วมีความคิดมากขึ้นจึงมีความคิดที่จะเพิ่มพูนความรู้แล้วสอบเทียบระดับในกองทัพ
ลู่เสวียอีไม่ค่อยมีความรู้เกี่ยวกับระดับการศึกษาของยุคนี้ แม้แต่ในชีวิตก่อนเธอก็เลือกจะสอบข้ามชั้นและเรียนที่บ้านเป็ส่วนใหญ่เพื่อจะได้ใช้เวลากับคุณย่าใน่ที่หญิงชราเริ่มป่วยให้มากขึ้น
เธอแค่พยักหน้าแล้วก็อ่านหนังสือต่อไป
เหรินเฟิงคิดว่าเธอพอใจกับความใฝ่ก้าวหน้าของเขาและมุ่งมั่นกับการอ่านมากขึ้น
เด็กสาวตรงหน้าคือผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตเขาเอาไว้ แม้เขาจะรู้ว่าเธอมีความเป็มาที่ไม่ธรรมดา แต่เมื่อรู้ว่าเธอต้องไปอยู่ที่บ้านเกิดของเขา ความมุ่งมั่นที่จะปกป้องเธอก็เพิ่มขึ้น อย่างน้อยก็ต้องให้ครอบครัวช่วยดูแลเธอในตอนที่เขากลับไปกองทัพแล้ว
อีกอย่าง… เขายังมีความหวังอันหวานละมุนที่ผุดขึ้นมากลางอก แต่แค่ไม่รู้ว่าจะเป็จริงได้หรือไม่
่ค่ำหลังจากกินอาหารเสร็จลู่เสวียอีก็แอบไปอาบน้ำในพื้นที่ของเธอ
เมื่อกลับมาถึงที่นั่งก็ควานหาผ้าห่มในกระเป๋ามาคลุมร่างแล้วค่อยๆ หลับไป
เหรินเฟิงได้กลิ่นสบู่อ่อนๆ เมื่อคิดถึงฉากที่ลู่เสวียอีเสกของขึ้นมากลางอากาศก็ค่อยระงับความแปลกใจ เขาตรวจสอบความปลอดภัยของสัมภาระของเธอที่วางไว้ใกล้ตัวด้วยสายตาแล้วก็กอดอกเอนหลังหลับเช่นกัน
ลู่เสวียอีสะลึมสะลือตื่นขึ้นมาอีกครั้งในตอนเช้า หญิงสาวขยี้ตาอย่างงัวเงีย ใบหน้าเล็กเท่าฝ่ามือมีร่องรอยของความสับสนที่ดูน่ารักมากในสายตาคนมอง
เหรินเฟิงเผลอจ้องมองเธออีกครั้งอย่างไม่รู้ตัว ก่อนจะค่อยๆ ถอนสายตาออกมา พอหันไปทางอื่นก็เห็นว่าชายหนุ่มในกลุ่มยุวชนผู้มีการศึกษากำลังเลียบมองเธออยู่เหมือน ใบหน้าก็ดำทะมึนขึ้นทันที
เมื่อเห็นว่าหญิงสาวกำลังจะลุกออกไปล้างหน้าเขาถึงตามไปพร้อมกันเพื่อไม่ให้คนอื่นหาช่องเข้ามาเกาะแกะได้ง่ายๆ
นางฟ้าตัวน้อยของเขาเป็คนที่พิเศษถึงขนาดนั้น เธอจะถูกเด็กหนุ่มหน้าขาวบอบบางทำให้หลงผิดได้ยังไง
ทางที่ดีเมื่อไปถึงชุมชนต้าหงแล้วเขาควรขอให้พี่น้องในครอบครัวดูแลเธอให้ดีและอย่าให้มดแมลงตัวผู้มายุ่มย่ามกับหญิงสาวได้…
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้