นี่คือการโจมตีที่มิอาจหลบเลี่ยงได้...
แม้ผู้ที่กำลังตกเป็เป้าหมายของคมดาบจะเป็ชายในชุดคลุมดำที่มีพลังแข็งแกร่งจนน่าหวาดหวั่นก็ตามทีทว่าอย่างไรเสีย นี่ก็เป็เพียงหุ่นเชิดของเขาเท่านั้น
แต่หุ่นเชิดก็หาใช่สิ่งที่จะทิ้งขว้างกันได้ง่ายๆเพราะการสร้างหุ่นเชิดเช่นนี้จำเป็ต้องใช้ทักษะลึกลับและสิ้นเปลืองพลังไปอย่างมหาศาลก็ว่าได้ ทว่าสิ่งสำคัญไม่ด้อยไปกว่านั้นคือในนี้มีจิติญญาของเขาแฝงอยู่ด้วย หากร่างนี้ถูกทำลายลง ร่างที่แท้จริงของเขาย่อมได้รับความเสียหายไปด้วยมิใช่น้อยซึ่งหากเป็เช่นนั้น เขาคงต้องใช้เวลาในการฟื้นฟูรักษาอยู่นานโข
และในตอนนี้ สิ่งที่เขาขาดแคลนมากที่สุดก็คือเวลานั่นเอง
ทว่าเขาไม่ใช่นักสู้ แน่นอนว่าไม่ใช่นักพรตด้วยเช่นกันภายใต้สถานการณ์เช่นนี้หุ่นเชิดของเขาไม่มีทางแสดงความแข็งแกร่งที่แท้จริงออกมาได้เลยขณะเผชิญหน้ากับซูฉางอัน คนที่เขาคิดว่าอ่อนแอไม่ต่างไปจากมดเพราะความประมาทและมั่นใจในตัวเองมากจนเกินไป ทำให้เขาไม่มีทางเลือกอื่นอีกทำได้เพียงมองคมดาบพุ่งเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ต่อหน้าต่อตา โดยทำอะไรไม่ได้เลย
กลิ่นอายแห่งความตายถาโถมเข้ามาหาอย่างฉับพลันหลายปีมานี้ นี่เป็ครั้งแรกเลยที่เขาได้ัักับมัน
เขาเคยทำให้ผู้คนนับไม่ถ้วนได้ลิ้มรสของความตายมาแล้วเดิมทีเขาคิดว่าตนรักกลิ่นอายแห่งความตายเช่นนี้มาก ทว่าจนถึงตอนนี้เมื่อได้ลิ้มลองกับความรู้สึกเช่นนี้ด้วยตนเองเขาถึงได้รู้ว่ามันเป็อะไรที่น่าสะอิดสะเอียนมากเพียงไหน
ในที่สุด ซูฉางอันก็ประกายรอยยิ้มบางๆขึ้นบนใบหน้าอันแสนเหี้ยมเกรียม ในที่สุดเขาก็ทำอะไรเพื่อมั่วทิงอวี่ได้บ้างแล้วนั่นทำให้เขารู้สึกมีความสุขจากใจจริงเลย
เขาเกลียดโลหิตเทพ เกลียดตัวประหลาดที่อาศัยอยู่ในตัว
ดังนั้นเขาจึงเกลียดคนที่คิดจะส่งของแบบนั้นเข้าไปในร่างของมั่วทิงอวี่ แต่สุดท้ายเ้าสิ่งนั้นก็ดันมาตกอยู่ในร่างของตนโดยบังเอิญไปด้วย
และในตอนที่คมดาบกำลังจะกรีดลงบนม่านตาของคนที่ทำให้ตนรู้สึกเกลียดชิงจนเข้ากระดูกดำจังหวะนั้นเอง จู่ๆ ลำแสงแห่งพลังแสนเย็นะเืก็พุ่งตรงเข้ามาหาเสียก่อนซูฉางอันสะดุ้งใ ทว่าดาบในมือกลับไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงเลยแม้แต่น้อย กลับกันใบหน้าของเขากลับประกายความเหี้ยมเกรียมที่มากกว่าเดิมออกมาดูคล้ายเป็โจรป่าที่จมเข้าสู่ทางตัน ที่ต่อให้ต้องเสียทุกสิ่งทุกอย่างที่มีไปก็ต้องเอาชีวิตศัตรูให้จงได้
ดูเหมือนเ้าของลำแสงแห่งพลังจะรู้เท่าทันความคิดของซูฉางอันแม้นางจะไม่รู้ว่าทำไมซูฉางอันถึงมีรังสีสังหารที่น่าสยดสยองมากขนาดนี้ แต่นางก็ยังเปลี่ยนทิศทางของลำแสงแห่งพลังให้เปลี่ยนเป้าหมายจากร่างกายของซูฉางอันไปเป็ดาบของเขาแทน
ติ๊ง!
เสียงหนึ่งกังวานขึ้น
แม้ลำแสงแห่งพลังนั้นจะดูธรรมดา ไม่ได้โดดเด่นอะไรทว่าความจริงแล้ว มันแฝงไปด้วยพลังอำนาจที่มากล้นเลยทีเดียวร่างของซูฉางอันสั่นสะท้านขึ้นอย่างรุนแรง ทั้งเขาและดาบคู่ใจจะลอยถลาออกไปด้านข้างในเวลาต่อมา
ดูเหมือนเ้าของลำแสงแห่งพลังเมื่อครู่จะไม่พอใจกับบทสรุปนี้เอาเสียเลยจึงส่งลำแสงแห่งพลังเข้ามาอีกระลอก ซึ่งครั้งนี้มันพุ่งตรงไปที่กลางหน้าผากของซูฉางอันโดยตรง
ซูฉางอันหน้าถอดสีไม่ใช่เพียงเพราะการโจมตีของตนล้มเหลวลงเท่านั้น แต่ยังเป็เพราะลำแสงแห่งพลังที่พุ่งเข้ามาหาด้วยเขารู้ดีว่าลำแสงนั้นมีพลังมากเพียงไร หากมันพุ่งเข้ามาที่หน้าผากของตนได้สำเร็จเขาย่อมตายอย่างไม่ต้องสงสัย
แต่ในตอนนั้นเอง จู่ๆ สายฟ้าสีม่วงก็ประกายวาบขึ้นจากนั้นร่างของใครบางคนก็ปรากฏขึ้นที่ด้านหลังอย่างกะทันหันเขาหยุดร่างที่กำลังเซถลาไปทางด้านข้างของซูฉางอันเอาไว้จากนั้นก็สร้างลำแสงแห่งพลังสีม่วงสองระลอกขึ้นด้วยดาบในมือและเมื่อดาบใหญ่ส่งเสียงคำรามขึ้น เพียงเท่านั้นลำแสงอันแสนเย็นะเืซึ่งหมายเอาชีวิตซูฉางอันก็ถูกลำแสงแห่งพลังของฉู่ซีฟงขวางเอาไว้และถูกดันให้พุ่งลงบนพื้นดิน โดยที่มันไม่อาจต้านทานใดๆ ได้เลย
ฉู่ซีฟงทอดมองออกไปถึงได้พบกับกริชที่มีเส้นด้ายประหลาดใสๆ โยงอยู่
“พรตกระดูกพร์เื่การทำงานล้มเหลวของท่านทำให้ข้ารู้สึกยกย่องเสียจริง”
เสียงหวานของใครบางคนดังขึ้นอย่างกะทันหันฉู่ซีฟงประคองซูฉางอันที่มีอาการอ่อนแรงก้าวไวๆ ไปหยุดอยู่อีกข้างจากนั้นจึงหันไปมองตามที่มาของเสียง
เ้าของเสียงเป็สตรีนางหนึ่ง นางอยู่ในชุดรัดรูปเผยสัดส่วนที่น่ายั่วยวนออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ แม้ใบหน้าของนางจะดูมีอายุบ้างแล้วแต่นั่นไม่อาจทำให้รูปโฉมของนางมัวหมองลงเลยแม้แต่น้อย กลับกัน มันยิ่งทำให้นางทรงเสน่ห์ในแบบของผู้ใหญ่แทนทว่าสิ่งที่สะดุดตามากที่สุดก็คือ ริมฝีปากที่ถูกแต่งแต้มด้วยสีแดงจัดจ้านกับไฝมหาเสน่ห์ที่มุมปากของนางต่างหาก
แต่ทั้งหมดนั้น กลับไม่ทำให้ฉู่ซีฟงรู้สึกประหลาดใจหรือแสดงความรู้สึกอย่างอื่นออกมาได้เลย ที่ผ่านมาเขาสนใจแต่เื่ของดาบมาโดยตลอด เขาทุ่มทั้งชีวิตให้กับดาบในมือเท่านั้นบนโลกใบนี้ อย่างน้อยก็ในตอนนี้ยังไม่เคยมีใครที่งดงามจนทำให้เขารู้สึกหวั่นไหวได้แม้สักคน เห็นได้ชัดว่าโฉมงามตรงหน้าก็หาใช่ข้อยกเว้นเช่นกัน
แต่สิ่งที่ทำให้นักดาบผู้สามารถเทียบชั้นกับมั่วทิงอวี่คนนี้รู้สึกตกตะลึงเป็ของที่อยู่ในมือโฉมงามคนนั้นต่างหาก
ในที่สุดชายชุดคลุมดำที่เพิ่งรอดจากความตายมาอย่างเฉียดฉิวก็ได้สติกลับมาเสียทีเขาแสร้งทำเป็ปัดฝุ่นที่ไม่มีอยู่จริงบนร่างกาย จากนั้นจึงหันไปมองโฉมงามผู้นั้นแล้วถามขึ้นด้วยเสียงแหบพร่า “มายารัตติกาล เ้ามาช้าเสียจริงนะ”
โฉมงามผู้ถูกเรียกว่ามายารัตติกาลกลอกตามองบนใส่ชายชุดดำจากนั้นก็โยนของในมือมาแทบเท้าฉู่ซีฟง พลางกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “ต่อให้จะช้ายังไงก็ยังดีกว่าเ้านั่นแหละ เป็ถึงครึ่งเทพแต่เกือบต้องมาตายเพราะเด็กที่มีพลังอยู่ในระดับหลอมจิต”
ความเย้ยหยันที่แฝงมากับน้ำเสียงช่างเด่นชัดยิ่งนักนั่นแสดงให้เห็นแล้วว่านางกับคนชุดดำตรงหน้าไม่ลงรอยกันสักเท่าไรนัก
แต่ฉู่ซีฟงกับซูฉางอันที่เริ่มรู้สึกอ่อนแรงไม่ได้สนใจบทสนทนาของคนทั้งสองเลยแม้แต่น้อยทว่าเพียงได้เห็นเ้าสิ่งที่กลิ้งหลุนๆ มาหยุดอยู่แทบเท้าพวกเขาก็สะดุ้งใไปตามๆ กัน
มันเป็หัวมนุษย์นั่นเอง
หัวของชายคนหนึ่ง...
หัวของเทพนักรบแห่งแผ่นดินต้าเว่ย!
แน่นอน นั่นเป็หัวของตู้เหว่ยนั่นเองเทพนักรบที่ผ่านามามากจนนับไม่ถ้วนกลับถูกโฉมงามที่ปรากฏตัวขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยสังหารและตัดหัวออกมาจากร่างภายในเมืองที่ตั้งอยู่ข้างเมืองฉางอัน หลังแยกกับพวกเขาไปเพียงครู่เดียวเท่านั้น
ช่างเป็อะไรที่เหลวไหลสิ้นดีมันน่าเหลือเชื่อจนแม้แต่ฉู่ซีฟงที่มีพลังอยู่ในระดับสูงก็ยังอดรู้สึกใไม่ได้เลย
ขณะที่ทั้งสองกำลังตกตะลึงกับหัวที่มาตกอยู่แทบเท้าการสนทนาของคนอีกสองคนก็ยังดำเนินต่อไป
“เพราะร่างนี้เป็เพียงหุ่นเชิดเท่านั้น ทั้งเด็กคนนั้นก็ยังมีโลหิตเทพแท้ที่เราทำหายไปแฝงอยู่ในร่างอีก”คนชุดดำไม่แยแสต่อความท้าทายที่แฝงมากับน้ำเสียงของโฉมงามผู้มาใหม่เลยแม้แต่น้อยเขาหันมามองซูฉางอันแวบหนึ่งด้วยดวงตาที่เปล่งประกายไปด้วยความโลภและตัณหา“ที่คิดไม่ถึงก็คือ ร่างของเด็กคนนั้นสามารถผสานเข้ากับโลหิตเทพได้อย่างสมบูรณ์แบบไม่เช่นนั้น ด้วยพลังระดับหลอมจิตที่มีเป็ไปไม่ได้เลยที่เขาจะทำอันตรายต่อข้าได้”
เมื่อได้ยินดังนั้น โฉมงามผู้นั้นก็ชะงักอึ้งไปจริงอยู่ที่นางไม่ถูกกับชายชุดดำผู้นี้ แต่ทั้งสองต่างก็รู้ดีว่าอีกฝ่ายมีพลังอยู่ในระดับไหนด้วยพลังของชายชุดดำ ต่อให้เขาจะกระจอกหรือไม่เอาถ่านแค่ไหน ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีทางถูกเด็กที่มีพลังเพียงระดับหลอมจิตบีบคั้นจนต้องมาตกอยู่ในสภาพเยี่ยงนี้แน่เหตุนี้ ทันทีที่ได้ยินดังนั้น นางก็เพ่งจิตแล้วสำรวจร่างกายของซูฉางอันั้แ่หัวจรดเท้าในที่สุดนางก็มั่นใจแล้ว“แบบนี้ก็แสดงว่าโลหิตเทพในร่างของมั่วทิงอวี่อยู่ในร่างของเด็กคนนี้อย่างนั้นรึแบบนี้ก็แสดงว่าเ้าโง่เทียนจ้าวถูกเด็กคนนี้ฆ่าตายสินะ”
“อืม” คนชุดดำพยักหน้าด้วยท่าทางเคร่งขรึม ทันใดนั้น จู่ๆเขาก็ขับเคลื่อนพลังิญญาภายในร่างกายขึ้นพลันระลอกแห่งพลังิญญาก็กระจายออกไปรอบด้านโดยมีร่างของเขาเป็จุดศูนย์กลาง
ดวงตาแดงก่ำเบิกกว้างขึ้นอย่างกะทันหัน ทันใดนั้น จู่ๆร่างที่ถูกห่อหุ้มอยู่ภายใต้ชุดคลุมสีดำก็เริ่มสั่นะเืขึ้นราวบางอย่างกำลังจะทะลวงออกมาจากในนั้นก็ไม่ปาน
เขาคำรามด้วยเสียงแหบพร่าขึ้นอย่างกะทันหันก่อนมือหนึ่งจะยื่นออกมาจากปากที่เปิดกว้างของเขาพร้อมกับของเหลวเหนียวหนืดบางอย่างจากนั้น มืออีกข้างก็ถูกยื่นออกมาตาม ในที่สุด ปากกว้างก็ฉีกเพราะมือทั้งสองจนได้
แควก!
เสียงคล้ายเสียงฉีกของผ้าขี้ริ้วดังขึ้น
ร่างที่อยู่ภายใต้ชุดคลุมสีดำเริ่มขาดออกจากกันก่อนร่างกำยำของตัวประหลาดบางอย่างจะคลานออกมาจากเนื้อหนังที่ขาดวิ่นของเขาในเวลาต่อมา
มันสูงเกือบหนึ่งจ้าง หน้าตาเหี้ยมเกรียมดุดันแขนขนาดใหญ่ถูกวางลากอยู่บนพื้นดินที่เื้ัยังมีหางคล้ายงูที่เต็มไปด้วยเกล็ดขนาดใหญ่ ซึ่งมีความยาวพอๆกับความสูงของร่างพ่วงอยู่ด้วย หางนั้นกำลังส่ายไปทางซ้ายทีขวาทีอยู่เลย
สิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า ทำให้ซูฉางอันกับฉู่ซีฟงนิ่งอึ้งไปตามๆกัน พวกเขาเคยเจอเื่ประหลาดแบบนี้ที่ไหนกันเล่า ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นก็คือสัตว์ประหลาดตรงหน้าประกายระลอกแห่งพลังิญญาที่น่าสยดสยองออกมาอย่างต่อเนื่องพลังที่มันแสดงออกมาในตอนนี้ แข็งแกร่งมากกว่าในตอนแรกนับร้อยๆ เท่าก็ว่าได้
“หากยอมเผยร่างอันแสนอัปลักษณ์ที่แท้จริงออกมาั้แ่แรกเื่ก็คงไม่เลยเถิดมาถึงขั้นนี้”ดูเหมือนมายารัตติกาลจะรู้อยู่แล้วว่าเื่จะเป็เช่นนี้ นางไม่มีท่าทีตกอกใเลยแม้แต่น้อยกลับยังพูดเย้ยหยันขึ้นอีกต่างหาก
“ก็มันทำให้ภาพลักษณ์ของครึ่งเทพอย่างข้าเสียหายนี่นา”สัตว์ประหลาดตัวนั้นพูดด้วยเสียงกระหึ่ม โดยไม่ได้โกรธ หรือโมโหกับการเยาะเย้ยของอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อยจากนั้นมันก็หันกลับไปมองซูฉางอันกับฉู่ซีฟงอีกครั้ง ครั้งนี้รังสีสังหารที่คล้ายเป็สิ่งที่จับต้องได้ในดวงตาคู่นั้นมีมากจนแทบจะทะลักออกมาด้านนอกก็ไม่ปาน
“ฆ่าเ้าคนโตซะ ส่วนคนเล็ก เดี๋ยวข้าจะพากลับไปเองเื่การคืนชีพให้เทพแท้คนแรก เราคงต้องพึ่งเ้าเด็กคนนี้เสียแล้ว”เขากล่าวขึ้นเช่นนั้น
“รู้แล้วน่า” โฉมงามสลัดท่าทีเกียจคร้านและไม่ใส่ใจของตนออกไปจากนั้นก็ก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าวด้วยท่าทางจริงจัง ทันใดนั้นพลังกดดันที่มากราวกับหยดน้ำในมหาสมุทรก็ถาโถมเข้ามาหาอย่างฉับพลัน
ความหนักอึ้งบนใบหน้าของฉู่ซีฟงมีมากจนแทบจะทะลักออกมาข้างนอกอยู่แล้วเขาไม่รู้ว่าไอ้เทพอะไรนั่นที่ทั้งสองพูดถึงหมายความว่าสิ่งใดกันแน่และไม่รู้ด้วยว่าเื่นั้นมาเกี่ยวข้องกับซูฉางอันได้อย่างไร
เขาเป็เพียงนักดาบคนหนึ่งเท่านั้น สำหรับนักดาบแล้วหากคิดอะไรไม่ออก ก็หั่นเ้าสิ่งนั้นให้แหลกกระจายไปเสียไม่เห็นจำเป็ต้องคิดให้เหนื่อยอีก...
เขายึดถือคตินี้มาโดยตลอด
และในครั้งนี้...
...ก็เช่นกัน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้